วันศุกร์, 29 กันยายน 2566

ผีดอน…แม่ม่าย

ผมเป็นคนภาคกลาง แต่ด้วยบุพเพสันนิวาสหรือเป็นคู่กรรมอะไรก็ตาม ผมได้ภรรยาเป็นคนอีสาน จึงมาเป็นเขยอยู่ที่นี่กับยุพาเมียสาวของผม ยุพาเป็นสาวอีสานที่มีความสวยแบบบ้าน ๆ แต่ถูกใจผมมาก ผมได้ย้ายจากบ้านเกิดไปอยู่กับเธอที่ดินแดนแห่งเสียงแคน

บ้านของยุพาอยู่ในชนบท จะเรียกว่าบ้านนอกก็ไม่ผิด เพราะพ่อแม่เธอหรือพ่อตาแม่ยายของผมนั่นแหละ รวมทั้งญาติพี่น้องทุกคน ต่างมีอาชีพทำไร่ทำนา และมีบ้านช่องอยู่แถวกลางทุ่งนานั่นเอง อยู่กินกันแบบพอเพียง แต่หมู่บ้านไม่ถึงกับกันดาร บ้านพ่อตาผมอยู่ใกล้แม่น้ำ ยิ่งฤดูน้ำฝนมีน้ำหลาก จึงมีน้ำท่าใช้พอเพียงกับการบริโภคและทำไร่ทำนา

ผมโชคดีหน่อยที่เมียผมเป็นลูกสาวคนเดียว จึงไม่เดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย เราอยู่กันสี่คน คือผมกับเมีย และพ่อตาแม่ยาย บ้านช่องของพ่อตานับว่ากว้างขวางดีอยู่ ผมช่วยพ่อตาทำไร่ทำนา แม้ตอนแรก ๆ จะไม่ถนัดทำนาแบบภาคอีสาน แต่อยู่ไปทำไปก็ชินไปเอง

ในฤดูฝนอันชุ่มฉ่ำ ต้นข้าวในนาเริ่มเจริญเติบโต มองไปทางไหนก็เห็นเป็นทิวข้าวเขียวขจีสวยงาม กิจกรรมอย่างหนึ่งของคนในชนบทแห่งนี้คือ พอฝนตกทีไรก็จะมีมหกรรมจับกบ คืนหนึ่ง ฝนที่ตกตั้งแต่ตอนเย็นยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก คำใสเพื่อนบ้านของผมคนหนึ่ง มาพบผมที่ร้านเหล้าในหมู่บ้าน มันเอ่ยปากชวนให้ไปจับกบด้วยกันที่กลางทุ่งนา เพราะฝนตกแบบนี้กบมันจะออกจากโพรงมาผสมพันธุ์กัน ผมตอบตกลงมันไป เพราะมาอาศัยอยู่บ้านพ่อตา ถ้าขี้เกียจเขาคงไม่ชอบใจเอาแน่ ถึงแม้ผมจะไม่เคยจับกบมาก่อน และไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์จับกบทั้งหลาย อีกทั้งไม่ค่อยออกจากบ้านในตอนกลางคืน ซึ่งคำใสก็ได้อธิบายวิธีจับกบโดยละเอียด ค่ำวันนั้นผมจึงเตรียมตัวใส่เสื้อกันฝน มีไฟฉายชนิดติดหน้าผาก และข้องใส่กบใบเขื่อง ร้อยเชือกมาผูกไว้ที่เอว ไม่นาน คำใสก็มาเรียกให้ลงบ้านไปหา เมียผมมองแล้วแซวยิ้ม ๆ ว่า ท่าทางของผมดูทะมัดทะแมงดี สงสัยคงจับกบได้มาเต็มข้องอย่างแน่นอน ผมยักคิ้วให้เธอ

ฝนยังตกพรำ ๆ ผมพร้อมคำใสขี่รถมอเตอร์ไซค์พากันมาที่ทุ่งนา เราเดินลุยลงไปในท้องทุ่งที่มีต้นข้าวขึ้นสูงถึงเกือบอก เดินไปตามคันนา คำใสหันมาบอกผมว่า ถ้าเดินตามกันแบบนี้ไม่มีทางได้กบหรอก ต้องแยกย้ายกันไป ดังนั้นผมจึงแยกกับมัน ส่องไฟฉายที่ติดหน้าผากดูตามคันนา เดินไปอย่างช้า ๆ หลายครั้งที่ผมเห็นแสงสะท้อนกลับมาเข้าตา เพราะแสงไฟฉายส่องไปกระทบดวงตาของกบเขียด แต่ด้วยความไม่ชำนาญ พวกมันจึงโดดหนีไปเสียก่อนที่ผมจะทันได้จับมัน บางครั้งแสงสะท้อนกลับมา พอเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็กลายเป็นแมงมุมไป ผมลุยสายฝนไปตามคันนา หันไปมองทางด้านข้าง เห็นแสงไฟฉายของคำใสอยู่ไกล ๆ สงสัยว่ามันคงได้กบเขียดไปหลายตัวแล้ว ส่วนผมได้เขียดเพียงไม่กี่ตัว ผมไม่ยอมแพ้ ต้องจับกบให้ได้สักตัว เอาไปอวดเมียเพื่อลบคำสบประมาท

ยกมือปาดน้ำฝนที่ไหลเข้าตา มองไปทางด้านข้างอีกที ปรากฏว่าคราวนี้เห็นแต่ความมืดมิด ได้ยินเพียงเสียงฝนตกซ่า ๆ แสงไฟฉายของคำใสไม่รู้หายไปไหนแล้ว มองไปรอบตัวไม่เห็นมีแสงไฟฉายของใครเลย หรือว่ามันจะลงไปหากบแถวลำเหมืองเพราะกบชอบอยู่ตามตลิ่งของลำเหมือง สายฝนยังโปรยปรายลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ผมรู้สึกหนาว แต่ยังคงส่องไฟฉายหากบไปเรื่อย ๆ สักครู่สังเกตเห็นแสงไฟเรือง ๆ อยู่แถวลำเหมือง ทีแรกเข้าใจว่าเป็นแสงไฟของคำใส จึงเดินไปหา แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้กลับเห็นแสงไฟเป็นดวงกลม ไม่ส่องเป็นลำเหมือนแสงไฟฉาย มีสีเขียวเรือง ๆ กระจายออกมาโดยรอบ มันลอยสูงประมาณศีรษะคน ด้วยความอยากรู้ผมจึงเดินเข้าไปดูใกล้ในระยะสักห้าเมตร

ฉับพลันผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อปรากฏว่าแสงที่เห็นมันอยู่บนปลายจมูกของคน ๆ หนึ่ง เป็นคนที่มีรูปร่างผอมกะหร่อง ผมยาวสยายยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง นุ่งผ้าขะม้าผืนเดียว ร่างนั้นลงนั่งยอง ๆ สองมือถือกบตัวเขื่อง กำลังกัดกินอย่างมูมมาม เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผม คน ๆ นั้นก็หันมามอง แสงไฟฉายบนหน้าผากของผมส่องกระทบใบหน้าที่เงยขึ้นมองของมัน เป็นใบหน้าเล็ก ๆ ดูซูบตอบ ตาใหญ่ปูดโปนออกมา ปากที่อ้าออกเห็นฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคม ยังมีซากกบคาปากอยู่เลย ผมตกใจมาก มันเองก็คงตกใจผมเหมือนกัน ผมหันหลังออกวิ่งหนี แต่ด้วยความที่รีบเร่ง เลยพลัดตกคันนาเสียหลายครั้ง เมื่อตั้งตัวได้จึงหันหลังกลับไปมอง เห็นดวงไฟสีเขียวลอยไล่หลังมา ผมไม่รอช้า ตะเกียกตะกายวิ่งหนีต่อไป

ผมวิ่งฝ่าสายฝนมาอย่างไม่คิดชีวิต เนื้อตัวเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เสื้อกันฝนฉีกขาดไปหลายแห่ง จนมาหยุดยืนอยู่ที่ในบริเวณหนึ่ง หันหลังไปดูไม่มีดวงไฟสีเขียวตามมาอีก ผมหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่รู้ว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่คือที่ไหน เพราะมันมืดและมีฝนพรำอยู่ตลอดเวลา มองฝ่าสายฝนไปในความมืด เห็นแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ บนโคกแห่งหนึ่ง ใต้เงาไม้ใหญ่ ไม่เหมือนกับแสงสีเขียวที่ผมวิ่งหนีมา ลักษณะเงาตะคุ่มใต้ต้นไม้ดูเหมือนจะเป็นกระท่อม ผมดีใจมากคิดว่าเจอบ้านคนแล้ว รีบวิ่งไปที่บ้านหลังนั้นทันที ใช่ตามที่ผมคิดจริง ๆ มันคือกระท่อม ยกใต้ถุนสูงจากพื้นประมาณเมตรกว่า แสงไฟมาจากตะเกียงดวงเล็กที่จุดอยู่ เห็นหญิงวัยกลางคน ๆ หนึ่ง กำลังนั่งทำบางอย่างง่วนอยู่ ปล่อยผมที่มีหงอกขาวแซม ยาวสยายลงคลุมไหล่ ใส่เสื้อแขนยาวและผ้าถุงสีดำ เหมือนแกจะรู้ว่ามีคนวิ่งมา แกเงยหน้าขึ้นดู จ้องมองมาทางผมที่วิ่งมายืนหอบอยู่หน้าบันไดบ้านแก แล้วเอ่ยทักขึ้นว่า

“อ้าว พ่อหนุ่มวิ่งหนีอะไรมาล่ะ ตัวเปียกหมดแล้ว มาหลบฝนบนบ้านป้าก่อนสิ”

ผมขอบคุณแก ไม่ตอบแกว่าวิ่งหนีอะไรมา ดูเหมือนแกก็ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ถามออกไปเหมือนกัน ผมรีบเขยิบเข้าไปใต้ชายคากระท่อม ไม่ทันสังเกตเสียงอันเยือกเย็นของแก ไปยืนอยู่ที่ตีนบันไดห้าขั้น เห็นแกยังทำงานไปเรื่อย ๆ แกกำลังจับกบในกะละมังยัดใส่ในข้องเพื่อขังมันไว้ ผมรู้สึกทึ่งที่แกจับกบเก่งจัง ไปหากบมาจากไหน ตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย มอง ๆ ดูแล้วก็นึกสงสัยว่าแกจะอยู่คนเดียว เพราะไม่เห็นมีใครในกระท่อมอีก สักพักแกก็หันมาชวนว่า

“ขึ้นมาเช็ดตัวบนบ้านก่อนก็ได้นะ ตัวเปียกแบบนั้นหนาวแย่”

แกชวนซ้ำ แต่ผมรู้สึกเกรงใจ เพราะเห็นแกอยู่คนเดียว จึงเพียงแต่ยิ้ม เมื่อเห็นผมไม่ยอมขึ้นไป แกก็ถามอีกว่า

“มาจับกบเหรอ ได้บ้างไหมล่ะ”

“ไม่ได้สักตัวเลยป้า ผมจับกบไม่เก่ง”

ผมส่ายหน้า ยิ้มอาย ๆ เพราะยังจับกบไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว แกหัวเราะขำผม ก่อนทักว่า

“ท่าทางจะเหนื่อย กินน้ำกินท่าซะก่อน เดี๋ยวป้าจะไปเอาน้ำมาให้”

โดยไม่รอให้ผมพูดอะไร ป้าแกผลุบหายไปทางหลังบ้าน สักครู่แกก็โผล่ออกมา แต่คราวนี้ร่างของแกกลับเป็นหญิงชราแก่หง่อมในชุดเสื้อผ้าชุดเดิม เดินหลังค่อม สองมือเหี่ยวย่นประคองขันน้ำออกมา แต่ที่ทำให้ผมแทบหัวใจวายตายก็คือ ในขันน้ำนั้นมันเต็มไปด้วยตัวหนอนไต่ยั้วเยี้ย บ้างก็ไต่ขึ้นไปบนมือแก ผมตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองแก เสียงเย็น ๆ พูดอีกว่า

“เอ้า! ตกใจใหญ่เลย จับกบไม่ได้ก็แบ่งกบของป้าไปสิ ป้ามีเยอะ”

แล้วแกก็หัวเราะเหอะ ๆ วางขันน้ำลง หันไปล้วงมือเอากบออกมาจากข้อง แต่กบมันปลิ้นออกจากมือแก กระโดดลงบนพื้น ทันใดนั้นแกก็ยื่นมือยาว ๆ ไปคว้ากบมา แล้วมือยาว ๆ ของแกก็หดกลับเหมือนมีสปริง

เท่านั้นเองผมก็รู้ตัวว่าโดนผีหลอก รีบเผ่นออกจากกระท่อมหลังนั้นทันที วิ่งหนีอย่างสุดกำลังไปข้างหน้า ได้ยินเสียงเย็น ยานคางดังไล่หลังมาว่า

“จะรีบไปไหน กลับมาก่อน มาเอากบไปด้วยยยย”

เรื่องอะไรจะกลับไปให้โง่ ผมใส่ตีนหมาโกยอ้าว แต่ให้ตายเถอะ วิ่งเท่าไหร่ก็เหมือนวิ่งวนกลับมาที่หน้ากระท่อมเหมือนเก่า เห็นร่างป้าผีก็ยังคงนั่งมองผมอยู่ที่นั่น ผมพยายามไม่มองไปทางกระท่อมหลังนั้นอีก ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว สักพักได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าม้าวิ่งไล่กวดตามหลังมา เมื่อหันไปดูก็เจอม้าตัวใหญ่ สีดำสนิท วิ่งตามหลังมาติด ๆ มันวิ่งมาขนาบข้างผม แล้วผงกหัวขึ้นลงเหมือนจะบอกให้ผมขึ้นขี่หลังมัน ผมนึกอะไรไม่ทันแล้วตอนนั้น ได้แต่ขึ้นขี่หลังมันแล้วปล่อยให้มันพาวิ่งไป เพราะถ้าไม่ขึ้นขี่มัน ผมคงจะไม่มีทางหนีออกจากหน้ากระท่อมนั้นมาได้ ผมจับขนที่แผงคอม้าแน่น แนบหน้าลงกับคอม้า ปล่อยให้มันพาห้อตะบึงไปในความมืด โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันจะพาไปไหน วิ่งไป ๆ เพราะความเหนื่อยและตกใจ ในที่สุดสติของผมก็ดับวูบลงคาหลังม้านั่นเอง

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาปรากฏว่าพบตัวเองนอนอยู่บนที่นอนในห้องของผมเอง มีเมียและพ่อตาแม่ยาย กับเพื่อนบ้านอีกสี่ห้าคน รวมทั้งคำใสด้วย กำลังมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ทุกคนแสดงความดีใจที่เห็นผมฟื้นแล้ว คำใสเล่าว่า ระหว่างเดินไปหากบ มันกับผมพลัดกัน คำใสเดินตามหาผมอยู่นานจนอ่อนใจ เมื่อไม่เจอจึงนึกว่าผมกลับมาที่บ้านเองแล้ว เลยกลับบ้านมานอน

ส่วนเมียผมก็เข้าใจว่าผมไปนอนค้างที่บ้านคำใส พอรุ่งเช้ามาจึงมาตามหา ค่อยรู้ว่าผมหายตัวไปทั้งคืน ทุกคนพากันแตกตื่นด้วยความร้อนใจ แยกย้ายกันออกตามหา คำใสไปเจอผมนอนไม่ได้สติอยู่ในสภาพควบทับอยู่บนขอนไม้แห้งขนาดใหญ่บนดอนแม่ม่าย พวกเขานำตัวผมกลับมา พยายามปลุกให้ตื่น ไม่นานผมก็ตื่นขึ้นมา

เมียผมถามว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมผมไปนอนหลับอยู่ที่ดอนแม่ม่าย รู้ไหม ที่นั่นไม่ค่อยมีใครกล้าไปตอนกลางคืน เพราะผีดุมาก คนลือกันว่ามีผีผู้หญิงคอยหลอกหลอนให้ไปเที่ยวบ้าน พอใครเผลอเดินขึ้นไป ก็จะเจอผีแม่ม่ายหลอก พากันจับไข้หัวโกร๋นไปเป็นแถว ต้องไปรดน้ำมนต์ที่วัด เจอมาหลายรายแล้ว

ผมได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอนนั้นปฏิเสธเธอไปว่า ไม่มีอะไร ผมคงเหนื่อยมากเลยเผลอหลับคาขอนไม้ไปในท่านั้น ผมเองรู้ว่าคงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมบอก แต่ผมก็ไม่อยากเล่าเรื่องที่ตัวเองโดนผีหลอก แม้ชาวบ้านจะพากันซุบซิบนินทา และพยายามให้ผมเล่า ผมก็ไม่ยอมเล่าอยู่ดี แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ให้แก่ยุพา ยอมเล่าให้เธอฟังตามความเป็นจริง เพราะเธอขู่ว่าถ้าไม่ยอมเล่า เธอจะให้ผมออกไปหากบอีก เข็ดครับเข็ดจริง ๆ ให้ไปทำอะไร ผมทำได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าให้ผมไปจับกบอีกเลย

จบ. See less


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
ปู่โสม เฝ้าสวน
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ