ย้อนไปถึงเรื่องของครูประทีปที่ได้พบรักกันกับทายาทผีปอบ ก็ยังมีเรื่องของครูธำรง ผู้เป็นน้องชายของครูประทีปด้วยอีกคน ที่มีความรักหวือหวาไม่แพ้พี่ชาย ครูธำรงนี้รักกันกับภูตสาวตนหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็เกิดขึ้นเมื่อกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมาแล้วเช่นกัน
สมัยนั้นครูประทีปไปสอบบรรจุครูได้ที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเอง ส่วนครูธำรงผู้เป็นน้องชายกลับได้ไปบรรจุอยู่ที่จังหวัดทางภาคเหนือแทน โรงเรียนที่ครูธำรงไปสอนอยู่เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนเรียนร่วมกันระหว่างชาวพื้นราบกับคนบนดอย ชนเผ่ากะเหรี่ยง
ถึงแม้โรงเรียนจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็อยู่ในระหว่างหุบดอย มีดอยน้อยใหญ่ล้อมรอบอยู่ทุกทิศทาง ถนนที่เข้ามาโรงเรียนก็ค่อนข้างลำบาก เป็นเหมือนทางเกวียนลัดเลาะมาตามซอกดอยมากกว่าจะเรียกว่าถนน เส้นทางถูกน้ำฝนกัดเซาะเป็นร่อง ๆ ตลอดทั้งเส้น เวลาขับขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้ามาถ้าไม่ระวัง ล้อรถเป็นต้องแฉลบเสียหลักลงข้างทางเป็นประจำ
โรงเรียนนี้มีสี่หมู่บ้านที่ต้องรับผิดชอบ เป็นหมู่บ้านชาวพื้นราบเสียสามหมู่บ้าน อีกหมู่บ้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง ซึ่งหมู่บ้านกะเหรี่ยงนี้ โรงเรียนไปตั้งสาขาอยู่ และมีครูไปประจำสอนอยู่คนหนึ่ง ชื่อครูสมชาย มาบรรจุใหม่พร้อมกันกับครูธำรง ครูสมชายอาสาขึ้นไปสอนที่โรงเรียนสาขาเอง เพราะพูดภาษากะเหรี่ยงได้ ครูทั้งสองเลยสนิทเป็นเพื่อนรักกัน ครูธำรงมักจะขึ้นไปเยี่ยมเยียนครูสมชายบนโรงเรียนสาขาเสมอ โชคดีที่มันตั้งอยู่บนดอยซึ่งไม่สูงเท่าไหร่ แต่ก็ต้องเดินทางลึกเข้าไปในป่าอยู่ดี
มีอยู่ครั้งหนึ่งครูสมชายเกิดไม่สบาย สมัยนั้นการติอต่อถึงกันยังทำได้ลำบาก อย่าว่าแต่โทรศัพท์เลย ไฟฟ้าก็ยังไม่มีใช้กัน หากต้องการมาบอกข่าวระหว่างโรงเรียนแม่กับโรงเรียนสาขา มีทางเดียวเท่านั้นคือให้คนลงมาส่งข่าว หรือนำข่าวขึ้นไปบอก พอรู้ข่าวว่าเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วงในตัวเพื่อนสนิท พอถึงวันหยุดครูธำรงจึงคิดจะขึ้นไปหาครูสมชายที่โรงเรียนสาขา เขาเตรียมหยูกยากับข้าวสารและอาหารกระป๋องใส่เป้ เพื่อจะนำขึ้นไปให้เพื่อนด้วย จากนั้นก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าขึ้นไปบนดอย ทางที่จะขึ้นไปเป็นเส้นทางเล็ก ๆ พอที่รถมอเตอร์ไซค์จะวิ่งลัดเลาะไปได้ แม้ค่อนข้างจะลำบาก ทุลักทุเลเอาการอยู่ ความจริงเวลาขึ้นไปแต่ละครั้ง ครูธำรงจะชวนชาวบ้านผู้ชายขึ้นไปเป็นเพื่อนด้วยทุกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้ชวนใครไป เพราะในหมู่บ้านมีงานขึ้นบ้านใหม่พอดี
สองข้างทางปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ และโขดหินเป็นระยะ ใช้สำหรับคนหาของป่า หรือขึ้นไปตัดไม้บนดอย เขาขี่รถผ่านป่า เลาะเลียบตามลำห้วยไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็เร่งเครื่องไต่ขึ้นเนิน เวลานั้นท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง ทำท่าเหมือนฝนกำลังจะตก ครูธำรงชักร้อนใจ กลัวจะโดนฝนตกใส่กลางทางแล้วรถเกิดเป็นอะไรไป ขืนรถมาเสียกลางป่าท่าทางจะดูไม่จืด ไม่นานฝนก็เริ่มโปรยเม็ดลงมาปรอย ๆ ทำให้เส้นทางชักจะลื่น บรรยากาศกลางป่ามันช่างเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียว โดยเฉพาะต้องมาขับขี่รถอยู่คนเดียวแบบนี้ กลัวทั้งสัตว์ร้าย กลัวทั้งอาถรรพ์ของป่า แม้ว่าจะเป็นเวลาตอนใกล้เที่ยง แต่เพราะท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยก้อนเมฆหนาทึบ จนดูดำทะมึนไปหมด เลยยิ่งทำให้บรรยากาศมันน่ากลัว
อีกประมาณไม่ถึงห้ากิโลเมตรก็จะถึงโรงเรียนสาขาแล้ว ครูธำรงพยายามประคับประคองรถให้ไต่ไปตามเส้นทางช้า ๆ จนมาถึงตรงทางที่จะต้องขี่รถข้ามลำห้วยไป สังเกตดูวันนี้มีน้ำมากผิดกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะหมู่นี้มีฝนตกลงมา ชั่งใจอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจจะขี่รถลุยน้ำไป ก่อนไปก็พนมมือขึ้นไหว้ ภาวนาขอให้เจ้าที่เจ้าทาง รุกขเทวดา และนางไม้นางไพรทั้งหลาย ช่วยให้ข้ามไปจนถึงโรงเรียนโดยตลอดรอดฝั่ง แล้วจึงค่อย ๆ ขี่รถลงน้ำ
แต่พอขี่มาได้ไม่เท่าไหร่ พลันได้ยินเสียงครืนครันดังสนั่นลั่นป่า น้ำป่ามา! ครูธำรงตกใจ พยายามเร่งเครื่องรถจะไปให้ถึงอีกฝั่งก่อนมวลน้ำมหาศาลจะถาโถมมาถึง ทว่าอารามรีบร้อนจนเกินไป ขณะเกือบจะถึงฝั่งอยู่แล้ว เกิดเผลอไปบิดคันเร่ง ทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ชนเข้ากับโขดหินข้างทางจนรถเสียหลักล้มลง ส่งให้ร่างคนขี่กระเด็น เอาหัวโหม่งกับต้นไม้ขนาดใหญ่ริมลำห้วย รู้สึกปวดร้าวไปทั้งหัวก่อนสติจะดับวูบไป
ฟื้นคืนสติขึ้นมาก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเสื่อในกระต๊อบไม้ไผ่หลังหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นบ้านใคร และขณะนี้คงเป็นเวลามืดค่ำลงแล้ว เพราะในบ้านจุดตะเกียงกระป๋องน้ำมันก๊าด ให้แสงสว่างเรือง ๆ อยู่กลางห้อง ในหัวยังมึนงงจากแรงกระแทกอยู่ไม่หาย คิดว่าตัวเองคงหมดสติไปนานทีเดียว สะบัดหัวไล่ความมึนงง พออาการผ่อนคลายลงจึงค่อยเหลียวมองไปโดยรอบ ก่อนจะสะดุ้งโหยงขึ้นทั้งตัว เมื่อเห็นว่าท่ามกลางแสงสว่างของตะเกียง มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพับเพียบหันหลังให้อยู่ที่ริมหน้าต่าง เห็นเรือนผมยาวสลวยดำขลับเหยียดตรงถึงกลางหลัง เธอค่อย ๆ หันหน้ามามอง พอเธอหันมาเต็มตัว ครูธำรงถึงกับตะลึงจ้องอย่างลืมตัว แทบหายจากอาการมึนหัวไปหมด เพราะใบหน้าของหญิงสาวดูผุดผ่องนวลเนียน คิ้วโก่งนัยน์ตาหวาน จมูกโด่งพองาม ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อ กำลังแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานมาให้ครูหนุ่ม ที่นั่งนิ่งจ้องมองแทบตาไม่กะพริบ พอไล่สายตามองลงมา เห็นเธอนุ่งเพียงผ้าถุงกระโจมอก เผยลำคอขาวผ่องกับเนินอกอวบ ครูธำรงถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ เลือดหนุ่มในกายแล่นพล่านจนร้อนไปหมดทั้งตัว เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสกังวาน เป็นภาษาพื้นเมืองทางเหนือปนภาษาภาคกลางว่า
“ตื่นแล้วกาจ้าว ครูหลับไปนานตั้งครึ่งค่อนวันแน่ะ”
“ที่นี่คือที่ไหน ผมอยู่บนบ้านใครครับ” ครูหนุ่มพึมพำถาม ไม่ละสายตาไปจากใบหน้านวล
“บ้านของสร้อยเองจ้าว” พอเธอตอบ ครูธำรงก็กวาดตามองสำรวจกระต๊อบหลังเล็ก เขาเห็นว่านอกจากเขาและเธอแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คนกะเหรี่ยง สำเนียงพูดของเธอบอกว่าเป็นคนพื้นราบ
“สร้อยอยู่คนเดียวเหรอครับ” เขาจึงถามเพิ่มเติมอีกด้วยความสงสัย เธอลุกเดินมานั่งลงใกล้ ๆ ยกมือขาวเนียนมาลูบไล้หน้าผากของเขาแผ่วเบา
“อยู่คนเดียวจ้าว ครูหัวโนตรงนี้นิดหนึ่ง เพราะไปชนกับต้นไม้เข้า สร้อยลงไปหาปลาที่ลำห้วย เลยไปเจอครูนอนสลบอยู่ สร้อยเป็นคนเอาตัวครูมาที่นี่เองจ้าว” แล้วเธอก็ก้มหน้าลงมาหา สายตาที่มองมายังใบหน้าของครูหนุ่ม มันทั้งหวานซึ้งทั้งคาดคั้นให้ยอมรับฟัง เหมือนมีมนตร์สะกดให้ต้องยอมเชื่อในทุกสิ่งที่เธอพูด โดยไม่คิดจะโต้แย้งอะไรเธอเลย
“รถผมล่ะครับ ไหลไปตามน้ำป่าเสียแล้วหรือเปล่า”
“สร้อยไม่เห็นรถนะ สงสัยคงถูกน้ำพัดไปแล้ว แต่โชคยังดีที่ครูไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวสร้อยจะเอาสมุนไพรมาประคบให้นะ”
ว่าแล้วเธอก็เลื่อนขันอะลูมิเนียมใส่ลูกประคบควันฉุยมาข้าง ๆ หอมกลิ่นไพรเข้าจมูก ไม่รู้ว่าเธอเอามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ใช้มันแตะแผ่วเบาแถวหัวที่โนขนาดลูกมะนาวบนหน้าผากเขา เลื่อนมาแตะแถวขมับ กกหูและใต้คาง ขณะแตะลูกประคบไป แก้มเนียนของเธอก็เกือบชิดกับปลายจมูกของเขา จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของกันและกัน เธอเหลือบมองสบตาเขา ครูหนุ่มก็ประสานสายตาด้วย จ้องมองเข้าไปในหน่วยตาหวานคู่นั้น เวลานี้จิตใจของเขาเกิดหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ราวกับต้องมนตร์เสน่ห์ของหญิงสาวชาวบ้านป่า ก่อให้เกิดความหลงใหล อยากจะร่วมหลับนอนกับเธอ เขาลืมอาการเจ็บปวดทั้งมวล ดึงตัวเธอลงมาแนบชิดกับตัวเอง หญิงสาวโอนอ่อนผ่อนตามเหมือนยินยอมพร้อมใจ เขาประทับจูบที่พวงแก้ม ไล่มาที่ริมฝีปากอิ่ม และซอกคอหอมละมุน เสื้อผ้าหลุดจากตัวเมื่อไหร่ไม่รู้…รู้แต่คืนนี้เขาอยากจะมีสัมพันธ์อันล้ำลึกกับสร้อย หญิงสาวที่เขารู้จักแค่ชื่อ ไม่สนใจไต่ถามเธอว่าทำไมถึงมาอยู่กลางป่ากลางดอยตามลำพัง พ่อแม่เธอไปไหนกันหมด ไม่สงสัยว่าเธอนำร่างเขามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ในสติที่เหลืออยู่เพียงครึ่ง ๆ คิดอย่างเดียวว่าจะต้องครอบครองร่างงามให้สมใจอยาก เขาเชยชมเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจนเหนื่อยอ่อนผล็อยหลับไปในที่สุด
พอรุ่งเช้า ครูธำรงตกใจตื่นด้วยเสียงดังโหวกเหวกของคนหลายต่อหลายคนที่กำลังเร่งรุดตรงมา เขาลืมตาขึ้นมองแล้วตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อพบว่าตัวเองมานอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ไม่ไกลจากลำห้วยเท่าไหร่ น้ำป่าหายไปแล้ว และไม่มีกระต๊อบไม้ไผ่แต่อย่างใด ไม่มีหญิงสาวสวยน่ารักที่ชื่อสร้อย ซึ่งเมื่อคืนนี้เขากอดเธอนอนทั้งคืน เหลียวมองไปรอบตัวด้วยความพิศวงงงงวย จวบจนชาวบ้านในหมู่บ้านกะเหรี่ยงหลายคน พร้อมกับครูสมชาย พากันวิ่งหน้าตาตื่นตรงมาหา พอมาถึงก็รีบจับตัวดูว่าครูธำรงมีบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
“โชคดีจริง ๆ ที่แกไม่เป็นไรมาก เช้านี้ชาวบ้านเขาไปเจอรถแกไหลไปค้างอยู่ทางโน้น ฉันเลยรีบบอกชาวบ้านให้ช่วยกันออกตามหาแก คิดว่าแกคงถูกน้ำพัดไป จนไม่รอดเสียแล้ว”
ครูธำรงมองหน้าเพื่อนด้วยความงุนงง ยังคงเหลียวมองหากระต๊อบหลังน้อย ที่เป็นสวรรค์ของตนเมื่อคืนนี้ แต่ทุกตารางนิ้วที่สายตามองไปก็เห็นแต่ต้นไม้เต็มไปหมด ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดในหัวอยู่บ้างและมีก้อนปูดโนที่หน้าผาก เขาคลำมันป้อย ๆ นึกถึงมือน้อยที่ใช้ลูกประคบสมุนไพรประคบให้เบามือ…สร้อยไปอยู่เสียที่ไหน หรือที่แท้เมื่อคืนนี้เขาแค่ฝันไป
“รถฉันล้มก่อนขึ้นฝั่ง หัวฉันคงไปกระแทกกับต้นไม้ต้นนี้เข้า เลยสลบไปจนถึงเช้า รถฉันคงพังยับไปแล้วสินะ”
ไม่คิดจะเล่าเรื่องสร้อยให้ใครฟัง ได้แต่ถามเพื่อนถึงรถที่ถูกน้ำป่าซัดไป จนไหลไปกับกระแสน้ำ
“ก็พังเยอะอยู่ แต่คงพอเอามาซ่อมได้ใหม่ ชาวบ้านเขาลงไปหาปลาเลยไปเจอรถแกเข้า เขาเอาขึ้นมาไว้ให้บนตลิ่งแล้วล่ะ ว่าแต่ทำไมแกไม่เหมือนคนรถล้มเลย นอกจากหัวโนแล้วก็ไม่มีบาดแผลที่ไหนอีก แม้แต่รอยขีดข่วน รอยยุงกัดก็ไม่เห็นมี”
ครูสมชายไม่วายสงสัยในเรื่องที่เกิดขึ้น เขาเพ่งมองสภาพเนื้อตัวของเพื่อนที่น่าจะยับเยินมากกว่านี้ กับอุบัติเหตุและการนอนกลางป่ามาทั้งคืน
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าคงช่วยคุ้มครองฉันไว้น่ะ รุกขเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขา และก็…นางไม้ คงช่วยฉันไว้” คำพูดสุดท้ายครูหนุ่มพูดพึมพำอย่างใจหาย
“ครูพอเดินไหวไหม หรือจะให้ทำแคร่หามไปที่โรงเรียนก่อน” ชาวบ้านคนหนึ่งชื่อเจเด้ เอ่ยถามขึ้น ผู้ชายในหมู่บ้านจะพอพูดสื่อสารกันรู้เรื่อง เพราะสามารถพูดภาษาคนพื้นราบได้ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่จะพูดไม่ได้เลย ขณะถาม เขาจ้องหน้าครูธำรงด้วยสายตาแปลก ๆ
“ไหวครับ ผมไม่เป็นอะไรมาก” ยืดตัวลุกขึ้นยืน รู้สึกไม่เป็นอะไรมากจริง ๆ นอกจากปวดมึนหัวนิดหน่อย หลังจากนั้นคนทั้งหมดก็พาครูธำรงเดินกลับเข้าไปพักในหมู่บ้าน เขาพักอยู่ในบ้านพักของครูสมชายก่อน ซึ่งครูสมชายก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาหายจากเป็นไข้แล้วเหมือนกัน
คืนนั้นเจเด้ได้เข้ามาหาครูธำรงที่บ้านพัก ซึ่งตอนนั้นครูทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่พอดี หนุ่มกะเหรี่ยงยังคงมองหน้าครูธำรงด้วยสายตาแปลก ๆ ตามเดิม ก่อนจะตั้งคำถามที่ทำให้ครูธำรงถึงกับอึ้งไป
“ครูครับ ผมขอถามครูตรง ๆ ว่าคืนนั้นครูไปพบกับอะไรมาหรือเปล่า ถึงได้รอดจากถูกน้ำป่าพัดมาได้”
ครูธำรงมองหน้าคนถามอย่างตกใจ ทำไมเจเด้จึงถามเรื่องนี้กับตน หรือว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ทำไมถามผมแบบนี้ล่ะ” เขาจึงลองย้อนถามหยั่งเชิงหนุ่มกะเหรี่ยงดู
“เรื่องของครูมันแปลก มันไปคล้ายกับเรื่องของปู่ผมที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง” เจเด้มีสีหน้าที่จริงจังมาก ขณะพูด
“ผมกลัวว่าครูจะเป็นแบบปู่ผม ครูต้องเล่าให้ผมฟังก่อนว่าไปเจออะไรมาบ้างในคืนนั้น”
ครูธำรงตรึกตรองดูแล้วก็คิดว่าควรจะเล่าให้เจเด้ฟัง จึงตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดตามความเป็นจริงโดยไม่ปิดบัง เจเด้ได้ฟังก็ร้องขึ้น
”ไม่ค่อยดีแล้วล่ะครู แสดงว่าครูไปสมสู่กับนางพรายเข้าให้ นางพรายก็คือนางไม้จำพวกนางตานี ผีต้นกล้วยต้นตะเคียน ผีพวกนี้เป็นกึ่งผีกึ่งเทพ มีฤทธิ์มากกว่าผีทั่วไป พ่อเล่าว่าสมัยพ่อยังเล็กอยู่ ปู่ถูกน้ำป่าซัดจนลอยไปติดอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วสลบไป ปู่ตื่นมาก็ไปเจอผู้หญิงอยู่ในกระต๊อบเหมือนที่ครูเจอ และได้นอนกับผู้หญิงคนนั้น พอปู่กลับมาถึงบ้าน ร่างกายของแกก็ค่อย ๆ ซูบซีดลง ตัวเหลืองตาเหลือง ผอมลงเรื่อย ๆ จนนอนหลับตายไป คนเฒ่าคนแก่เขาเล่าลือกันว่า พลังชีวิตของปู่ผม ถูกนางพรายสูบเอาไป ยิ่งนอนกับมันบ่อยเท่าไหร่ก็จะถูกมันสูบเอาไปมากขึ้นเท่านั้น นางพรายหากได้รักใครแล้วมันจะเอาวิญญาณของผู้ชายคนนั้นไปเป็นผัวมันให้จนได้”
เจเด้เล่าให้ฟังอย่างละเอียด ครูธำรงฟังแล้วถึงกับสยอง ตอนแรกเคยคิดถึงแต่สร้อย แต่ตอนนี้เกิดกลัวสร้อยขึ้นมาจับใจ เขาเชื่อตามที่เจเด้เล่า เพราะประสบเข้ากับตัวเองอย่างจัง คนทั้งสามจึงปรึกษาหารือกัน ในที่สุดครูสมชายก็แนะนำให้ครูธำรงไปหาพระที่วัด ขอให้พระท่านรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ให้ และขอให้ท่านถอนอาถรรพ์ของผีพรายไปจากตัว
วันต่อมา พอกลับไปถึงโรงเรียนแม่ ครูธำรงก็ตรงไปหาหลวงตาที่วัดในหมู่บ้านเลย เล่าความจริงทุกอย่างให้ท่านฟัง โชคดีที่พระรูปนี้ท่านเป็นพระที่มีไสยเวท สามารถถอนอาถรรพ์ของนางผีพรายได้ ท่านจึงทำพิธีตัดกรรมให้ และรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ให้แก่ครูหนุ่ม ท่านให้ผ้ายันต์ลงอักขระบูชาท้าวเวสสุวรรณ บอกให้เอาไปติดไว้ที่บ้านพักและที่โรงเรียนด้วย ก่อนนอนให้ท่องบทบูชาท้าวเวสสุวรรณทุกคืน เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นจ้าวแห่งภูตผีปีศาจทั้งปวง ท่านจะปกปักรักษาไม่ให้ผีร้ายมาเข้าใกล้
แต่สิ่งสำคัญที่สุด พระท่านย้ำว่าให้ครูธำรงตั้งอยู่ในศีลห้า และหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้กับผู้หญิงที่ชื่อสร้อย ซึ่งอาจเป็นวิญญาณที่ตายอยู่แถวนั้น แต่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที และไม่มีใครไปทำบุญให้เธอเลย ครูธำรงทำตามที่พระบอกทุกประการ ตอนแรกเขามักจะฝันเห็นสร้อยมาหาที่บ้านพักบ่อย ๆ ด้วยใบหน้าอันหมองเศร้า เธอร้องเรียกชื่อเขาให้ออกมาหาที่หน้าบ้าน เพราะเข้าบ้านมาไม่ได้…ได้แต่เดินวนเวียนอยู่นอกบ้านไปมา แต่พอเขาหมั่นทำบุญกรวดน้ำไปให้เธอบ่อยเข้า การฝันถึงสร้อยก็ห่างลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาได้ย้ายออกมาสอนที่โรงเรียนข้างนอก เขาก็ไม่เคยฝันถึงสร้อยอีกเลย ครูธำรงคิดว่าสร้อยอาจจะได้ไปเกิดใหม่แล้วก็ได้ แต่ตราบจนทุกวันนี้ แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสี่สิบปีแล้ว ครูธำรงก็ยังคงทำบุญไปให้สร้อยอย่างสม่ำเสมอไม่เคยขาด เพราะถึงอย่างไรความทรงจำที่มีกับสร้อยในคืนนั้น ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจไม่มีวันลืม