วันศุกร์, 22 กันยายน 2566

สางดงคืนเดือนดับ

ผมชื่อ ศาสตราจารย์จองภพ เป็นนักวิชาการด้านโบราณคดี และเป็นอาจารย์สอนนิสิตนักศึกษา ที่มหาลัยมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในพระนคร ประจำภาควิชาโบราณคดี พ่อผมเป็นทหารเกษียณ แม่เป็นคนจีนเจ้าของกิจการค้าส่งน้ำอัดลม ผมมีพี่น้องทั้งหมด 3คน ผมเป็นคนโต น้องสาวคนกลางชื่ออาเหวิน น้องชายคนเล็กชื่ออาย้ง บ้านผมถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะพอสมควร ด้วยกิจการนำเข้าและค้าส่งน้ำอัดลมยี่ห้อไบเล่ย์ของครอบครัวนั้น เร่งขยายกิจการออกไปทั่วทั้งเมืองไทย และประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องเงินทองนั้นหาใช่ปัจจัยสำคัญในตระกูลนักธุรกิจอย่างครอบครัวผมไม่ หน้าที่ของผมคือควบคุมดูแลกิจการของครอบครับ ประกอบกับทำหน้าที่อาจารย์สอนนักศึกษาในมหาลัย แน่นอนแล้วว่า อาจารย์หนุ่มหล่อแถมโสดอย่างผม ย่อมจะโดนใจทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ สาวแก่แม่หม้ายทั้งหลาย กระทั่งแต่นักศึกษาสาว ที่แอบจิกตาทอดสะพานให้ผมอย่างล้นหลาม แต่ผมก็ยังคงยินดีในการครองโสด แม้ว่าวัยของผมจะย่างเข้า 43ปีแล้วก็ตาม ผมรอเพื่อตามหาหัวใจของผม ที่เคยฝากไว้กับใครคนหนึ่ง เมื่อ 20ปีที่แล้ว และผมได้สัญากับตัวเองไว้ ว่าจะรอเธอผู้นั้นนั่นเอง
แต่ทุกๆครั้งที่ผมส่องมองกระจก ผมก็ต้องถึงกับได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เฮ้อ เรานี่ก็ไปไกลเหมือนกันแล้วนะ แน่นอนแล้วว่า บัดนี้อายุของผมก็มากโขแล้ว คงมิอาจจะหนุ่มแน่นเหมือนอายุ 20ต้นๆที่ไหนหล่ะ หลังจากที่ผมก้าวขาออกมาจากวงการนักเลงในปี พ.ศ.2497 เพื่อไปศึกษาต่อปริญญาโททางโบราณคดี และไปต่อปริญญาเอกที่อินเดียอีก 2ปี เรื่องทุกอย่างในแก็งค์ตรอกไบเล่ย์ ก็ปล่อยให้ลูกน้องมันกำหนดทิศทางของพวกมันเอง จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.2499 ในยุคอันธพาลครองเมือง ทางการได้เข้ากวาดล้างกลุ่มนักเลงทั่วพระนคร จุดนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนในวัฎจักรนักเลงเมืองพระนคร นักเลงชั้นนำทั่วเมืองกรุงต่างต้องพากันหนีตายระหกระเหิน บางคนถูกจับตาย โชคดีที่ผมวางมือก่อน มิเช่นนั้นผมคงต้องได้หนีตายเยี่ยงคนอื่นๆเป็นแน่
ผมขยายกิจการน้ำอัดลมเข้าไปฝั่งประเทศพม่า เนื่องเพราะผมมีน้องเขยเป็นนายทหารลูกหลานผู้มีอันจะกินฝั่งประเทศพม่า ซึ่งก็คือสามีอาเหวินน้องสาวของผมนั่นเอง ผมมักเข้าไปดูแลธุรกิจที่ประเทศพม่าเสมอๆ ในช่วงที่นักศึกษาปิดเทอมใหญ่ เพราะที่ผมนั้นมีอะไรบางอย่างที่มันแอบซ่อนไว้ในใจผม จะมีคนรู้เรื่องราวดังกล่าวมานี้ ก็เพียงไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือน้องเขยของผมนั่นเอง กิจการน้ำอัดลมที่เมืองพระนครทั้งหมด คนที่จัดการก็คืออาย้ง น้องชายคนเล็กของผมดูแลอยู่ ส่วนมากผมจะทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักศึกษา และข้ามฝั่งอยู่ฝั่งประเทศพม่าเสียส่วนใหญ่ โดยอยู่ที่เมืองตะเกิง หรือก็คือเมืองย่างกุ้งนั่นเอง โดยผู้ที่เปลี่ยนชื่อเมืองตะเกิงเป็นย่างกุ้งก็หาใช่ใครอื่น นั่นคือพระเจ้าอลองพญา ผู้สถาปนาราชวงศ์ก่องบอง ที่พระองค์สามารถพิชิตชาวมอญได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ที่เมืองตะเกิง แล้วจึงทำการเปลี่ยนชื่อเมืองนี้เป็นภาษาพม่าว่าย่างกุ้ง อันหมายถึงที่แห่งชัยชนะนั่นเอง ด้วยเหตุนี้คนพื้นที่เมืองย่างกุ้งจึงมักเรียกชื่อเมืองหลวงว่าเมืองตะเกิง อันเป็นชื่อภาษามอญที่ตกทอดมาแต่ช้านาน
ชีวิตของผมที่เมืองตะเกิงก็ไม่มีอะไรมาก ก็คือการบริหารกิจการน้ำอัดลมไบเล่ย์นั่นเอง โดยมีการร่วมหุ้นกิจการกับเศรษฐีเมืองพม่า เพื่อเสริมธุกิจด้านน้ำดำหรือน้ำโคล่าอีกหน่วยธุระกิจ นานๆครั้งผมจึงจะแวะเข้าไปหาน้องสาวที่บ้านในเมืองตะเกิง เพื่อเล่นกับหลานๆที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโตทั้ง 2คน ส่วนน้องเขยผมที่เป็นทหารยศพันเอก นานๆครั้งถึงจะเจอหน้าซักครั้ง ด้วยเพราะมีงานราชการรัดตัว ส่วนมากกิจการที่ห้างหุ้นส่วนจะมีเพียงผู้จัดการชาวพม่า ส่วนผมจะมีเพียงลูกน้องคนสนิทที่ชื่อนายเปี๊ยก เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่คอยเป็นมือเป็นเท้าให้ผม และเดินทางเข้าออกประเทศพม่าอยู่สม่ำเสมอ หากทว่าผมติดธุระที่มหาลัย

และในครานี้ก็เหมือนกัน เมื่อปฎิทินที่ห้อยอยู่ข้างฝาห้อง มันแจ้งว่าบัดนี้ใกล้ถึงวันที่ 8 เดือน 8 เต็มทีแล้ว ผมจึงจำเป็นต้องออกเดินทางไปยังเมืองตะเกิงหรือเมืองย่างกุ้ง ด้วยที่เพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่าง เพื่อตามหาคนคนหนึ่งที่ยังตราติดตรึงใจผมอยู่ เธอคนนั้นเป็นคนที่ผมรอคอยมาแทบค่อนชีวิต แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าเธอคนนั้นจะมีตัวตนจริงๆหรือไม่ หรือมันจะเป็นเพียงแต่ฝันลมๆแล้งๆของผม ยิ่งใกล้วันจะได้พบหน้าเธอ มันช่างบีบหัวใจของผมยิ่งนัก เพราะผมกลัวว่า หากไม่พบเธอผู้นั้น ผมคงได้เนรเทศตัวเองเข้าหาร่มกาสาวพัตก์เป็นแน่แท้
เมื่อเป็นที่แน่ใจได้แล้วว่าต้องออกเดินทางไปที่เมืองตะเกิง ผมไม่รอช้ารีบแจ้งไปยังนายเปี๊ยกลูกน้องคนสนิท เพื่อเตรียมตัวที่จะออกเดินทางไปฝั่งประเทศพม่า ผมรีบทำหนังสือแจ้งไปยังคณะโบราณคดี และแจ้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ผมทำการสอนอยู่ เพื่อจะขอไปทำธุระที่เมืองตะเกิง โดยจะขอลาสอนนักศึกษาซักระยะหนึ่ง เสร็จธุระแล้วจะกลับมาสอนชดเชยทางมหาวิทยาลัย
วันรุ่งขึ้นผมและนายเปี๊ยกไม่รอช้ารีบบึ่งรถออกจะพระนครทันที โฉมหน้ารถจิ๊บที่มีนายเปี๊ยกเป็นผู้ขับบึ่งตรงเข้าไปด่านเจดีย์3องค์ที่กาญจนบุรี รถยนต์แล่นออกจากพระนครราวๆ 2โมงเช้า จนมาเข้าเขตด่านเจดีย์3องค์ ราวบ่ายโมง จนในที่สุดรถจิ๊บของพวกเราก็แล่นเข้าไปยังเขตประเทศพม่าในที่สุด สำหรับการเดินทางเส้นนี้ มันคือเส้นทางที่ผมและนายเปี๊ยกใช้สำหรับเดินทางเข้าเมืองตะเกิงอยู่เสมอๆ ด้วยที่ต้องเข้าไปดูกิจการน้ำอัดลมนั่นเอง ทำให้พวกเรามักจะชินในเส้นทางแห่งนี้อยู่ไม่น้อย ทันทีที่รถยนต์แล่นข้ามประเทศไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมิตรภาพระหว่างทางนั่นเอง เดินทางต่างถิ่นเราต้องรู้จักฝากตัว เพื่ออาหารการกิน กระทั่งช่วยจัดหาน้ำมันรถให้เรา คนฝั่งประเทศพม่าจะรู้จักกับผมอยู่ก็ไม่น้อยเหมือนกัน ด้วยที่ผมนั้นสามารถพูดภาษาพม่าได้บ้างพอสมควร แต่คนพื้นถิ่นจะรู้จักผมในฐานะนายห้างจองภพ แต่ถ้าคนในพระนครจะรู้จักผมในนามศาสตราจารย์จองภพ จบปริญญาเอกทางด้านโบราณคดีเอเชียอาคเนย์ ผู้ที่มีภูมิหลังมาจากวงการนักเลงเมืองพระนคร ในยุคอันธพาลครองเมือง การเดินทางเข้าไปยังเมืองตะเกิงนั้น มีระยะทางที่ไกลพอสมควร แต่ทว่าผมนั้นก็ยังมีจุดพักรถ ซึ่งก็เป็นบ้านของคนที่รู้จักกันอยู่ เคยพึ่งพาอาศัยกันมาแต่ช้านาน นับตั้งแต่ผมได้ขยายธุระกิจเข้ามายังประเทศพม่า สำหรับนายเปี๊ยกนั้น ก็เป็นคนที่ผมไว้ใจให้ช่วยงานแทบทุกเรื่อง ขยันทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว อายุอานามจะอ่อนกว่าผมได้ซัก3-4ปีโดยประมาณ และจัดได้ว่าเป็นคนที่ใจถึงพึ่งได้คนหนึ่งเลยดีเดียว แต่เป็นคนที่เงียบๆ ใจเย็น พูดจามีเหตุผล ไม่หุนหันพลันแล่นแบบขวานผ่าซาก

รถยนต์ของวกเราแล่นผ่านเข้าไปในเขตประเทศพม่า วิ่งผ่านเข้าไปบนถนนดินเรื่อยๆเข้าไปทางเมืองทะวายและมุ่งหน้าตรงไปยังเมาะลำเลิง รถจิ๊บของเราได้เดินทางผ่านล่วงเข้าไปถึงยังเขตพื้นที่เมาะลำเลิง ราวๆเกือบ 4โมงเย็น นายเปี๊ยกที่เป็นผู้ขับรีบก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะรีบเอ่ยบอกผมมาเบาๆ ว่าไงเฮีย เราจะเอาไงดี จะพักที่เมาะลำเลิงก่อนหรือจะวิ่งยาวเข้าเมืองตะเกิงเลยครับ สิ้นคำพูดนายเปี๊ยก ผมรีบล้วงมือเอาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อมาจุดสูบ ก่อนจะเอ่ยบอกไปเบาๆว่า ฉันเองก็แล้วแต่แกล่ะกันนะ ถ้าแกไม่ไหว ก็หยุดพักก่อนก็ได้ นี่ก็วิ่งยาวมาทั้งวันแล้ว ว่าแต่แกเถอะไหวมั้ย ผมรีบเอ่ยถามลูกน้องคนสนิทกลับไปทันที เหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกันเฮีย ถ้าวิ่งกลางคืนต่อ เห็นทีผมคงไม่ไหวแน่ นายเปี๊ยกรีบเอ่ยตอบกลับผมทันที ถ้างั้น เมื่อไปถึงหมู่บ้านปะโล๊ะ แกก็เลี้ยวเข้าไปหาลุงทูเลเลยนะ คืนนี้เห็นทีเราต้องอาศัยบ้านแกนอนซักคืน ขืนขับต่อไป เกิดหลับในรถตกเหว สิ้นชื่อเหมือนกับไอ้แดงพอดี ผมเอ่ยบอกนายเปี๊ยกเบาๆก่อนจะเร่งบุหรี่ที่มือ และแล้วรถยนต์ของเราก็ได้แล่นเข้าไปถึงยังหมู่บ้านกลางป่าเมืองเมาะลำเลิง อันมีชื่อว่าหมู่บ้านปะโล๊ะ ทันทีที่รถยนต์ของเราแล่นเข้าไปยังหมู่บ้าน นายเปี๊ยกก็รีบบึ่งรถมุ่งตรงไปยังบ้านของลุงทูเล ชายวัย 70เศษ เป็นคนอาธยาศัยดี ซึ่งผมและนายเปี๊ยกมักจะวักที่บ้านแกเป็นประจำๆ ลุงทูเลนี้อยู่บ้านเรือนไม้เพียงลำพังกับภรรยา ด้วยที่บรรดาลูกๆของแกนั้นได้เข้าไปทำงานอยู่ที่เมืองตะเกิง โดยที่ลูกชายคนสาวของแกก็ทำงานเป็นครูอาสาให้แก่มิชชันนารี่ตะวันตก เพื่อเผยแพร่ศาสนาคริตส์นั่นเอง ทันทีที่รถเราแล่นไปจอดที่บ้านของลุงทูเล เมื่อดับเครื่องรถจิ๊บ เมื่อลุงทูเลเห็นหน้าวกเราก็ถึงกับยิ้มออกมา เมื่อผมก้าวลงจากรถเรียบร้อยแล้ว พวกเราจึงรีบยกมือไหว้ทักทายลุงทูเลไปทันที และวกเราจึงรีบเล่าเรื่องราวและสิ่งที่เราต้องการ นั่นคือจะขอพักอาศัยนอนในคืนนี้ และจะขอรบกวนอาหารมื้อเย็นด้วยนั่นเอง ซึ่งทุกๆครั้งที่เราผ่านมามักจะแวะพักที่นี่อยู่เสมอๆนั่นเอง ด้วยที่เพราะผมและลูกชายของลุงทูเลนั้น เป็นนักศึกษาในระดับปริญญาเอก ด้านโบราณคดีเอเชียอาคเนย์ในรุ่นเดียวกันนั่นเอง แต่ทว่าลูกชายของแกนั้น ได้ทำงานให้รัฐบาลอยู่ประจำที่เมืองหลวง นานๆครั้งถึงจะได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ซักครั้ง จะพูดง่ายๆ ก็คือ ผมนี้เป็นเพื่อนกับลูกชายของแกนั่นแหล่ะ ถึงแม้ลูกชายจะทำงานให้รัฐบาล และลูกสาวทำงานให้แก่คณะมิชชันนารี่ แต่ทว่าบ้านของแกนั้นก็เป็นเพียงบ้านแบบชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้ดูโก้หรูอะไร ต่างจากบ้านนักธุรกิจแบบผมยิ่งนัก
ราวๆ 6โมงเย็นในวันนั้นเอง ผมและนายเปี๊ยกได้นั่งร่วมวงกินข้าวบนเรือนไม้ใต้ถุนยกสูง ของคุณลุงทูเล โดยมื้อนี้ มันมีอาหารที่ผมจัดได้ว่าตรงจริตแก่เราทั้ง 2คนมาก มันคือผัดเผ็ดหนูป่าใส่กับหน่อไม้ดองนั่นเอง นำเนื้อหนูป่าสับลงไปผัดด้วยน้ำมันหมูเจียวกระเทียม แล้วโขลกพริกขี้หนูกระเรี่ยงใส่ลงไป ตามด้วยหน่อไม้ดองและใบกระเพราป่า ช่วยให้รสชาติเผ็ดร้อนยิ่งนัก ทำให้มื้อเย็นของวันนี้ผมและนายเปี๊ยกเจริญอาหารยิ่งนัก หลังจากที่พากันอดโซเดินทางมารอนแรมมาตลอดทั้งวัน

หลังจากพวกเราจัดการกับอาหารมื้อค่ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศในหมู่บ้านในตอนนี้ ก็โผล้เผล้แสงอาทิตย์เริ่มจะหมดลง สภาพบ้านเรือนชาวบ้านของหมู่บ้านกลางป่า ชาวบ้านต่างพากันต้อนวัวควายเข้าคอก พร้อมกับเริ่มทำการก่อกองไฟที่ข้างๆคอกของสัตว์เหล่านั้น เพื่อจะใช้ควันไฟเป็นตัวไล่ยุง มิให้มากร้ำกรายสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ซึ่งลุงทูเลนั้นก็ทำเฉกเช่นชาวบ้านคนอื่นๆเช่นกัน ด้านผมละนายเปี๊ยก เวลานี้ก็ได้แต่นั่งเร่งบุหรี่อยู่ที่แคร่ไม้ใต้ถุนบ้าน ทอดสายตามองไปยังวิถีชาวบ้านของคนในหมู่บ้านนี้ ซึ่งโดยมากจะเป็นคนวัยกลางๆคน และผู้เฒ่าแก่ชราเท่านั้น ด้วยที่ชาวบ้านวัยหนุ่มสาว มักจะไปทำงานรับจ้างที่ในเขตตัวเมืองใหญ่ นานครั้งถึงจะกลับมายังบ้านเกิด ด้วยเพราะต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องและเลี้ยงครอบครัว บรรยากาศของหมู่บ้านกลางป่าไพรแบบนี้ บรรยากาศมันชวนหลงใหลยิ่งนัก ด้วยที่การใช้วีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่โลดโผนโจนทะยานเหมือนพวกเราในเมืองพระนคร ที่จมอยู่กับความวุ่นวาย เหลือคณานับ
หลังจากที่ลุงทูเลจัดการก่อกองไฟที่ข้างคอกควายเรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินเข้ามานั่งบนแคร่ไม้กับเรา มือพลางมวนบุหรี่เส้น ก่อนที่ลุงทูเลจะเอ่ยบอกเป็นภาษาพม่าแก่ผมมาว่า ช่วงนี้หมู่บ้านของเรามันมีเรื่องที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนะไอ้หนุ่ม สิ้นคำบอกเล่าลุงทูเล ผมรีบมีอาการสงสัยทำสีหน้าฉงนทันที ก่อนจะรีบถามแกเป็นภาษาพม่าไปเบาๆว่า มันมีเรื่องอะไรหรือครับลุง พอจะบอกพวกเราได้มั้ย สิ้นคำถามลุงทูเลจึงรีบตอบผมเบามาว่า ช่วงนี้ มันมีสัตว์ป่าไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร มันมากัดกินสัตว์เลี้ยงชาวบ้าน วันก่อนมันกัดหมูในคอกชาวบ้านตายไป 3ตัว จากการพิเคราะห์ดูของเหล่านายบ้าน ได้แจ้งแก่ชาวบ้านว่ามันเป็นเสือ เพราะกลุ่มของนายบ้านไปเจอกับรอยเท้ามันเข้าให้หน่ะไอ้หนุ่ม รอยเท้าของมันใหญ่มากจนจะเท่าถ้วยใส่แกงเชียวแหน่ะ จบคำบอกเล่าของลุงทูเล ผมถึงกับตะลึงในความใหญ่โตมโหฬารของมัน นายเปี๊ยกถึงกับรีบกระซิบถามผมมาเบาๆว่า หรือมันจะเป็นเสือสมิงครับเฮียใหญ่ซะขนาดนี้ สิ้นเสียงนายเปี๊ยก ผมจึงรีบเอ่ยในลำคอเบาๆมาว่า ก็มีส่วนเป็นไปได้เหมือนกันหว่ะ ตำราสมิงที่ฉันเคยได้รับรู้จากศาสตร์ของนายพราน เขาเล่าว่า คนที่กลายร่างเป็นสมิง ถ้าคนๆนั้นมีเท้าที่ใหญ่ เวลากลายร่างเป็นสมิง รอยเท้าก็จะใหญ่ตามไปด้วย ก็มีส่วนอยู่เหมือนกันหว่ะ พลัน ในวิบตานั้นเอง ก็บังเกิดเสียงเคาะเกราะที่บ้านนายบ้าน เพื่อมีเหตุจำเป็นต้องแจ้งเหตุอะไรบางอย่าง ลุงทูเลไม่รอช้ารีบยืนขึ้นจากแคร่ไม้ที่นั่งอยู่ เพื่อจะเดินทางไปยังบ้านนายบ้านนั่นเอง ซึ่งผมและนายเปี๊ยกไม่รอช้ารีบขอติดตามไปทันทีด้วยเพราะอยากรู้ ทันทีที่พวกผมเดินทางไปถึงยังบ้านของนายบ้าน ก็ปรากฏว่ามีชาวบ้านที่มาชุมนุมกันอย่างล้นหลาม ซึ่งแน่นอนแล้ว ว่ามันต้องมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่พิจรณาเอาจากใบหน้าของนายบ้านนั่นเอง นายบ้านรีบแจ้งข่าวออกมาว่า อยากขอแรงชาวบ้านช่วยกันเข้าป่า เพื่อไปตามหาชายที่ชื่อนายส่าเปิง ที่เข้าป่าขึ้นไปตรงชายเขาไปเก็บเห็ดเผาะกับผักหวานป่าในช่วงหน้าฝน ซึ่งเข้าไปเมื่อตอนแรกบ่าย แต่ทว่าในเวลานี้ ตะวันได้จวนจะพลบค่ำแล้ว ทว่ายังไม่มีวี่แววจะออกมาจากป่านั้น นายบ้านจึงอยากขอแรงชาวบ้านให้ช่วยกันออกตามหานายส่าเปิงนั่นเอง

บรรยากาศเวลานี้ ดวงตะวันจวนลับขอบฟ้า นายบ้านรีบตระเตรียมการ โดยได้ให้ชาวบ้านที่เป็นชายฉกรรจ์ทั้งหลายช่วยกันออกตามหานายส่าเปิง ที่เข้าไปหาของป่าแล้วหายตัวอย่างลึกลับนั้นเอง ผมและนายเปี๊ยก ในตอนนี้ อย่างไรเสียก็คงต้องออกช่วยชาวบ้านเหล่านี้เป็นแน่นอน ผมจึงรีบเอ่ยบอกลุงทูเลออกไปว่า พวกผมจะออกไปช่วยชาวบ้านพวกนี้ออกตามหาคนเอง ให้ลุงทูเลอยู่บ้านรอท่าที่นี่แหล่ะ สิ้นคำพูดของผมลุงทูเลได้พยักหน้าให้ ก่อนจะเอ่ยบอกมาเบาๆว่า อย่างไรก็ดูแลตัวเองดีๆละไอ้หนุ่ม ป่าเขตนี้มันรกทึบสำหรับคนต่างถิ่น อย่าแยกตัวกับชาวบ้านเขาละ สิ้นเสียงลูงทูเลผมรีบพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยบอกนายเปี๊ยกให้เตรียมตัวให้พร้อม แล้วเราทั้ง 2ก็รีบปรี่เดินไปยังรถจิ๊บที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้าน ทันทีที่มาถึงยังรถจิ๊บ นายเปี๊ยกรีบเอ่ยถามผมมาทันทีว่า เฮียจะเอาปืนลูกซองไปมั้ยครับ สิ้นคำถามนายเปี๊ยก ผมจึงรีบเอ่ยตอบไปเบาๆว่า แกถือไปเถอะหว่ะ ฉันมีปืนสั้นอยู่ที่เอวนี่แล้ว และก็ดูเอาไฟฉายมาด้วยนะโว้ย จบคำพูดผมนายเปี๊ยกจึงพยักหน้ารับพร้อมกับเอ่ยมาทันทีว่า ครับเฮีย
ทันทีที่การตระเตรียมตัวของกลุ่มชาวบ้านเรียบร้อยแล้ว นายบ้านจึงรีบนำคณะกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหลายออกเดินทางเข้าป่าไป เพื่อตามหาบุคคลที่สูญหายในป่าอย่างรวดเร็ว จากเท่าๆสายตาของผมพิเคราะห์ดูแล้ว จำนวนคณะออกเข้าป่าไปนี้ นับดูคร่าวๆได้ไม่เกิน 20คน โดยกลุ่มชาวบ้านเหล่านี้จะมีกระบอกไฟฉายและอาวุธปืนที่ถือไว้ในมือ แต่ลักษณะของปืนชาวบ้านเหล่านี้ มันคือปืนแก็ปเสียส่วนใหญ่ จะมีก็แต่เพียงนายบ้านเท่านั้น ที่ยังคงถือปืนลูกซองแฝด ใจผมก็ได้แต่เพียงคิดเล่นๆในใจ หากเจอกับเสือทึ่ดุร้าย ปืนแก็ปชาวบ้านเหล่านี้ คงมิอาจจะยิงมันทันป็นแน่แท้ ผมและนายเปี๊ยกได้ออกเดินติดตามกลุ่มชาวบ้านไปเรื่อยๆ พลัน นายบ้านจึงรีบเอ่ยสั่งการออกมา เพื่อจะให้ชาวบ้านแยกกลุ่มกันตามหาเป็น 2กลุ่ม โดยออกติดตามค้นหาไปกลุ่มละประมาณ 10คน โดยแยกกันออกตามหาเป็น 2ทางกระจายกันออกไป
แล้วแสงอาทิตย์ก็ได้ลงสนิทลับหายที่เส้นขอบฟ้า กลุ่มของนายบ้านได้แยกตัวไปอีกทางกับกลุ่มของผม ผมกับนายเปี๊ยกและชาวบ้านพื้นถิ่นอีก 8คน ออกตามหาไปอีกทาง แต่จุดหมายร่วมกันก็คือตรงชายเขานั่นเอง อันเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านนิยมเข้าไปหาเห็ด ด้วยเพราะมีเห็ดป่าขึ้นอย่างชุกชุม การออกเดินทางติดตามค้นหาคนหายเป็นไปอย่างทุลักทุเล ท่ามกลางแสงจากกระบอกไฟฉายของเหล่าคณะพวกเรา ทันทีนั้น ชายวัยกลางคนในคณะของพวกเราก็เอ่ยเป็นภาษาพม่ากับผมมาว่า ไอ้หนุ่ม พวกแกหูตาไวกันหน่อยนะ ทางด่านที่เราเดินอยู่นี่ มันเป็นทางช้างป่า สิ้นคำพูดชายผู้นั้นผมรีบพยักหน้ารับทันที
การเดินทางของคณะพวกเราเดินไปเรื่อยๆในป่าทึบ กลุ่มคนในคณะต่างเดินเรียงกันเป็นหน้ากระดาน สาดแสงไฟฉายค้นหาบุคคลที่ต้องการตัว นาฬิกาที่ข้อมือของผมบัดนี้มันย้ำเตือนว่าเวลาได้ก้าวล่วงจะเข้า 2ทุ่มแล้ว หากทว่าเดินป่ารกทึบกลางคืนแบบนี้ ถ้าหากเป็นการเดินทางมาเพียงลำพังผมคงสติกระเจิงเป็นแน่นอน คณะของเราออกเดินทางไปเรื่อยๆ กราดแสงไฟเพื่อส่องแสงสว่างนำทาง จนกระทั่งพวกเราเดินทางเข้าไปถึงยังตีนเขา อันเป็นสถานที่ที่ชาวบ้านในละแวกนี้ชอบเข้ามาหาเห็ดหน้าฝนปลายเดือนกรกฎาคมแบบนี้ ความอุดมสมบูรณ์ของป่าในละแวกนี้มันช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก ด้วยเพราะที่มีบึงน้ำขนาดใหญ่ประดุจดั่งทะเลสาบ ทำหื้นที่แห่งนี้มันเป็นพื้นที่ราบลุ่มชุ่มน้ำใจกลางผืนป่านั่นเอง ทันทีนั้นได้มีชาวบ้านคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นบอกให้คณะหยุดพักในบริเวณนี้ก่อนด้วยที่เป็นลานโล่ง เหมาะแก่การหยุดพักเอาแรง และคณะของเราก็นั่งเหยียดขาทอดสายตาเร่งบุหรี่มองไปยังบึงน้ำที่อยู่เบื้องหน้าคณะ ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงเดือนและดาวอยู่เบื้องบน

แล้วชาวบ้านในคณะของเราก็ทำการออกแยกย้ายไปดูรอบๆบริเวณ โดยชาวบ้านเหล่านี้ได้สอดส่องไปรอบๆอาณาบริเวณอันคาดได้ว่าเป็นที่ชาวบ้านผู้นั้นจะเข้ามาหาของป่า ชาวบ้านเหล่านี้รีบออกสำรวจไปเรื่อยๆโดยการแยกย้ายกันออกไป แต่ก็ไม่ไปไกลจากกันมากนัก แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ได้มีกลุ่มชาวบ้านวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ โดยวิ่งเข้ามาตรงยังกลุ่มที่พวกผมนั่งรอท่าอยู่ แล้วกลุ่มคนที่วิ่งเข้ามานั้น ต่างเอ่ยเป็นภาษาพม่ามาว่า ได้พบร่างของนายส่าเปิงแล้ว ผมจึงตัดสินใจเอ่ยออกไปว่า แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ทันทีที่สิ้นคำถามผม ชายชาวบ้านร่างผอมจึงเอ่ยตอบมาว่า พบร่างของนายส่าเปิงกลายเป็นศพ สภาพร่างกายถูกกัดกินฉีกร่าง คาดว่าจะเป็นรอยการเล่นงานของสัตว์ป่า ไปดูแล้วก็จะเห็นเองแหล่ะครับ สิ้นเสียงชายผู้นั้น ผมไม่รอชี้รีบพยักหน้าให้นายเปี๊ยก ก่อนที่พวกเราจะรีบเดินตรงไปยังซากศพของนายส่าเปิงชายผู้โชคร้าย เมื่อพวกเราเดินไปถึงยังซากร่างนั้น เมื่อไฟฉายที่มือนายเปี๊ยกสาดออกไป ชาวบ้านและพวกผมก็ต้องถึงกับสพรึงต่อภาพตรงหน้า ต้ายที่สภาพร่างของนายส่าเปิงนั้น ถูกรอยกัดกินจากสัตว์ร้าย ใจผมนี่คาดคะเนได้เลยว่ามันคือร่องรอยของเสือ ร่างกายของนายส่าเปิงถูกกัดกระชากกินเนื้อ ใบหน้าเละแทบไม่มีชิ้นดี ดวงตาของซากศพเบิกโลงอันบ่งบอกได้ว่าก่อนจะสิ้นใจตายมีอาการตกใจตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง เนื้อที่ขาใหญ่ถูกกัดเอาเนื้อออกไปกิน โดยรอบบริเวณอบอวนด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทันใดนันได้มีเสียงของชาวบ้านผู้หนึ่งเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า รอยกัดนี้เป็นรอยของเสือใหญ่ มันคือเสียงของนายพรานคนพื้นที่นั่นเอง แล้วนายพรานผู้นั้นก็เอ่ยออกมาเบาๆว่า ป่าเขตนี้มันไม่เคยมีเสือมาเป็นสิบๆปีแล้ว ไอ้ตัวที่มันลงมาเล่นงานชาวบ้านนี้ พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าไอ้เสือดุร้ายตัวนี้มันมาจากไหน ถึงมาเล่นงานนายส่าเปิงได้ แน่นอนแล้วว่า ถ้าขืนปล่อยให้เจ้าเสือร้ายตัวนี้ มันยังป้วนเปี้ยนอยู่ในบริเวณป่าชายเขา อันเป็นเปรียบดั่งแห่งอาหารชั้นดีของชาวหมู่บ้าน มันคงมิใช่เรื่องดีเป็นแน่แท้ ผมจึงได้ปรึกษาหารือกับนายพรานของหมู่บ้านที่มีนามว่านายอ่องแจทันที ทันทีที่ผมกับนายอ่อองแจผู้เป็นนายพรานประจำหมู่บ้านได้ผลสรุปในข้างต้นแล้ว ว่าคืนนี้ จะทำการนั่งซากนายส่าเปิง เพื่อจะรอดักยิงไอ้เสือร้ายตัวนั้น เอาแบบนี้เหรอเฮีย นายเปี๊ยกรีบเอ่ยถามผมเบาๆ ผมรีบพยักหน้ารับก่อนจะตบไปที่หัวไหล่นายเปี๊ยกเบาๆ แล้วเอ่ยออกไปว่า ถือว่าช่วยพวกชาวบ้านก็แล้วกันนะ เมื่อเป็นที่แน่นอนแล้ว ว่าคืนนี้ ผม นายเปี๊ยก และพรานอ่องแจ จะทำการนั่งซากเพื่อรอระเบิดหัวไอ้เสือห้ายตัวนั้น นายอ่องแจรีบเอ่ยบอกกลุ่มชาวบ้าน เพื่อแจ้งให้รีบเดินทางเข้าไปยังในหมู่บ้าน ให้รีบเดินทางกลับไป และให้ชาวบ้านบรรจุกระสุนปืนให้เตรียมยิงทุกระบอก เพื่อป้องกันการจู่โจมของไอ้เสือร้ายตัวนั้น และเมื่อกลุ่มของนายบ้านได้เดินทางกลับเข้าไปถึงยังหมู่บ้านแล้ว ก็ให้รีบแจ้งเรื่องราวการเสียชีวิตของนายส่าเปิง แล้วห้ามเดินทางเข้ามาในป่านี้จนกว่าฟ้าจะสว่าง ทันทีที่นายอ่องแจพรานใหญ่ของหมู่บ้านแจ้งเหตุให้ชาวบ้านที่ร่วมคณะมาแล้ว ทุกๆคนก็เห็นดีเห็นงามต่างรีบพยักหน้ารับ แล้วชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวก็รีบปรี่เดินทางกลับจากชายเขาแห่งนี้ เพื่อเดินทางเข้าไปยังในหมู่บ้านทันที
เมื่อกลุ่มชาวบ้านเหล่านั้นเดินทางจนหายลับตาไปจากกลุ่มของวกผมแล้ว ความเงียบสงัดเริ่มเข้าปกคลุมเราทั้ง 3ทันที บรรยากาศที่มีสภาพแวดล้อมแต่ความมืดมิด โดยมีแสงสว่างเพียงจากกระบออกไฟฉายที่อยู่ในมือของพวกเราเท่านั้น บรรยากาศมันช่างบีบหัวใจเสียนี่กระไร ยิ่งเมื่อพวกเรากราดแสงไฟฉายไปปะทะยังร่างของนายส่าเปิงที่นอนตาเหลือกโพลงอยู่ ด้วยสภาพดังกล่าว ใจเราถึงกับร่วงไปอยู่ที่ใต้ตาตุ่มทุกครั้ง

ท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีใจกลางผืนป่าตีนเขา เวลานี้พวกเราได้ทำการปรึกษาหารือกันในเรื่องของการนั่งซาก เพื่อรอดักยิงไอ้เสือร้ายที่มันลงเขามาทำร้ายคนในหมู่บ้าน เมื่อปรึกษาหารือกันได้ซักพักใหญ่ พวกเราก็มีความคิดที่ตรงต้องกันว่า จะปีนต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณละแวกนั้น เพื่อรอยิงเจ้าเสือร้ายตัวนั้น ไอ้ครั้นที่เราจะมัวขัดห้างเห็นทีคงจะไม่ทันการเป็นแน่แท้ ต้นแคป่าต้นใหญ่อายุหลาย 10ปี ถูกผม นายเปี๊ยก และนายอ่องแจปีนขึ้นข้างบนอย่างรวดเร็ว ระยะห่างระหว่างซากศพของส่าเปิงกับต้นแคนาที่เราปีนอยู่ กะคร่าวๆด้วยสายตาน่าจะมีระยะห่างกันเกือบๆ 20เมตร ทันทีที่พวกเราปีนขึ้นไปบนต้นแคนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วกเราทั้ง 3ต่างากันหาเหลี่ยมที่พอยืนเกาะไต่ได้อย่างถนัด จ้องสายตาลงมายังซากร่างของผู้ที่หมดลมหายใจข้างล่าง เฝ้าดูด้วยความลุ้นระทึกเพื่อรอเจ้ามัจจุราชร้ายตัวนั้นมันย่างกรายมา ระดับความสูงของต้นไม้ที่พวกเราแอบกายอยู่สูงราวๆ 3เมตร อันพอคาดคะเนได้ว่า พอจะรอดจากการกระโจนของไอ้ลายพาดกลอน 8ศอกตัวนั้น เฮียครับ เฮียคิดว่าไอ้ตัวนี้มันจะเป็นเสือสมิงมั้ยครับ นายเปี๊ยกกระซิบถามผมเบาๆที่รูหู ฉันว่ามีส่วนเป็นไปได้เหมือนกันวะ แต่ถ้ามันเป็นสมิงจริงๆ เราคงจะแย่ได้เหมือนกันนะ ก็ได้แต่ขอภาวนาให้มันเป็นเสือธรรมดาแล้วกันนะ ผมรีบเอ่ยบอกเบาๆ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ มือหยิบเอากระสุนมาป้อนเข้าลูกโม่ปืนสั้น ตาผมก็พยายามมองผ่านความมืดมิดลงไปด้านล่างต้นไม้ จ้องไปยังซากร่างนั้น และแล้วเวลาก็ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ จนเวลาที่ขัอมือของผมมันบ่งบอกได้ว่า บัดนี้เวลาก้าวเข้าไปถึงจน 5ทุ่มเศษแล้ว พวกเรากระซิบกระซาบคุยกันเบาๆ จนนายอ่องแจถึงกับถอดใจเฮือกใหญ่ เปรยออกมาเบาๆเป็นภาษาพม่าว่า หรือคืนนี้เราจะเสียเที่ยวนะ ประหนึ่งกับอาการถอดใจในการรอคอยดักยิงไอ้เสือร้ายตัวนั้น ด้วยที่เพราะป่ารกชัชแบบนี้ ประกอบกับอยู่ใกล้แหล่งน้ำ จึงเป็นที่ที่ยุงป่าชุกชุมตามธรรมชาติ พลัน ในชั่วอึดใจนั้นเอง โสตประสาทของพวกเราก็ไปปะทะยังเสียงร้องดังโฮก ซึ่งมันก็คือเสียงของไอ้ลายพาดกลอนตัวนั้นนั่นเอง เสียงของมันอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันตกตรงแนวราวป่า เสียงร้องของมันลอยมาเข้าหูพวกเราอย่างจัง จนนายอ่องแจรีบยกมือขึ้นมาจุ๊ปาก เพื่อส่งสัญญาณให้พวกเราเงียบๆไว้ เพื่อรอรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
เพียงรอคอยอยู่อีกไม่กี่อึดใจ พลัน ได้ปรากฏร่างของเจ้าเสือลายพากกลอนขนากใหญ่ มันค่อยขยับร่างเคลื่อนกายออกมาจากทิวป่า พวกเราที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ถึงกับต้องเงียบกริ๊บ เพราะร่างกายของมันช่างใหญ่โตมโหฬารยิ่งนัก ต่างจากเสือที่ผมเคยเห็นผ่านตามาก่อน แม้แต่น้อยพรานพื้นที่อย่างนายอ่องแจก็ถึงกับใบ้กิน ทำอะไรไม่ถูก ร่างของไอ้ลายพาดกลอนมันรีบปรี่เดินตรงมายังเหยื่อที่ถูกมันสังหาร มันต่อยๆเดินตรงเข้าหาไปยังซากร่างของนายส่าเปิง โดยที่มันหารู้ไม่ว่ายังมีสายตาอีก 3คู่จับจ้องที่ตัวมันอย่างไม่ยอมละสายตา

ร่างของไอ้ลายพาดกลอนมันเดินเข้าไปยังซากร่างของนายส่าเปิง ที่นอนหมดลมหายใจตาเบิกโพลงอยู่ โดยมีสายตาของพวกเราต่างจับจ้องอยู่ เวลานี้ พวกเราทั้ง 3คนต่างเงียนบกริ๊บ รอลุ้นระทึกว่าไอ้เสือร้ายตัวนี้ มันจะมีท่าทีอย่างไร ปืนลูกซองแฝดที่อยู่ในมือนายอ่องแจนายพรานพื้นที่ กำลังยกขึ้นประทับบ่าอย่างช้าๆ โดยที่แผ่นหลังของนายพรานผู้นั้นพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ โดยที่ผมและนายเปี๊ยกที่อยู่บนคาคบไม้ใกล้ๆกันนั้น ต่างรอดูเหตุการณ์เบื้องหน้า ว่าผลมันจะออกมาเป็นแนวทางใด
บัดนี้เจ้าเสือร้ายลายพาดกลอนขนาด 8ศอก มันเดินเข้าไปดมยังศพนายส่าเปิง ทำจมูกฟึดฟัดราวกับพิสูจน์กลิ่นเหยื่อของมัน มันคงตระหนักถึงกลิ่นศพซากร่างที่มันเคยกัดกินมาแล้ว พลัน มันก็รีบขย้ำไปที่แขนของซากศพชายชาวป่าผู้นั้น และมันก็ค่อยๆกัดกระชากกินอย่างตะกระตระกราม เสมือนว่ามันอดอาหารมานานแรมปี ส่งเป็นภาอันน่าสยดสยองประหนึ่งดูสารคดีสัตว์ซิงเกอร์เวอร์ ที่ฉายในโทรทัศน์ทุกๆวันหยุด เมื่อพวกผมคาดคะเนได้ว่า เวลานี้ไอ้เสือหิวมันหาได้มีความระมัดระวังตัว ผมรีบพยักหน้าให้พรานอ่องแจทันที เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้รีบกดไกระเบิดกระสุนใส่มัน วิบตานั้นเอง นายอ่องแจรีบสอดนิ้วเข้าไปในโกร่งไก ค่อยๆเล็งปลายกระบอกปืนจี้ตรงไปยังร่างมันที่กำลังกัดแทะซากร่างอยู่ ทันทีที่นายอ่องแจกดไกปืน แช๊ะ ให้ตายเถอะ ทันทีที่เข็มแทงชนวนกระแทกลงท้ายเบ้าดินระเบิด ผลปรากฏว่ากระสุนปืนด้าน นายอ่องแจไม่รอช้ารีบกดลั่นไกออกอีกเป็นคำรบที่ 2 แช๊ะ ปรากฏว่ากระสุนปืนด้านอีกครั้ง ทำให้เสียงเข็มแทงชนวน ลอยแว่วเข้าไปยังโสตประสาทไอ้ลายพาดกลอนตัวนั้น มันรีบแหงนหน้ามองมายังต้นเสียงที่อยู่บนคาคบไม้ ทันทีที่สายตาของมันมองฝ่าความมืดมาเจอพวกเรา ที่แอบเร้นกายอยู่นั้น มันก็รีบคำรามขึ้นดังโฮกมาอย่างดัง เสมือนว่ามันแสดงออกเป็นเชิงข่มขู่พวกเรา มันได้ผละร่างออกจากซากเหยื่อทันที โดยที่มันได้เดินตรงมายังตรงโคนต้นไม้ที่พวกเขาขึ้นปีนอยู่ โดยที่ปากมันก็ร้องครามเบาๆในลำคอ พลางแหงนสายตาขึ้นมองมาที่บนต้นไม้ นายอ่องแจไม่รอช้ารีบกดลั่นไกใส่มันอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า แช๊ะๆๆๆ แต่ทว่ากระสุนปืนก็ด้านทุกครั้ง ผมรีบเอ่ยขึ้นทันทีมาว่า ไอ้เปี๊ยกรีบยิงมันเลย สิ้นเสียงบอกผม นายเปี๊ยกไม่รอช้ารีบเล็งปลายกระบอกปืนลูกซอง 5นัด จี้ตรงไปยังร่างมันที่อยู่ด้านล่าง แล้วรีบกดไกระเบิดกระสุนทันที แช๊ะๆ ผลปรากฏว่า ปืนลูกซองที่อยู่ในมือนายเปี๊ยกก็เกิดกระสุนด้านเช่นกัน สร้างความตกใจให้พวกเรายิ่งนัก ร่างใหญ่ของมันเริ่มเดินป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณโคนต้นไม้อย่างไม่ยอมห่าง โดยที่พวกผมในตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเช่นกันว่าจะเอาอย่างไรกับมัน มันคือเสือสมิงครับ พรานอ่องแจเอ่ยออกมาเบาๆในลำคอ เวลานี้สมองของผมมึนตึบ ด้วยเพราะสถานการณ์ที่ปรากฏเบื้องหน้ามันช่างบีบหัวใจเรายิ่งนัก ด้วยที่ปืนลูกซองของเราทั้ง 2กระบอกก็ใช้การไม่ได้ จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ที่ตัวผมก็เพียงแต่ปืนลูกโม่ที่เอวเท่านั้น และไอ้ลายพาดกลอนตัวนี้มันคงมิใช่เสือธรรดาเป็นแน่นอน มันยังคงเดินรอบๆบริเวณโคนต้นไม้ไปเรื่อยๆ เสมือนว่ามันรอตะครุ๊บเหยื่ออย่างพวกเราที่อยู่บนคาคบไม้ มันจะเฝ้าเราจนถึงเช้ามั้ยเฮีย นายเปี๊ยกรีบเอ่ยถามผม จะเช้าหรือไม่เช้า เราก็ต้องอยู่จนเช้าหว่ะ ต่อให้มันเดินหนีเข้าป่าไป เราก็ไม่กล้าลงต้นไม้ใช่มั้ยวะ ผมรีบเอ่ยบอกนายเปี๊ยกไปเบาๆ พลัน ไอ้ลายพาดกลอนมันก็พยายามทำท่าจะเกาะไต่ต้นไม้ขึ้นมาด้านบน มันช่างบีบหัวใจพวกเราอยู่เนืองๆ พยายามลุ้นขออย่าให้มันขึ้นมาบนต้นไม้ได้ แต่เมื่อมันพยายามปีนไต่ขึ้นมาแล้ว ดูท่าว่าจะขึ้นมาไม่ได้ มันก็ออกอาการถอดใจลงไปยืนจังก้าแหงนหน้ามองพวกเราพร้อมกับร้องขู่คำรามมาเป็นระยะๆ มันขึ้นมาไม่ได้หรอกครับ นายอ่องแจรีบเอ่ยบอกออกมาเบาๆ
เจ้าลายพาดกลอนมันยืนคุมเชิงที่ใต้ต้นไม้ได้ซักพักใหญ่ แล้วมันก็เดินกลับไปยังซากศพของนายส่าเปิงอีกครั้ง ก่อนที่มันจะขย้ำกัดกินยังซากนั้นอีกครั้งอย่างใจเย็น โดยที่มันไม่ได้สนใจกลุ่มของพวกเราที่อยู่บนคาคบไม้ ก่อนที่มันจะค่อยๆเดินพาร่างใหญ่ของมันเดินลับหายเข้าป่าทึบหายไป บ้าเอ้ยจะมานั่งซากยิงเสือ กลับมาดูเสือกินศพซะงั้น ผมเอ่ยเบาๆขึ้นมาทันที มือพลางล้วงที่กระเป๋าเสื้อก่อนจะนำบุหรี่มาจุดสูบ เพื่อเป่าควันไล่ยุงป่าที่มันมารบกวนอยู่

หลังจากที่ไอ้ลายพาดกลอนตัวนั้น มนได้เดินหายเข้าป่าทึบไปแล้ว พวกผมในเวลานี้ที่กำลังอยู่กันบนต้นแคป่าขนาดใหญ่ ใจของเราในตอนนี้มันวุ่นวายสับสนไปหมด โดยที่ยังไม่เข้าใจในเจตนาประสงค์ของไอ้เสือผีตัวนั้น คงได้แต่นั่งบนคาคบไม้ มองลงมายังซากร่างของนายส่าเปิง ที่สภาพดูช่างหดหู่ใจยิ่งนัก พวกเราพากันนั่งอยู่บนคาคบไม้ได้สักพักใหญ่ โดยที่ผมนั้นรู้สึกง่วงจนแทบสัปหงก เฉกเช่นเดียวกับทุกคนที่ก็มีอาการเช่นเดียวกัน ในขณะที่ผมกำลังสัปหงกอยู่นั้น นายอ่องแจก็เอานิ้วมาสะกิดที่แขนของผม ทำให้ผมรีบดึงสติกลับคืนมาอย่างว่องไง แล้วนายอ่องแจก็ชี้นิ้วให้ผมดูอะไรบางอย่างที่ใต้ต้นไม้
ทันทีที่ผมมองพิจรณาผ่านความมืดเข้าไปนั้น ได้ปรากฏว่าร่างของนายส่าเปิงที่ตายไปแล้วนั้น เหมือนกับว่าซากศพนั้นค่อยๆขยับทีละนิดๆ และแล้วร่างศพของนายส่าเปิงก็ได้ค่อยๆยันกายลุกขึ้น ต่อหน้าต่อตาของพวกเราทั้ง 3คน ที่กลังอยู่บนต้นแคป่า ทันทีที่ร่างศพของนายส่าเปิงลุกขึ้นยืนได้ ร่างศพนั้น ก็ค่อยๆเดินเข้ามายังที่โคนต้นแคป่าที่พวกเราปีนอยู่ ร่างผีนายส่าเปิงเดินเข้ามาอย่างเยือกเย็น ซึ่งตามกรณีนี้ พวกเราไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันคือร่างของผีดิบนั่นเอง เมื่อร่างของผีดิบนายส่าเปิงเดินเข้ามาแล้ว ร่างผีนั้นก็ค่อยๆทำท่าเหมือนกำลังจะเกาะไต่ ปีนป่ายต้นแคป่าต้นนี้ มันช่างบีบหัวใจของพวกเราเสียนี่กระไร ร่างของผีดิบค่อยขยับปีนขึ้นมาเรื่อยๆ นายอ่องแจไม่รอช้ารีบหักลำป้อนกระสุนปืนลูกซองแฝด รีบชี้ปลายกระบอกไปยังร่างผีดิบผู้มาเยือน แล้วรีบกดไกลงทันที เปรี้ยงๆ กระสุนปืนลูกซองแฝดระเบิดออก 2นัดติด จนร่างของผีดิบกระเด็นร่วงตกจากต้นไม้ เพราะฤทธิ์กระสุนลูกโดด 4หุน ทว่าร่างของผีดิบผู้นั้น ก็รีบลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่ง แหงนหน้ามองขึ้นมาด้านบน จ้องมองมายังกลุ่มของพวกผม เสมือนว่ามันจะต้องการปีนขึ้นมาหาเราเป็นคำรบที่สอง เวลานี้สติของพวกเราแทบแตกกระเจิง เพราะภาพของผีป่าที่อยู่ต่อหน้าเรานี้ช่างน่าสยดสยอง อาวุธที่อยู่ในมือของพวกเราที่แสนจะทรงอานุภาพ แต่ว่าบัดนี้มันใช้ไม่ได้กับภูติผีปีศาจแบบนี้ ด้วยจะเพราะเหตุอะไรก็ตามแต่
เมื่อพวกเราถูกบีบเสมือนกับสุนัขที่จนตรอกจากไอ้ดิบตนนั้น ด้วยปืนพวกเราหมดทางที่จะต้านทานอมนุษย์ผู้นี้ในทุกรณี อันว่ามีดอาคมนวโลหะของหลวงปู่ช้อย ตัวผมก็ดันสะเพร่า เผลอเบลอลืมเอาไว้ในรถจิ๊บที่จอดอยู่ในหมู่บ้าน ด้วยเพราะไม่คาดคิดว่ามันจะมีเรื่องราวดังจะเกิดขึ้นนี้ ทันทีที่ร่างของผีดิบนายส่าเปิงจะปีนขึ้นมาอีกครั้ง ในวิบตานั้นเอง ร่างของพระธุดงภ์รูปหนึ่ง ก็ได้โผล่ออกมาจากชายป่า แล้วภิกษุรูปดังกล่าวก็ค่อยๆเดินปรี่ตรงเข้ามายังโคนต้นแคป่าที่พวกเราปีนอยู่ พลันพระสงฆ์รูปนั้นก็รีบเอ่ยเป็นภาษาพม่าออกมาว่า หยุดก่อนเถอะนะเจ้าผีร้าย จงหยุดเบียดเบียนเหล่ามนุษย์เถิดนะ สิ้นเสียงภิกษุรีบนั้น ผีดิบนายส่าเปิงก็รีบหยุดชงักทันที และมันก็ได้เบี่ยงเบนความสนใจไปยังภิกษุผู้มาเยือน

ทันทีที่มีพระภิกษุปริศนา ได้เอ่ยขึ้น ผีดิบนายส่าเปิงที่กำลังจะปีนป่ายขึ้นต้นไม้มาหาพวกผมก็ได้หยุดลงอย่างรวดเร็ว แล้วร่างอันน่าขยะแขยงของผีดิบตนนั้น ได้หยุดนิ่ง แล้วจ้องร่างไปยังภิกษุชราผู้นั้น ก่อนที่ร่างผีดิบจะรีบค่อยๆเดินปรี่เข้าไปยังภิกษุรูปนั้น ทว่าในทันทีที่ร่างของผีร้ายตัวนั้นจะเดินเข้าไปถึงยังร่างภิกษุ ภิกษุชราไม่รอช้ารีบล้วงมือเข้าไปในย่ามก่อนจะล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมากำไว้ที่มือแน่น แล้วภิกษุรูปนั้นรีบบริกรรมคาถาเป่าลงไปยังวัตถุที่กำไว้ในมือ ทันทีที่ร่ายอาคมเป่าลงไปในกำมือเรียบร้อยแล้ว ภิกษุรูปนั้นก็ไม่รอช้า รีบขว้างใส่ไปยังร่างของผีดิบนายส่าเปิงทันที เสียงหวีดร้องดังลั่นของชายผู้เป็นผีดิบ สร้างความตื่นเต้นให้แก่กลุ่มของพวกผมที่อยู่บนคาคบไม้ยิ่งนัก ข้าวสารเสกครับ นายอ่องแจรีบเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เมื่อผีดิบนายส่าเปิงถูกข้าวสารเสก ก็มีอาการหวีดร้องโหยหวนอย่างหนัก ก่อนที่ร่างของผีป่าผู้นั้นจะชักกระตุกแล้วค่อยหงายหลังล้มลง หมดสภาพสิ้นฤทธิ์ นอนกลายเป็นซากศพอยู่บนพื้นดินเช่นเดิม โดยที่พวกผมก็ได้เพียงแต่นั่งมองตาปริ๊บๆ ด้วยใจที่ลุ้นระทึก ทันทีที่ร่างของผีดิบนายส่าเปิงสิ้นฤทธิ์ไปแล้ว พระภิกษุชรารูปนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมามองยังบนคาคบไม้ ที่พวกผมอยู่บนคาคบ ด้วยความสงสัยของผม ที่มีอะไรๆบางอย่างตงิดอยู่ในใจ เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ผมจึงรีบตะโกนถามลงจากบนต้นไม่ เอ่ยเปล่งวาจาถามพระสงฆ์ชราผู้นั้นไปว่า หลวงพ่อครับ ทำไมร่างศพนี้ถึงกลายเป็นผีดิบไปได้ละครับ ผมเอ่ยถามอย่างสงสัย ไอ้ผีดิบตัวนี้ มันเกิดจากวิญญาณผีป่า ที่อาศัยสิงสู่ซากร่างมันนะโยม มันก็แค่มาก่อกวนพวกโยมเฉยๆ อาตมาไล่มันไปแล้วหล่ะโยม พากันลงมาเถอะนะ ว่าแต่ทำไมไปปีนอยู่กันบนนั่นละโยม ภิกษุชราเอ่ยถามออกมาสำทับทันที อ่อ พวกผมหนีเสือกันอยู่ครับหลวงพ่อ พวกผมมารอดักยิงเสือ แต่ว่าไอ้เสือที่พวกเรามาดักยิงนี้ มันไม่ใช่เสือธรรมดาครับ ปืนเราทำอะไรมันไม่ได้เลย มันเลยขี่เราเดินวนดักรอพวกเรา จนพวกเราต้องติดอยู่บนต้นไม้นี่แหล่ะครับหลวงพ่อ นายอ่องแจรีบเอ่ยบอกแก่พระสงฆ์รูปนั้น ก่อนที่ผมจะรีบตะโกนบอกหลวงพ่อไปว่า หลวงพ่อก็รีบปีนขึ้นมาอยู่กับพวกผมเถอะครับ อย่ามัวยืนอยู่ตรงนั้นเลย เดี๋ยวเสือมันก็มากัดเอาหรอกครับ สิ้นเสียงบอกของผม ภิกษุรูปนั้นจึงยิ้มแล้วมองขึ้นแหงนขึ้นมายังพวกเรา พวกโยมนั่นแหล่ะพากันลงมาได้แล้ว ไอ้เสือตัวนั้นมันไปแล้วหล่ะโยม ตอนอาตมาเดินทางมานี่ ได้ยินเสียงมันร้องไปยังฝากเขาลูกโน้นแล้ว ลงกันได้แล้ว อาตมาอยู่นีพวกโยมอย่าได้กลัวมันเลย ถ้าเป็นเสือสมิงจริงๆ มันมา อาตมาจะจัดการมันเอง เอาไงดีเฮีย ลงไปหาท่าน แล้วเราเดินทางเข้าไปนอนในหมู่บ้านดีมั้ย นายเปี๊ยกรีบเอ่ยกระซิบถามผม ผมจึงรีบกระซิบถามนายอ่องแจ นายอ่องแจจึงได้กระซิบถามผมมาเบาๆ จะเอายังไงก็เอาครับ แต่คนโบราณเขาเคยเตือนไว้ถ้านั่งห้างกลางคืน ถ้ามีอะไรมาชวนลงห้าง หรือลงต้นไม้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนครับ ว่าไม่มาดีแน่นอน นายอ่องแจกระซิบบอกผมเบาๆ


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
ปู่โสม เฝ้าสวน
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ