เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไป.. ตัวผมเองไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดใด ที่จะสามารถให้เพื่อนๆเชื่อในสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ได้ ทุกตัวหนังสือจากนี้ไป!
อยู่ที่วิจารณญาณของทุกคนครับ ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวชอบเล่ากันในวงเหล้า
ผมไม่เคยคิดจะเชื่อเลย คิดว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อความบังเทิงเท่านั้น และผมเชื่อมาเสมอว่าผีไม่มีจริง !!
แต่แล้วมีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดนี้ตลอดไป……….

ขอย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเป็นช่วงงานบูรณาการ ผมมักจะอยู่ทำหัวข้อโครงงานจนดึกกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ทางบ้านก็ไม่ได้คัดค้านหรือตำหนิอะไร วันนี้ก็เช่นกันผมอยู่ทำหัวข้อตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือ ความรู้สึก!
ผมบอกกับเพื่อนในกลุ่มตั้งแต่ตอนเช้าว่า “กูรู้สึกแปลกๆวะ… เหมือนกังวลอะไรซักอย่าง ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร” และผมก็รู้สึกแบบนั้นทั้งวัน (ใจหายๆ)
ผมนั่งทำงานจนเวลาล่วงเลยไปจนถึง 5 ทุ่มกว่า ไม่เกินเที่ยงคืน มีโทรศัพท์โทรเข้ามาซึ่งผมมองดูแล้วเป็นแม่ของผมเอง ผมรับทันที
(*ประโยคสนทนาจากนี้ไป ผมพยายามให้ใกล้เคียงกับความจริง เท่าที่ผมจำได้ให้มากที่สุดนะครับ)
ผม = “แม่ว่าไง”
แม่ = “………………ทำอะไรอยู่จะกลับยัง”
ผม = “อีกซักพักบทที่3ยังไม่เสร็จ…แม่มีไรเปล่า”
ผมพูดคุยกับแม่ไปอีกซักพัก แต่การพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ครั้งนี้ผมรู้สึกถึงความไม่ปกติตั้งแต่แรกเริ่ม ต้องอธิบายให้เพื่อนๆเข้าใจก่อนว่าปกติแม่จะทราบดีอยู่แล้วว่าผมกำลังทำงานบูรณาการ ซึ่งแม่ก็ไม่เคยโทรตามหรือโทรถามว่าจะกลับหรือยังเพราะผมกลับตี 1-2 เป็นประจำ แสดงว่าวันนี้จะต้องมีอะไร…
แม่ =”วันนี้กลับบ้านแล้วไม่มีใครอยู่บ้านนะกำลังกลับโคราช แต่ไอกอฟล์(พี่บุญธรรม)ไม่ได้ไป พรุ่งนี้ค่อยไปโคราชพร้อมลุง”
ผม = เอ้าทำไมรีบไปกระทันหันอ่ะ..มีไรกัน”
แม่ = “…………………………..ตาเสียแล้ว”
ผม = “ตลก!”
แม่ = “ป้าป้าล่วงหน้าไปรับศพตาที่โรงพยาบาลแล้ว แม่กำลังตามไปกับพ่อและน้องๆ แกมีงานทำก็ทำให้เสร็จพรุ่งนี้จะได้มาพร้อมลุง” (ดูจะไม่ตลก)
ผม = “แม่..เรื่องจริงดิ “
แม่ = “เสียเมื่อตอนกลางวัน มีคนไปเจอนั่งทับขาคอพับอยู่กลางนาเหมือนหยุดหายใจโดยเฉียบพลัน ตอนแรกป้าแกก็ไม่เชื่อว่าเสีย คิดว่าเป็นลม แดด แต่แกไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ตอนพาไปรพ.ปากตาม่วงแล้ว แม่เพิ่งมารู้เหมือนกัน”
ผมไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ผมได้ยินแต่ผมก็ต้องเชื่อ เพราะแม่คงไม่เอาพ่อตัวเองมาล้อเล่นแน่นอน แต่ถ้านี่คือเรื่องล้อเล่นจะทำไปเพื่ออะไร ?
แต่ผมแอบมีความหวังอยากให้เรื่องที่ผมได้ยินเป็นเรื่องล้อเล่นจริงๆ
ผมบอกให้แม่พยายามทำใจดีดีไว้ก่อน เพราะตอนที่ผมคุยกับแม่ เหมือนแม่ยังคงมีความหวังว่า ตา จะต้องไม่เป็นอะไร เพราะแม่ยังไม่เห็น ผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น คุยอีกซักพักผมจึงวางสาย การสนทนากับแม่เพื่อนผมได้ยินหมดทุกคน แต่มีเพียงคนเดียวเดินมาบอกกับผม “นี่คงเป็นเรื่องที่บอกพวกกูเมื่อเช้าวะ เสียใจด้วยเว้ย” ผมบอกพวกมันว่าขอตัวกลับก่อนจะได้กลับไปอาบน้ำนอนพรุ่งนี้จะได้ไปโคราชพร้อมลุง(เรื่องจริงหรอเนี่ย) ผมโบกแท็กซี่กลับบ้าน
ผมบอกกับพี่แท็กซี่ “ไปตากสิน22 ครับ” ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงที่หมายเพราะไม่ค่อยมีรถบนถนนมากนักในเวลานั้น (แต่แปลกดีออกไปเรียกแท็กซี่ไม่ทันได้รอขับมาพอดี)
การไปโคราชครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นการไปจัดพิธีงานศพให้คุณตา ซึ่งในคืนนี้ผมจะต้องอยู่บ้านกับพี่ผมซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่ และบ้านที่ทุกคนรู้แต่แรกว่า มีเพียงผมและพี่ชายเท่านั้นในคืนนี้ แต่ไม่ใช่ ! ผมคิดผิด
เพื่อนๆบางคนอาจตั้งคำถามกับผมว่า ทำไม?เรื่องราวผ่านมาแล้วตั้ง8ปี ถึงมาเล่าเอาป่านนี้ ทำไมต้องตอนนี้?
จริงๆเรื่องนี้รู้กันอยู่แล้วในครอบครัวและเพื่อนๆที่รู้จักกัน เหตุการณ์ในคืนนั้นที่ผมและครอบครัวคิดว่าคงจบไปแล้ว
แต่เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นกับครอบครัวผม และทุกคนเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ผิดแน่ ! เป็นสิ่งเดียวกับในคืนนั้น
ผมมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำหัวข้อโครงงาน ทั้งในหัวยังคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่นั่งรถมา บ้านของผมเป็นตึกแถว
มีทั้งหมด11คูหา(ไม่รู้ผมเรียกถูกไหม?) ทั้ง2ฝั่งหันหน้าเข้าหากัน บ้านผมอยู่คูหาที่ 4 มีทั้งหมด 4 ชั้น ประกอบไปด้วย
ชั้นที่ 1 = ส่วนหน้าเป็นห้องรับแขก จะมีตู้ไม้ที่ไว้เป็นศาลเจ้าอากงกั้นอยู่ระหว่างส่วนหน้าและหลัง ส่วนหลังเป็นห้องครัว
ชั้นที่ 2 = ชั้นลอย ตามปกติชั้นลอยจะสามารถมองลงมาที่ชั้น1ได้ แต่พ่อผมใช้ไม้ปิดกั้นทำเป็นห้องเวลามีคนเดินตรงชั้น2 ชั้น1จะได้ยินเสียงไม้
ชั้นที่ 3 = ห้องนอนพ่อ-แม่
ชั้นที่ 4 = ห้องนอนผมและพี่ชาย – ห้องพระ
ผมไขประตูเหล็กเข้ามาภายในตัวบ้านสิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้เลยคือ ผมไม่ได้อยู่คนเดียว! มันเป็นความรู้สึกที่เวลาผมนั่งดูหนังอยู่ชั้น1
และรู้ว่ามีคนอยู่ข้างบนชั้น 2 มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นเลยครับ ด้วยความที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นในหัว เลยไม่ได้สนใจอะไร จัดการวางกระเป๋าเดินขึ้นบ้านทั้งมืดๆอย่างนั้นเลย (พอมีแสงไฟแดงๆจากศาลอากง) หยิบN73 ขึ้นเป็นไฟฉายโดยใช้แสงแฟรชจากกล้องหลัง ผมเดินผ่านชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 แต่!ผมต้องถอยหลังลงบันไดมาที่ชั้น 3 อีกครั้ง เพราะผมเห็นแสงไฟรอดออกมาจากห้องนอนแม่ผมตรงช่องประตู
ผมไม่รอช้า รีบเดินเข้าไปบิดลูกบิดกุญแจ ปรากฎว่ามันล็อคจากด้านใน แต่ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร ผมคิดว่าอาจจะลืมปิดไฟในห้องไว้ก็ไม่แปลก
เพราะตอนที่ออกไปกันก็รีบอยู่แล้ว ในช่วงที่ผมกำลังหันหลังกลับมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่หลังประตูห้อง ผมรู้ได้ยังไง?
เพราะจากตอนแรกแสงไฟที่ลอดออกมาจะเป็นสีขาว แต่สิ่งที่ผมเห็นตอนนั้นมีลักษณะเหมือนเงาดำๆเคลื่อนไหวผ่านไป(เหมือนคนเดินหลบออกจากประตูด้านใน) สิ่งแรกที่ผมทำเลยคือการเดินไปเปิดไฟ จากนั้นผมเอาหูไปแนบกับประตูสิ่งที่ได้ยินคือ มีคนกำลังรื้อของอยู่ในห้อง
ผมเคาะประตูอยู่หลายครั้งพร้อมกับเรียกชื่อพี่ชาย แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ซึ่งในขณะนั้น มัน!ก็ยังคงรื้อของอยู่
เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมจึงกดโทรศัพท์หาพ่อ และถามว่ามีใครอยู่ในบ้านไหมเพราะตอนนี้มีคนอยู่ในห้องชั้น3 พ่อผมบอกว่าอาจจะเป็นพี่ชายก็ได้ไปดูให้ดีดี และสงสัยว่ามีคนเข้าไปได้ยังไงเพราะก่อนออกมาพ่อผมเป็นคนล็อคประตูเองกับมือและกุญแจอยู่ที่พ่อผมด้วย
พ่อบอกกับผมว่าให้รีบโทรหาพี่ชาย ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงไม่มีใครพูดถึง “ตำรวจ” รวมทั้งตัวของผมเอง ผมรีบโทรหาพี่ชายทันที
ผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้พี่ฟัง พี่ผมยืนยันกับผมว่า มันที่อยู่ในห้องไม่ใช่พี่ผมอย่างแน่นอน (ตอนที่คุยกับพี่ผมลงมาชั้น1แล้ว)
และสั่งให้ผมอย่าทำอะไรผลีผลาม ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่อยู่ภายในห้อง พี่บอกให้ระวังตัวเองไว้ก่อน ไม่นานจะถึงบ้านให้รอจนถึงตอนนั้น
ผมวางสายและทำการไขกุญแจบ้านเอาไว้เผื่อมีเรื่องราวที่ไม่ดีเกิดขึ้นจะได้หนีทัน เพราะทางออกมีทางเดียวเท่านั้นคือหน้าบ้าน ทางเข้าก็เช่นกัน!!บ้านผมไม่มีระเบียงยื่นออก ถ้ามันจะหนีทางหน้าต่างมันจะต้องใช้บันไดที่สูงมากเพื่อปีนลงมาจากชั้น3 และถ้ามันจะหนีจากชั้น4 ไม่มีทางแน่นอน
ในหัวของผมตอนนั้น สิ่งเดียวที่ผมเชื่อว่าอยู่ในห้องคือ ขโมย! เพราะพ่อและแม่ผมจะเก็บของมีค่าไว้ในห้อง และเสียงที่ผมได้ยินมันเสียงคนรื้อของเหมือนหาบางสิ่งบางอย่างชัดๆ มันเปิดเก๊ะไม้ เปิดตู้เสื้อผ้า และดูเหมือนมันจะรีบด้วย เพราะตอนที่ผมเรียกชื่อพี่ดูเหมือนจะเป็นการเร่งให้มันตะกุยหาหนักกว่าเดิม ………………….. ผมรอพี่ไม่ไหวแล้ว
ที่หลังศาลอากงจะมีมีดเเล่มใหญ่อยู่หนึ่งเล่ม ผมหยิบมีดเล่มนั่น และมุ่งหน้าไปยังชั้น3 ไม่กลัวหรอ ! ทำไมไม่รอพี่ ! ทำไมไม่แจ้งตำรวจ !
เพื่อนๆครับถ้าหากเพื่อนๆเจอเหตุการณ์ในตอนนั้นเหมือนผม ในความเป็นจริงสถาณการณ์แบบนี้มีเวลาให้คิดคำนวณมันน้อยจริงๆ +กับวุฒิภาวะและลักษณะนิสัยของผมที่ไม่กลัวใคร ที่ได้มาจากพ่อผม และในตอนนี้ผมมีอาวุธ ประตูห้องเป็นแบบผลักเข้า ผมจะต้องเห็นมันก่อนแน่นอน
“ก๊อก..ก๊อก…ก๊อก เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย………………” ผมตะโกนพร้อมกับเคาะประตู
ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเวลาเท่าไหร่ จำไม่ได้แต่เสียงรอบข้างมันเงียบเหลือเกิน มีเพียงเสียงของผมเท่านั้นที่ดังก้องไปทั่วบ้าน และดูคล้ายกับมีเพียงมันและผมเท่านั่นที่อยู่บนโลกใบนี้ มันอาจจะดูเกินจริงแต่ดูเหมือนกับว่าค่ำคืนนี้มันเงียบผิดปกติจริงๆ เงียบเกินไป!
“ก๊อก..ก๊อก…ก๊อก เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย …..เป็นใครวะ” ผมยืนกรานกับมันและเคาะประตูหนักกว่าเดิม มือขวากำมีดเอาไว้แน่น
…….เสียงรื้อของภายในห้องหยุดไป !!
“เป็นใครวะ ไอสั_ ว์ เปิด………………..กูบอกให้เปิด” ผมตะโกนด่าทอมันมือซ้ายบิดลูกประตูอย่างรุนแรงหวังให้มันเปิด
……..เสียงรื้อของดังขึ้นอีกครั้ง
ในตอนนั้นผมก้มลงมาลอดช่องประตูเข้าไป มันทำให้ผมแน่ใจได้อย่างชัดเจนว่า มันเป็นขโมยแน่นอน เพราะอะไรหรอครับ ?
ผมเห็น “ขา” ขาของมนุษย์อย่างเราๆนี่แหละครับไม่ได้ผิดแปลกเลย ภาพติดตาผมชัดเจนจนถึงทุกวันนี้
“ปัง…ปัง ไอเ_ยกูบอกให้เปิด………………เปิดเปิด” ผมใช้ขาถีบประตูอย่างรุนแรง จนประตูสั่นเสียงดังลั่นไปทั่วบ้านผมมั่นใจว่าข้างบ้านต้องได้ยินอย่างแน่นอน และในจังหวะที่ผมกำลังจะเปลี่ยนนจากถีบเป็นเคาะแทน เพื่อนๆครับจากนี้ผมอยากให้เพื่อนๆคิดภาพตาม ถึงเวลาในค่ำคืนนั้นความเงียบ ความวังเวง สิ่งที่อยู่ภายในห้อง และมีเพียงเรากับมัน ยังไม่ทันที่ผมจะเคาประตู มีเสียงที่ดังสนั่นในหูของผม มันไม่ใช่เสียงของคนที่พูดแบบปกติแน่นอน เพราะมันก้องและกังวานอยู่ในหู เสียงที่ดังสนั่นนั่นพูดพร้อมกับเคาะประตูกลับมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เคาะทำไม………………………………..เคาะทำไม…………………………………….เคาะทำไม”
ไฟในห้องดับไป
เฮ้อ ! เพื่อนๆครับผมอยากจะหยุดเล่าเพียงเท่านี้จริงๆ ผมไม่อยากจำภาพและเสียงในวันนั้นเหลือเกิน มันยากเหลือเกินที่จะลืมแต่ผมเริ่มแล้วผมจะต้องทำให้จบ เสียงที่ผมได้ยิน เชื่อเถอะครับ เพื่อนๆไม่สามารถจิตนาการและเข้าใจได้อย่างที่ผมได้ยินเลยว่ามันเป็นยังไง มันทั้งดังและก้องกังวาน กรีดกลางไปในหัวใจจนถึงกับทำให้ผมใจหายและขาทรุดทันที !! ลักษณะคงคล้ายกับคำว่า “ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม” และเสียงนั่นผมขอยืนยันกับเพื่อนๆว่า มันไม่ใช่เสียงคน……. ไม่ใช่ …………………….ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ผมร้องเหมือนเป็นคนบ้า ฉี่แตกรดกางเกง ในตอนนั้นขาผมไม่มีแรงแล้วมันอ่อนล้าไปหมด ผมต้องคลานลงมาจากชั้น3 และในขนาดที่กำลังคลานลงบันได้ เสียงประตูห้องค่อยๆแง้มออก
ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ หวังว่าจะอยากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อ ผมอยากให้เพื่อนๆเข้าใจ ขอให้เช้ากว่านี้อีกหน่อยและผมสัญญาว่าต่อไปผม