เรื่องผี คงเป็นเรื่องที่ยากจะพิสูจน์หรือหาอะไรมายืนยันแต่ก็คงต้องยอมรับจริงๆ ว่าเป็นเรื่องที่คนส่วนมากให้ความสนใจไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม อาจเป็นเพราะมันน่าตื่นเต้น บางสิ่งที่เราไม่รู้มักจะเชิญชวนให้เราเดินเข้าไปหากันเสมอ พร้อมกับคำถามว่า ‘มันจริงหรือ?’
หลายคนมีประสบการณ์ แต่ก็นับว่าเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับบุคคลที่ไม่เคยได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวเหล่านี้ หากจะบอกว่ายากก็คงไม่ใช่ จะบอกว่าง่ายก็คงไม่เชิง เอาเป็นว่า ‘คนจะเจออย่างไรมันก็เจอ คนที่มันไม่เจอให้ตายมันก็ไม่เจอ’ แต่ถ้าถามเอาความจริงๆ ว่า ทุกคนสามารถพบเจอได้ไหมก็คงต้องตอบตามตรงว่า ‘ได้’
เรื่องนี้ผ่านมานานพอสมควร แต่ก็ยังไม่คิดที่จะเล่าเพราะมีเรื่องอื่นที่อยากเขียนมากกว่า จนในที่สุดชีวิตของผมก็วนเวียนมาให้ได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับเรื่องราวในครั้งนั้น ภาพความทรงจำกลับมาวนเวียนอยู่ในหัวไม่หายไปไหน และสาเหตุที่ทำให้ผมยังไม่คิดที่จะเขียนเรื่องนี้ เป็นเพราะอะไรนั้น? จริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายเหตุผล แต่ที่มองข้ามมาตลอด เพราะนอกจากมันดูเกินจะเชื่อไปสักหน่อย ก็คงเป็นประโยคที่ ‘ลุงหวัง’ พูดกับผมในวันนั้น จนมันฝังอยู่ในหัว
‘อย่าพูดถึงมัน ไม่อย่างนั้นมันจะมา’
……………………………………………………………………………….
เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ผมไม่ได้มีเจตนาจะมอมเมาหรือหลอกลวงอะไร เป็นเพียงการเล่าสู่กันฟังถึงสิ่งที่ผมได้พบเจอมาในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต หากเรื่องราวต่อไปนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ท่าน โปรดอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
……………………………………………………………………………….
เรื่องมันเริ่มจากกิจวัตรประจำวันง่ายๆ อย่างในทุกวัน ผมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงหลังจากตรากตรำกับการเรียนอย่างหนักหน่วงมาทั้งวัน เนื้อหาสาระทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกป้อนเหมือนอัดเข้าหัวภายในเวลา 2 ชั่วโมงซ้ำกัน 3 วิชาทำเอาผมหัวหมุนติ้วจนขมับเต้นตุบๆ
การได้นั่งๆ นอนๆ ผ่อนคลายอยู่บนเตียงก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของวัยเรียนเช่นกัน ระหว่างที่ผมกำลังนั่งไล่ดูวีดีโอใน Youtube อยู่นั้นก็มีข้อความแจ้งเตือนจาก Line เด้งขึ้นมา
ผมอ่านชื่อเจ้าของข้อความก็ต้องยิ้มกว้างออกมาในทันที เพราะคนที่ส่งข้อความมานั้น เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่ห่างกันไปสักพักใหญ่ ด้วยเรื่องของที่อยู่ที่ไกลกันพอสมควร
อาจเพราะความสนิทสนมหรือความไม่ค่อยมีมารยาทที่เป็นทุนเดิมของมันเองผมก็ไม่แน่ใจ เจ้าเพื่อนตัวดีไม่ได้ทักทายด้วยคำว่า สวัสดี อย่างที่คนทั่วๆไปเขาทำกัน
‘แถวบ้านกลุปอบลงว่ะ’
เพราะรู้จักกันมานาน จึงทำให้รู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกันเป็นอย่างดี ถ้ามีเรื่องพวกนี้วนเวียนเข้ามาในชีวิต มีนก็เลือกที่จะปรึกษาผมในทันที ส่วนผมเองก็รู้ว่า ถ้าเหตุการณ์ไม่หนักหนามากมายอะไรจริงๆ มันก็คงไม่เลือกที่จะมาปรึกษาผม
เราคุยกันต่ออีกสักพักก็ได้ความว่า ช่วงนี้ในหมู่บ้านของมีน ซึ่งจริงๆ แล้ว คือบ้านเดิมของแม่ที่อยู่แถบนอกเมืองออกไป มีคนสูงอายุตายติดต่อกันหลายราย เฉลี่ยแล้วก็ประมาณอาทิตย์ละหนึ่งคนเห็นจะได้
ในหมู่บ้านแถบชนบทแบบนี้ มักจะเป็นชุมชนที่ตั้งรกรากมาเป็นเวลานาน ชีวิตความเป็นอยู่ก็ค่อนข้างจะไม่ทันสมัย แม้ไฟฟ้าสิ่งอำนวยความสะดวกจะเข้าถึง รวมทั้งร้านสะดวกซื้อและอินเตอร์เน็ต แต่พวกเขายังเคยชินกับวิถีชีวิตแบบเดิมๆ เสียมากกว่า ด้วยสภาพความเป็นอยู่เช่นนี้เอง จึงยังมีเรื่องราวของหมอดูและคนทรงที่ประกาศตัวอย่างชัดเจน และได้รับความนับหน้าถือตาจากคนในชุมชนพอสมควร
หลังจากที่มีกรณีนี้เกิดขึ้น เขาก็ได้ออกมาทำนายว่า สาเหตุของการเกิดอาเพศเช่นนี้นั้นมาจาก ปอบ ที่มาไล่กินชาวบ้านในหมู่บ้าน และจำเป็นจะต้องขับไล่มันออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด และเขาก็ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว
‘ก็ชัดเจนแล้วนี่หว่า มาถามอีกทำไมวะ’ ผมถามกลับไป
‘เออ ตอนแรกก็ว่ามันน่าจะจบ แต่หมอแกดันตายไปแล้วนี่ดิ’
จากที่นอนเล่นอยู่บนเตียง ก็ถึงกับต้องลุกขึ้นมานั่ง มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าเป็นผลมาจากเรื่องที่เล่ามาจริงๆ ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ คนที่พอจะทำได้ก็ไม่อยู่เสียแล้ว เรื่องนี้ทำให้คนในหมู่บ้านยิ่งหวาดกลัวกันเข้าไปอีก บอกตามตรงว่า ผมก็เริ่มคิดที่จะเข้าไปยุ่งกับมันด้วยตัวเองแทบจะในทันที
‘แล้วไง คือจะให้กลุไปบ้านแม่มลึง?’ ผมถามเพื่อความแน่ใจ
‘ได้ป่ะวะ กลุไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ว่ะ’ มันก็คงจะจนปัญญาเหมือนกัน
‘เดี๋ยวก่อนนะ คือ พ่อแม่มลึงรู้เรื่องกลุหรอวะ’ ผมนึกขึ้นได้
‘ไม่ดิ ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ กลุก็ไม่รู้จะพูดจะบอกยังไงว่ะ’
‘แล้วมลึงจะให้กลุไปทำไม ใครเขาจะฟังกลุ’
‘ก็นั่นน่ะสิวะ กลุไม่รู้โว้ย กลุแค่กังวล เอาเป็นว่ามาหากลุแล้วกัน ถือว่าไม่เจอกันนาน คิดถึง แล้วมลึงก็ลองสอดส่องดู อะไรที่พอแนะนำได้มลึงก็แอบๆ บอกกลุแล้วกัน อย่างน้อยก็บ้านกลุวะ’
สรุปแล้วผมก็คงต้องไปเจอมีนอย่างที่ได้เล่าไป แต่ผมก็ไม่รู้ว่าตนเองไปในฐานะอะไร ไปเพื่ออะไร ไปแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างผมกับพ่อแม่ของมีนก็เคยเจอกันมาหลายครั้ง เรียกได้ว่าค่อนข้างสนิท การที่อยู่ดีๆ เราจะไปบอกเขาว่า เราเป็นอย่างนี้ มันก็คงฟังดูแปลกๆ เพื่อนลูกชายที่รู้จักกันมานานกลับไม่ปกติเสียนี่
ผมกับมีนนัดเจอกันที่จังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของแม่ เพราะเราเรียนกันคนละที่ การนัดเจอกันปลายทางจึงเป็นเรื่องง่ายที่สุดในเวลานี้ ผมลงจากรถประจำทางตามที่มีนบอกผมไว้ก็มาถึงหน้าห้างสรรพสินค้าใหญ่ในตัวเมือง โดยที่มันนั่งรอผมอยู่แล้วที่ร้านอาหารข้างใน
เราเจอกันก็ทักทายกันตามปกติ แม้จะคิดถึงกันมากแต่จะให้ผู้ชายมาแสดงออกอะไรอย่างนี้มันก็คงจะเขินๆ ไม่ใช่น้อย ผมกับมีนขับรถออกจากห้างมาตามทาง อย่างที่ได้บอกไปว่า ผมค่อนข้างจะชอบความรู้สึกที่ได้ออกเดินทางไปตามที่ต่างๆแม้ว่าจะไม่ได้บ่อยนัก และไม่ค่อยได้ไปที่ไกลๆ สักเท่าไหร่
นานมากแล้วที่ผมเคยมาเยือนจังหวัดนี้ (ขอไม่บอกนะครับ) หลายปีผ่านไป อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปเช่นกัน บ้านเมืองที่ผมเคยคิดว่ามันบ้านนอกไม่มีอะไร บวกกับคำบอกเล่าของเพื่อนตัวดี พอมาได้เห็นด้วยตาก็รู้สึกประหลาดใจ ที่ตอนนี้บ้านเมืองมันเจริญขึ้นมาก ถนนหนทางเป็นระเบียบมีห้างร้านทันสมัยมากมาย แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกต่างจังหวด เหมือนอย่างเคย
เกือบชั่วโมงที่อยู่บนรถคันเก่งของเพื่อน เราก็มาถึงอีกอำเภอหนึ่งซึ่งเป็นที่หมาย และก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมต้องประหลาดใจ เพราะมันไม่ได้บ้านนอกอย่างที่เพื่อนผมได้บอกเอาไว้เลย แม้จะมีบ้านบางหลังเป็นไม้เก่าๆ ยกใต้ถุนสูง มีสวนผลไม้ตามข้างทางสลับกับป่ากล้วย แต่ถนนใหญ่ของชุมชนก็ถูกราดยางเป็นอย่างดี มีเส้นถนน มีเสาไฟ มีร้านสะดวกซื้อให้เห็น มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ บ้านหลายๆ หลังเริ่มทยอยปรับปรุงกลายเป็นบ้านปูนอย่างทันสมัย
ในตอนนั้น ผมลืมไปชั่วครู่ว่าผมมาที่นี่ทำไม ผมมัวเพลินกับการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปตามสองข้างทาง ความแตกต่างที่ลงตัวบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ บ้านกลางเก่ากลางใหม่ทำให้มันดูสวยแปลกตา แต่สิ่งที่ผมสังเกตได้คือ ที่ประตูรั้วของแต่ละบ้านจะมีของบางอย่างแขวนห้อยเอาไว้ บ้างก็ทำฐานที่ตั้งใหม่อย่างดี
รั้วบ้านแถวนั้นยังเป็นแบบซี่เหล็กห่างๆ ส่วนบนจะเป็นส่วนแหลม ช่องว่างพอให้เราลอดแขนผ่านได้สบาย ที่รั้วจะมีไม้ลวก (ไม้หนาม หรือใช้ไม้ไผ่เหลาให้แหลม) บ้างก็เป็นผ้าถุงเก่าๆ เปื้อนๆ บ้างก็เป็นพระพุทธรูป แต่ที่แปลกตาที่สุดก็คงจะเป็นหุ่นฟางที่ทำเป็นตัวแทนมนุษย์แขวนไว้ที่รั้วหน้าบ้าน เหมือนกับการตั้งหุ่นไล่กา
‘กลุบอกแล้ว ชาวบ้านกลัวกัน

’ มีนพูดโดยไม่ได้หันมามองทางผม
ไม่นานเราก็มาถึงบ้านของมีนที่อยู่ใจกลางชุมชน หน้าบ้านมีร้านขายของที่ใช้เลี้ยงดูส่งแม่เรียนของคุณยาย ผมกล่าวทักทายทุกคนในบ้านด้วยความเคยชิน แม่กับพ่อของมีนยังจำผมได้ แต่ก็แอบไปกระซิบกับมีน โดยที่เจ้าตัวมาเล่าให้ผมฟังทีหลังว่า แม่ถามว่า ‘พาเพื่อนมาช่วงนี้จะดีเหรอ’ มีนก็หัวเราะกลบเกลื่อนตอบกลับไปขำๆ ว่า ‘ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ มันมีพระดี’
คืนนั้นเรายังไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ออกไปเตร็ดเตร่รอบๆ หมู่บ้านที่พอจะมีที่สวยๆ ให้ไปถ่ายรูปเล่นอยู่บ้าง ช่วงหัวค่ำเรากลับมาทานอาหารเย็นและสังสรรค์กันเล็กน้อยตามประสาผู้ชายโดยมี ผม มีน และพ่อของมีนนั่งกินกัน 3 คน
บทสนทนานั้นไม่มีอะไรเป็นพิเศษจนเวลาตกดึกพ่อก็เริ่มถามผมว่า ‘เชื่อเรื่องผีไหม’ ผมก็ตอบไปตามตรงว่า ‘เชื่อครับ’ พ่อหัวเราะร่วนก็จะแซวผมเล่นๆ ว่า ‘เฮ้ย แกเรียนวิทยาศาสตร์ไม่ใช่หรอ’ สักพักจากการแซวกันขำๆ พ่อก็เริ่มวนเช้าเรื่อง ทั้งที่พ่อไม่ได้รู้เรื่องของผมเลยแม้แต่น้อย แต่ก็คงอยากจะบอกเอาไว้เพื่อความสบายใจของคนเป็นผู้ใหญ่ที่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบชีวิตของคนที่มีอายุน้อยกว่าอย่างผม
ช่วงนี้มันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนิดหน่อยในละแวกนี้ เคยได้ยินเรื่องผีปอบไหมล่ะ มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหละ แต่บางคนที่เขาหัวสมัยใหม่หน่อย ก็ว่าเป็นการตายตามอายุไขบ้าง สภาพอากาศบ้าง โรคนั่นนี่บ้างที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ แต่ก็อย่างว่า เรื่องพวกนี้ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ช่างมัน ส่วนตัวพ่อเองก็ค่อนข้างเชื่อนะ เพราะเคยเจออะไรๆ ประมาณนี้มาก่อน
พ่อยกแก้วเบียร์ในมือกระดกรวดเดียวหมด ก่อนจะหันมารินเติมใหม่แล้วชี้นิ้วออกไปนอกบ้าน เห็นไหมล่ะ แค่หัวค่ำเองเขาก็ปิดบ้านกันหมดแล้ว เหลือแต่ไฟในบ้านไม่มีใครออกมานั่งกินนั่งดื่มอะไรอย่างพวกเรา ก่อนหน้านี้คนที่เขาดูแลเรื่องนี้ก็เพิ่งป่วยตายไปเสียเฉยๆ แต่พรุ่งนี้ก็คงจะพอมีทางออกเอง ยังไงก็อย่าเพิ่งออกไปเที่ยวไหนกันดึกๆ นะ
เบียร์ในแก้วหมดไปอีกรอบ จากนั้นพ่อจึงขอตัวกลับเข้าไปนอน ปล่อยให้เราสองคนนั่งคุยกันเองตามประสาเพื่อนจะดีกว่า ผมสองคนนั่งกันต่ออีกสักพัก พูดคุยเรื่องราวในชีวิตที่ห่างหายกันไปอีกสองชั่วโมงเห็นจะได้ เมื่อเห็นว่าคนในบ้านหลับหมดแล้วเราจึงเริ่มแผนที่แอบคุยกันไว้ตั้งแต่ต้น
มีนค่อนๆ เข็นรถมอเตอร์ไซด์ออกมาจากบ้านอย่างเงียบๆ ผมค่อยๆ ปิดรั้วให้เสียงเบาที่สุด เราเข็นรถออกมาให้ห่างจากตัวบ้านพอสมควร จึงค่อยสตาร์ทรถ
เราวิ่งฝ่าความมืดที่พอมีแสงสว่างจากไฟถนนที่เพิ่งจะมีได้ไม่นาน โดยมีผมเป็นคนซ้อน เราไม่มีจุดหมายอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่ขี่รถวนไปวนมาเท่านั้น ‘เผื่อว่าจะเจออะไรบ้าง’
ระหว่างทางเราไม่ได้คุยกันมากนัก ผมไม่เท่าไหร่แต่มีนคงจะกลัวไม่ใช่น้อย แม้เราจะสนิทกันก็จริง แต่มีนก็ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกับผม ทำให้ไม่ค่อยได้ร่วมหัวจมท้ายกับผมมากนัก ครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งที่สองหรือไม่ก็สามเท่านั้น
ชุมชนแถวนั้นค่อนข้างกว้างกินพื้นที่พอสมควร เราวิ่งเข้าออกซอยเล็กซอยน้อยสลับกับถนนใหญ่ ผมไม่ได้เห็นอะไรเป็นพิเศษ นอกจากความรู้สึกเสียวสันหลัง เหมือนกับมีใครคอยมองอยู่ตลอดเวลา
ความรู้สึกนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้แน่ใจว่า ‘ไม่ปกติ’ ผมไม่แน่ใจว่าวันนั้นเป็นคืนเดือนมืดหรือเมฆฝนรึเปล่า แต่ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ไม่มีแสงดาว ไม่มีพระจันทร์เหมือนอย่างเคย อากาศเย็นผิดกับเมื่อตอนค่ำอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างคือมีลมที่โชยพัดอ่อนๆ น่าขนลุกมากกว่าสบายตัว ทำให้ผมต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ ความรู้สึกไม่ดีชัดเจนขึ้นทีละน้อย ผมสะกิดให้มีนรู้ตัวว่า เราควรกลับกันได้แล้ว เราหันรถกลับไปทางที่ผ่านมาเพื่อกลับบ้าน รถมอเตอร์ไซด์รุ่นใหม่ที่เครื่องยังดีอยู่กลับเกิดอาการกระตุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มันดับอยู่หลายครั้ง แต่ก็สตาร์ทติดได้โดยง่าย‘นี่มันไม่ดีแล้วใช่ป่าววะมลึง’ มีนหันมาถามผมเสียงสั่นๆ
‘กลุก็ว่างั้น รีบกลับเหอะ’
อีกไม่กี่ซอยเราจะถึงบ้านแล้ว แต่มีนกลับหยุดรถกะทันหันจนผมหัวคะมำไปโขกกับหัวของมีน ผมยังไม่ต้องถาม มันก็รู้ว่ามันหยุดรถทำไม เพราะข้างหน้าห่างจากเราไปสักสามสี่ร้อยเมตร มีเงาดำตะคุ่มๆ มองเห็นได้จากไฟหน้ารถมอเตอร์ไซด์ แม้จะไม่ชัดนัก แต่ความรู้สึกมันบอกได้ชัดเจนว่า ‘ไม่ใช่คน’
เงาดำนั้นนั่งยองๆ อยู่ข้างทาง หันหน้าออกจากถนน มันก้มลงมองพื้น พลางใช้มือหยิบจับอะไรเหมือนใส่ปากอย่างรีบร้อน
‘มลึงว่าเป็นคนเก็บขยะป่าววะ’ มีนถาม
‘กลุว่าไม่’
เราคุยกันแค่นั้น มีนกำลังจะวนรถกลับอ้อมไปอีกทาง ผมก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบอีกครั้ง เมื่อหันรถกลับไปพวกเราก็ต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้ง เพราะตรงหน้าเราตอนนี้ระยะห่างเพียงสี่ห้าช่วงตัวรถมีหมาดำตัวหนึ่ง ยืนจังก้าจ้องเราตาเขม็ง
มันคงไม่น่าตกใจเท่าไหร่ หากหมาดำตัวนั้น ไม่ได้มีดวงตาสีแดงสด ฉายแววผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาไร้แววของมันเหมือนจะมองมาที่เรา แต่ก็เหมือนจะมองผ่านเราไปเช่นกัน ผมเริ่มควานหา ‘แหวน’ ที่เป็นตัวแทนของสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เคารพนับถือ คล้ายเวลาที่เราควานหาสร้อยพระเช่นเดียวกัน
มืออีกข้างกำสร้อยพระที่ ‘ปู่’ ให้มาอย่างลืมตัว ‘เอาไงดีวะ’ มีนถามเพราะทำอะไรไม่ถูก แต่ยังไม่ทันจะได้ขยับตัวทำอะไรหมาดำตัวนั้นก็ออกตัววิ่งอย่างกะทันหัน เราตกใจจนเผลอร้องเสียงดัง ทำให้รถเสียหลักล้มลงไปกับพื้น แต่ดีที่มันไม่ได้วิ่งอยู่ไม่อย่างนั้นก็คงจะได้แผลกลับมาอย่างแน่นอน
ความเจ็บจากแรงกระแทกทำให้เราได้สติ จึงรีบหันกลับไปมองข้างหลัง เพราะกลัวว่าหมาดำตัวนั้นจะยังอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะมันวิ่งตรงไปยังเงาตะคุ่มๆ นั้น ถ้าตาผมไม่ฝาดไป ผมเห็นมันกระโดดใส่เงาร่างนั้นอย่างจัง แต่พอรู้ตัวอีกทีภาพตรงหน้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าของยามค่ำคืนเท่านั้น
ผมไม่ได้ละสายตาไปจากตรงนั้น แต่เหมือนกับภาพตัดต่อที่อยู่ดีๆ วัตถุมีชีวิตสองชิ้นที่วางอยู่ในคลองสายตา กลับหายไปดื้อๆ ผมที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนถนนแล้วหันไปมองมีนที่ยังนอนอยู่ สองตามันเบิกกว้างเหมือนกับปากของมัน คงไม่บ่อยนักที่เราจะได้พบเห็นอะไรอย่างนี้
เราไม่ได้รับบาดเจ็บจากการเสียหลักล้มลงไป แค่เปรอะเปื้อนฝุ่นดินนิดหน่อย รถของมีนก็มีรอยนิดหน่อยเท่านั้น พวกเรารีบสตาร์ทรถกลับบ้านอย่างไม่ต้องปรึกษากันอีก
เราอาบน้ำไหว้พระแล้วเข้านอนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยก่อนนอนเราได้คำตอบแล้วอย่างหนึ่งว่า ‘ความกลัวของชาวบ้านน่าจะเป็นความจริง’
ช่วงเช้ามืดน่าจะใกล้ๆ 6 โมงผมถูกปลุกด้วยเสียงของมีน น้ำเสียงของมันตื่นเต้นปนประหลาดใจ เสียงดังโวยวายทำให้ผมตื่นด้วยความรู้สึกมึนหัวเพราะถูกปลุกกะทันหัน ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงออกไปก่อนจะถามเพื่อนตัวดีว่า ตกใจอะไรมากมายถึงต้องมาปลุกเสียงดังอย่างนี้
มีนบอกผมสั้นๆ ว่า ‘พ่อกลุไปพาหมอผีที่บ้านมา’ ผมยังไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังจะสื่อ แต่ก็ประหลาดใจไม่ใช่น้อย ความงุนงงที่เคยมีจึงหายเป็นปลิดทิ้ง
ผมลงมาข้างล่างหลังจากรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็พบว่าที่โต๊ะกินข้าวข้างในบ้านตอนนี้มีคนประมาณ 4 5 คนนั่งอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมยกมื้อไหว้ทักทายตามมารยาทพร้อมกวาดสายตามองไล่ไปบนใบหน้าของทุกคนบนโต๊ะนั้นเท่าที่จำได้มี พ่อ แม่ ยายของมีน และ อาจารย์หวัง ส่วนอีกคนผมจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
พวกเขากำลังสนทนากันเรื่อง ‘ผีปอบ’ ที่มารบกวนหมู่บ้านนี้ โดยในตอนแรกพ่อกับแม่ของมีนพยายามกันเราสองคนออกจากวงสนทนาแต่มีนก็ขอไว้จนได้ ระหว่างสนทนาผมก็ได้รับฟังรายละเอียดของเรื่องราวอีกครั้ง แต่ผมได้ฟังจากมีนมาก่อนแล้วจึงไม่แปลกใจนัก
อาจารย์หวัง เป็นคนเก่าคนแก่ในบ้านเกิดของพ่อ พ่อตัดสินใจเชิญท่านมาเพราะอยากช่วยบ้านของแม่ หลังจากที่หมอคนเดิมได้ตายจากไปไม่นาน ก่อนหน้าที่พ่อจะไปเชิญท่านมา ยายซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่และตัวแทนของบ้านนี้ได้ไปไล่ถามความเห็นจากเพื่อนบ้านมาเรียบร้อย ทุกคนลงความเห็นว่า ‘ตกลง’ ใครก็ได้ช่วยมาแก้ไขเรื่องนี้เสียที
ตลอดเวลาที่พวกเขาสนทนากัน อาจารย์หวังหันมามองผมเป็นระยะ เหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง มีนที่สังเกตเห็นเหมือนกันก็สะกิดแขนผมเป็นระยะๆ ผมก็ได้แต่บอกให้มันเงียบๆ ไว้ก่อนอย่าทำตัวแปลกๆ
บทสนทนาจบลงในช่วงประมาณเกือบๆ 8 โมง อาจารย์หวังบอกว่าให้ทุกคนไปกินข้าวกินปลาให้เรียบร้อย เดี๋ยวค่อยออกไปสะสางเรื่องราวต่างๆ ให้เรียบร้อยกันทีหลัง แต่อย่าให้เกินเวลาเพล (ประมาณ10-11 โมง)
ผมรีบยัดข้าวเช้าเข้าปาก เพราะรู้สึกอยากคุยกับอาจารย์หวังด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ ผมเดินออกมาหน้าบ้านตรงโต๊ะม้าหินที่เราใช้สังสรรค์กันเมื่อคืน อาจารย์นั่งมองฟ้าเงียบๆ ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่ได้เล่นโทรศัพท์ เขาไม่ได้หลับตา แต่ก็ดูเงียบสงบอย่างประหลาด ผมกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปทัก
‘มาสิ มาคุยกัน’
อาจารย์เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาแทน ผมยกมือไหว้อีกครั้งเป็นการทักทายแล้วไปนั่งบนม้านั่งฝั่งตรงข้าม อาจารย์ไม่ได้หันมามอง และผมเองก็ไม่รู้ว่าจะ คุยอะไร รู้แค่ว่าอยากคุยเท่านั้น ไม่มีบทสนทนาระหว่างเราอยู่หลายนาที จนผมตัดสินใจทำลายความเงียบ
‘เอ่อ อาจารย์ครับ’
‘ลุง อย่าเรียกอาจารย์ ฉันไม่ใช่อาจารย์ของเธอ’ น้ำเสียงเรียบๆ แต่รู้ได้ว่านั่นคือการตำหนิ
ลุงหวัง นั่นคือชื่อที่ผมใช้เรียกเขาในช่วงนั้น ผมถามคำถามง่ายๆ กลบเกลื่อนไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เป็นลุงเองที่หัดมาเอ็ดผมอีกครั้งเพราะความอ้อมค้อมของผม ‘เป็นผู้ชายจะพูดอะไรก็พูดมามันตรงๆ’
ตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าการพูดเรื่องพวกนี้ยังเป็นเรื่องยาก จึงกล้าๆ กลัวๆ แต่พอเจอดุเข้าอย่างนี้ ก็คงจะต้องพูดจริงๆ คำถามสั้นๆ ที่ผมรู้คำตอบ ‘ลุงหวังรู้เรื่องผมใช่ไหมครับ’
ลุงหันมามองผมหน้านิ่งๆ เป็นเชิงยอมรับ ผมจึงพูดต่อไปว่า ผมอยากถามอยากปรึกษาลุงในหลายๆ เรื่อง แต่ยังไม่ได้ทันที่จะถามอย่างที่ตั้งใจก็โดนดุอีกครั้ง ‘ฉันไม่ใช่อาจารย์ของเธอ’
พอดีกับที่คนในบ้านออกมาพอดี พวกเราจึงต้องเคลื่อนพลออกจากบ้านไปตามสถานที่ที่ลุงหวังบอก เราเดินทางกันด้วยรถกระบะ 4 ประตูคันหนึ่ง พ่อเป็นคนขับ ผมกับมีนนั่งข้างหลังและมีลุงหวังอยู่ข้างหน้าสุด เพราะต้องแวะไปอีกที่หนึ่งก่อน โดยให้แม่กับยายของมีนแยกไปรอที่วัดในชุมชน เพื่อแจ้งข่าวกับทางท่านเจ้าอาวาสไว้ล่วงหน้า
สถานที่แรกที่เรามากันคือ ‘ศาลหลักเมืองของจังหวัด’ ซึ่งอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ใช้เวลาการเดินทางร่วมชั่วโมงเหมือนอย่างขามาของผมกับมีน ระหว่างทางพวกเราผลัดกันถามลุงหวังหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่อง ผีปอบ ที่พูดถึงกันว่ามันจริงหรือไม่
ลุงหวังยืนยันว่า จริงอย่างที่กลัวกัน ในหมู่บ้านนั้น ตอนนี้มีปอบอาศัยอยู่และค่อยๆ ส่งผลกระทบกับคนรอบข้าง แต่อย่างไรเสียก็ไม่น่าจะใช่ปอบที่มีอยู่มาแต่ดั้งแต่เดิมในหมู่บ้านนี้
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนในรถถึงกับผงะ เพราะลุงหวังกำลังจะบอกเราว่า ปอบที่ว่านั่นมันมาจากที่อื่น ผมพยายามคิดทบทวนถึงความรู้ที่ตัวเองเคยได้ยินมาพอสมควรเกี่ยวกับวิญญาณจำพวกนี้
‘ปอบจร’
ผมหลุดปากออกมาทันทีที่นึกออก ลุงหวังตอบเสียงนิ่งๆ ว่า ‘ใช่’ ปอบจรเป็นวิญญาณจำพวกหนึ่งที่เชื่อว่ามันจะย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เพื่อหากิน แต่ในอีกมุมหนึ่งแล้วมันอาจไม่ได้เดินทางไปเรื่อยๆ ตามที่เชื่อกันมา แต่มันอาจติดมากับใครสักคนที่ผ่านเข้ามาพักในสถานที่นั้นๆ ก็เป็นได้
ลุงหวังอธิบายที่มาที่ไปของสิ่งนี้ให้เราฟังตามความเชื่อโบราณที่สืบต่อกันมา ปอบจรจะมาอาศัยอยู่ในชุมชนใดชุมชนหนึ่งสักระยะหนึ่ง ช่วงนั้นจะทำให้มีคนตายติดกันอย่างไร้สาเหตุ โดยส่วนมากจะเป็นอาการหลับตายที่เราเรียกกันว่า ไหลตาย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักกับการที่เราจะไปจับหรือไปเจาะจงใครว่าเป็น ปอบ โดยพละการ
รถจอดเทียบท่าเมื่อมาถึงศาลหลักเมืองประจำจังหวัด ลุงหวังบอกว่าคนอื่นๆ จะตามมาด้วยก็ได้หรือจะรอในรถก็ได้เพราะคงไม่นานหรอก แต่สุดท้ายเราสามคนก็ตามลุงหวังลงมากันหมดลุงหวังเดินตรงเข้าไปในตัวศาลที่มีเสาหลักเมืองวางตั้งอยู่ ลุงหวังหลับตาพนมมือเงียบๆ ไม่ได้สวดหรือบ่นพึมพำอะไรออกมาเหมือนอย่างในหนัง ผมเกิดความสงสัยเล็กๆขึ้นในใจว่าลุงหวังกำลังทำอะไรและคิดอะไรอยู่กันแน่
‘เราจะไปทำกิจการงานที่ไหนก็ควรจะมาบอกกล่าวเจ้าบ้านเจ้าเมืองเขาเสียให้เรียบร้อย ไปมาลาไหว้มันเป็นมารยาท ยิ่งเราจะกระทำการทางจิตวิญญาณยิ่งควรจะรอบคอบเสียให้มาก ไม่อย่างนั้นจะซวยและเป็นอัปปรีย์กับตนเอง’
คำพูดของลุงหวังไขความกระจ่างให้พวกเราได้อย่างหมดจด เพียงไม่ถึงสิบนาทีหลังจากเราจอดรถเราทั้งหมดก็กลับมาอยู่บนถนนและมุ่งตรงไปยังหวัดประจำหมู่บ้านที่แม่กับยายล่วงหน้าไปรออยู่ตั้งแต่เช้า
เวลาผ่านไปชั่วโมงเศษเราก็มาถึงวัดที่เป็นที่หมาย จริงๆ แล้ววัดนี้อยู่ห่างจากบ้านของมีนไม่มากนัก ดีไม่ดีตอนที่ผมออกมาขี่รถวนกับมีนน่าจะผ่านแต่ผมคงไม่ได้สังเกต
ภาพบนศาลาของวัดทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก เพราะชาวบ้านมานั่งรวมตัวกันในจำนวนที่มากกว่าการคาดการณ์ของผม กะด้วยสายตาน่าจะประมาณสามสิบคนเห็นจะได้
ที่ด้านหน้าสุดมียายของมันนั่งสนทนากับหลวงพ่อที่อยู่เหนือขึ้นไปบนอาสนะ ศาลาไม้ที่เหมือนจะเพิ่งได้รับการบูรณะมาไม่นานดูเรียบร้อยสะอาดตา พวกเราเดินตรงไปรวมตัวกับคนในบ้านแถวข้างหน้า ลุงหวังก้มกราบหลวงพ่ออย่างสวยงามถูกต้อง
‘เจริญพรนะโยม คงต้องรบกวนโยมแล้ว’
หลวงพ่อทักทายลุงหวังด้วยประโยคง่ายๆ ชาวบ้านที่มานั่งรออยู่ก่อนนั้น ค่อนข้างจะร้อนใจจนเกือบไร้มารยาท เพราะไม่ทันให้ได้คนอื่นๆ สนทนากันก็ส่งเสียงโวยวาย ถามคาดคั้นเอาความว่า ใครเป็นปอบ บ้างก็ว่าจะทำร้ายไปจับมา ฟังแล้วน่าเวทนาจนหลวงพ่อต้องหยิบเอาไม้เท้ามาเคาะขันน้ำมนต์ที่ทำจากทองเหลืองเสียงดังเป็นการสั่งให้เงียบ
เมื่อทุกอย่างเงียบลง ลุงหวังก็ได้โอกาสพูดแนะนำตัวขึ้นมารวมถึงการยืนยันเรื่อง ปอบ ว่าที่ทุกคนสันนิษฐานกันเอาไว้นั้นเป็นความจริง
ลุงหวังเริ่มด้วยประโยคสั้นๆ ว่าหมู่นี้มีใครในหมู่บ้านทำตัวแปลกๆไหม มีใครที่ถูกสงสัยว่าเป็นปอบหรือเปล่า หรือมีใครที่เพิ่งย้ายเข้ามา หรือเดินทางผ่านมาค้างแรมในละแวกนี้บ้าง
ชาวบ้านหันกลับไปคุยกันไม่นานก็มีคนหนึ่งส่งเสียงให้คำตอบขึ้นมา ‘ฉันว่ายายมวล’ คราวนี้ทั้งศาลก็ระงมไปด้วยเสียงของชาวบ้าน
ลุงหวังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่ก็ถูกคะยั้นคะยอให้ไปยังบ้านของยายมวลที่ถูกกล่าวถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ดีที่หลวงพ่อปรามไว้ก่อนจะเกิดความวุ่นวายขึ้น
แต่แม้จะห้ามเหตุการณ์นั้นไว้ได้ก็จริง แต่ความเชื่อที่ว่า ยายมวลเป็นปอบนั้น ยังคงไม่หายไป เพื่อความเป็นธรรม หลวงพ่อจึงให้เด็กวัดไปเชิญยายมวลมาที่วัด เพื่อพูดคุยกันเสียให้รู้เรื่องตรงนั้น
ไม่นานนักยายมวลก็เดินเข้ามาในวัดในชุดเสื้อคอกระเช้า ผ้าถุงแบบกติไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ยายมวลน่าจะมีอายุราวๆ 70ปี แต่ก็ยังดูแข็งแรงเดินเหินสะดวกไม่กระท่อนกระแท่น
ยายมวลเป็นผู้หญิงตัวเล็กร่างบาง ผมสีขาวครึ้มทั้งหัว หยิกเล็กน้อยยาวประมาณบ่า ในมือของยายมวลมีตระกร้าหวายอันหนึ่งติดมาด้วย เมื่อมาถึงยายแกก็เดินตรงไปกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่อาสนะด้านหน้า พร้อมถามถึงสาเหตุที่เรียกตัวเธอมาพบในวันนี้
หลวงพ่ออึกอักไม่รู้ว่าควรจะพูดให้ยายมวลเข้าใจได้อย่างไรถึงคำกล่าวหาต่างๆ ของเพื่อนบ้าน ยังไม่ทันที่หลวงพ่อจะตัดสินใจอะไรได้ ชาวบ้านคนหนึ่งก็ส่งเสียงออกมากลางวงโดยไม่รู้ว่ามาจากที่นั่งตรงไหน
‘ยายมวล เอ็งมันเป็นปอบ ออกไปจากหมู่บ้านเลย’
เมื่อมีคนเริ่ม ก็มีคนส่งเสียงตามมาอีกหลายคน ผมบอกตามตรงว่า ภาพที่เห็นนั้นทำเอาผมคลื่นไส้ไปชั่วขณะ เพราะไม่คิดเลยว่าคนเราจะสามารถใส่อารมณ์และประนามคนๆ หนึ่งได้มากมายขนาดนี้ ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน
หลวงพ่อต้องตะโกนเสียงดังอยู่หลายครั้ง กว่าพวกเขาจะยอมเงียบ หลวงพ่อพยายามถามกับเจ้าตัว แต่ก็ไม่มีคำตอบใดกลับมาจากยายมวลเลยสักคำ หญิงชราเพียงแค่นั่งก้มหน้าพับเพียบในท่าทางเรียบร้อย ยิ่งทำให้คนในหมู่บ้านปักใจเชื่อมากขึ้นอีกระดับ
‘หมอหวัง พิสูจน์ที ทำได้ไหม’ ชาวบ้านคนที่นั่งใกล้ๆ เราพูดขึ้นมา
ลุงหวังคลานเข่าเข้าไปใกล้ยายมวล ที่ไม่มีท่าทีขัดขืนหรือขยับหนี ลุงหวังยกมือไหว้หญิงชราตรงหน้าพร้อมกล่าวขอโทษ ยายมวลเองก็คงจะรู้ดีว่าไม่ควรจะขัดขืนในเวลานี้ ไม่อย่างนั้นคงจะยิ่งทำให้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านสงสัยเป็นแน่
ลุงหวังเริ่มพนมมือ บริกรรมคาถาที่ผมไม่รู้จัก นอกจากภาษาอื่นแล้วยังมีภาษาเหนือปนเข้ามา คล้ายกับการแหล่ พร้อมๆ กันนั้นลุงหวังก็อธิบายให้ฟังว่ามันเป็นบทสวดขับไล่สิ่งอัปมงคลและเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาปกปักษ์รักษา หากในกายสังขารของใครก็ตามที่มีสิ่งไม่ดีเกาะกุมอยู่ จะต้องเกิดอาการผิดปกติให้เห็นอย่างแน่นอน
พิธีกรรมที่กล่าวมานั้น จะให้คนที่เชื่อว่ามีสิ่งไม่ดีอยู่กับตัว นั่งยืดขาเหยียดตรงออกไปทางทิศตะวันตก เมื่อนั่งอย่างนี้แผ่นหลังและส่วนหัวของคนที่นั่งอยู่จะตรงกับทิศตะวันออก ส่วนคนทำพิธีจะต้องนั่งอยูหันหลังให้ทิศเหนือมองตรงมายังคนตรงหน้า
ผมมาถามลุงหวังเพิ่มเติมถึงเหตุผลของเรื่องทิศเหล่านี้ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้น ก็สอดคล้องกับศาสตร์อื่นๆ ที่ผมเคยรู้มาบ้าง ทิศตะวันตก หรือทิศใต้เชื่อว่าเป็นทิศของคนตาย นั่นคือทางมาและมันจะเป็นทางกลับ ทิศเหนือและทิศตะวันออก คือแหล่งกำเนิดของแสงสว่างและคุณงามความดี
ผู้ทำพิธีจะถือว่าตัวเองเป็นทางผ่านของพลังงานด้านบวกส่งต่อไปยังคนไข้ตรงหน้า จากส่วนหัวไล่ลงไปยังปลายเท้า ความเชื่อโบราณกล่าวไว้ว่า ผีร้ายจะเข้าจากปลายเท้าออกจากปลายเท้า พลังงานชั้นสูงจะเข้ากระทบที่กระหม่อมและท้ายทอย ลองนึกภาพตามว่า เราฉีดน้ำเข้าที่กระหม่อมหรือท้ายทอย แล้วปล่อยให้น้ำไหลชะล้างไล่สิ่งสกปรกออกไปทางปลายเท้านั่นเอง
ผมถูกเรียกให้ไปนั่งพยุงหลังให้กับยายมวล เพราะอายุที่มากการนั่งในท่านั้น ก็ไม่สะดวกสักเท่าไหร่ ลุงหวังเริ่มพิธีต่อพร้อมๆ กับที่ผมเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่สัมผัสได้ ความคลื่นเหียนวิงเวียนก่อตัวขึ้นช้าๆ ในตัวผม ความรู้สึกนี้ผมเคยได้รับมันเมื่อครั้งที่ได้สัมผัสกับสิ่งไม่ดี ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า มันบ่อยแค่ไหน
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก คือร่างกายของยายมวลมีอาการสั่นเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นแต่ก็ไม่ได้มากขนาดที่คนอื่นจะสังเกตเห็นได้ มีเพียงผมกับลุงหวังที่นั่งอยู่ชิดกับยายมวลเท่านั้น
ยายมวลหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้านิ่งๆ ผมไม่เข้าใจว่า เขาต้องการจะสื่ออะไร ความรู้สึกในใจผมเริ่มสับสนและตีกันความรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่สัมผัสได้ กับการที่ไม่ได้รับความรู้สึกในทางลบกับคนตรงหน้า จะว่าไม่มีพิษมีภัยแต่ก็เปล่า คุณยายน่ากลัว ผมรู้สึกอย่างนั้น
ยายมวลพยายามประคองตัวเองจนผ่านพ้นพิธีไปได้ จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า ลุงหวังผ่อนมือให้เสียมากกว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เมื่อชาวบ้านได้เห็นแล้วว่ายายมวลไม่มีอาการอย่างที่ว่ามา ทุกคนจึงคลายใจลงได้บ้างเกี่ยวกับความสงสัยที่มี
ก่อนแยกย้ายลุงหวังได้โยงสายสิญจน์ไปทั่วๆ ศาลาขอให้หลวงพ่อผู้เป็นเจ้าอาวาสสวดมนต์ให้พรพวกเราก่อนกลับจากนั้นสำทับอีกครั้งด้วยมนต์พิธีของลุงหวัง ขันน้ำมนต์สองใบถูกวางไว้ในที่ต่างระดับ ใบหนึ่งของหลวงพ่ออยู่บนอาสนะ อีกใบวางที่พื้นติดกับตักลุงหวัง
น้ำมนตทั้งสองขันถูกทำขึ้นด้วยมนต์พิธีที่ต่างกัน แต่กลับใช้วิธีพรมออกไปพร้อมๆ กันพร้อมกับคำขู่ว่า หากใครที่เป็นปอบหรือมีสิ่งไม่ดีอยู่ เมื่อโดนน้ำมนต์นี้จะทำให้เกิดความผิดปกติ ร้อนรนจนทนไม่ได้ และอาจมาจนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ด้วยความแสลงของพุทธคุณที่มี
อาจไม่มีใครสังเกตุ แต่ผมเห็นลุงหวังจงใจพรมน้ำมนต์ข้ามยายมวลไป ไม่ให้สัมผัสโดน
พวกเราแยกย้ายกันกลับมาที่บ้าน โดยที่มีลุงหวังกลับมาด้วย คืนนี้ลุงจะค้างที่นี่อีกหนึ่งคืน เพื่อรอดูผลจากน้ำมนต์ที่ได้ประพรมไปพร้อมกับแจกจ่ายให้คนในศาลากลับไปพรมหน้าบ้านของตัวเองผมถูกถามว่า จะกลับบ้านก่อนไหม การมาเที่ยวหาเพื่อนแล้วต้องเข้ามาเจอเรื่องพวกนี้ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ แต่ผมก็บอกว่าไม่เป็นไรและยืนยันจะอยู่ต่อ
คืนนั้นเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ในช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม บรรยากาศเริ่มสงัดผิดปกติ ลมเย็นอ่อนๆ พัดผ่านหน้าต่างบ้านทำให้ขนลุกชูชัน เสียงแมลงยามค่ำคืนที่อยู่ดีๆ ก็เงียบสนิท ขาดหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน เสียงหมาจรจัดผสมกับหมาบ้านขู่กันไปมา แต่ไม่ได้หอนโหยหวน
ความแปลกที่เกิดขึ้น ทำให้คนในบ้านไม่ยอมหลับ ยังคงนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในตัวบ้าน ซึ่งมีประตูบานใหญ่มองออกไปยังรั้วบ้านได้ชัดเจน ไม่นานนักเสียงกริ่งไฟฟ้าที่ประตูรั้วก็ทำลายความเงียบ จนทุกคนต้องสะดุ้งสุดตัวอย่างตกใจ
พ่อเดินออกไปดูที่หน้าบ้าน พร้อมกับที่เริ่มได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของชาวบ้านประมาณสามสี่คน ผมเดินตามออกไป ดูติดๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนอื่น
ประตูรั้วบ้านถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่กับพื้น ในสภาพถอดเสื้อมีกางเกงขาม้าตัวเดียวสวมใส่ปกปิดร่างกาย ใกล้ๆ กันนั้นมีชายรุ่นราวคราวเดียวกัน ยืนล้อมอยู่พยายามส่งเสียงเรียกพูดคุย และล็อกแขนกับลำตัวของคนที่นั่งอยู่บนพื้นเอาไว้
‘หมอ ไอ้นี่มันผีเข้า ช่วยมันด้วย’
คนหนึ่งในกลุ่มแจ้งข่าวให้ลุงหวังที่ยืนอยู่ถัดไปให้ทราบเรื่อง ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของผมคือ หรือว่าคนคนนี้จะเป็นปอบที่เราตามหา แต่ด้วยกลิ่นเหล้าที่คลุ้งไปทั่ว ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า คนคนนี้กำลังถูกวิญญาณอื่นเข้ามาอาศัยร่าง หรือว่าเพียงแค่เมาจนขาดสติเท่านั้น
ลุงหวังเดินเข้าไปใกล้พร้อมกับเอื้อมมือไปจับที่หัวของคนบนพื้น เขาสะบัดมืออย่างแรงมาตีเข้าที่ข้อมือของลุงหวังก่อนมันจะได้สัมผัสกับร่างกายของเขา ลุงหวังดึงมือกลับ แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
ในมือของลุงหวังมีใบไม้แห้งๆ ใบหนึ่งกำอยู่ ลุงเอามันไปแตะไว้ที่หน้าผากของคนตรงหน้า ทันทีที่ใบไม้สัมผัส ก็เกิดลมกรระโชกวูบผ่านพวกเราไปจนเกือบเซ พ่อบอกให้แม่กับยายกลับเข้าไปในบ้านด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่ลมหนาวนั้นผ่านไป คนตรงหน้าที่เคยนั่งอยู่บนพื้นอย่างเสียการทรงตัว กลับนั่งนิ่งหลังตรงอย่างน่าสงสัย
ใครบางคนที่เราเชื่อว่า อาศัยอยู่ในร่างกายของชายคนนี้ เริ่มกวาดสายตาไปยังทุกๆ คนรอบตัว แล้วจึงหัวเราะออกมาสุดเสียงอย่างน่าขนลุก
‘มลึงจะทำอะไรกลุได้’
เพียงประโยคเดียวเล่นเอาพวกเราขนลุก ใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ชัดแล้ว นี่ไม่ใช่เพื่อนบ้านที่เคยรู้จักอีกต่อไป แต่เป็นใครบางคนที่เราเชื่อว่านั่นคือ ปอบ
มันชี้หน้าลุงหวัง พูดจาท้ายทายหยาบคายอย่างเสียมารยาท และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นคนตาลอยชัดๆ นัยน์ตาดำของคนตรงหน้าไม่ได้เหลือกลอยอย่างในหนัง แต่มันกลิ้งกลอกไปมาทั้งสองข้างอย่างไม่สัมพันธ์กัน จนผมกลัวว่า หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว สายตาของคนตรงหน้าจะยังปกติอยู่ไหม
ลุงหวังพนมมือสวดบริกรรมคาถาอีกครั้ง เพื่อพยายามจะต่อสู้กับวิญญาณตรงหน้า เหมือนมันจะได้ผล จากที่มันเอาแต่พูดจาว่าร้ายอย่างมั่นอกมั่นใจ ตอนนี้มันนิ่งเงียบ และจ้องมายังลุงหวังตาขวาง บางครั้งก็เหลือบมามองหน้าผม ดวงตาคู่นั้น ผมยังจำได้ดี มันน่ากลัวเกินกว่าจะจดจ้องมันได้โดยตรง
ตาขาวที่เริ่มแดงระเรื่อ คล้ายคนเป็นโรคตาแดง แต่มันแดงกว่านั้น แปลก มันไม่ได้กรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมาน มันไม่ได้สบถด่าอย่างหยาบคาย แต่มันกำลังบริกรรมคาถาอยู่เช่นกัน
ปอบในร่างชายขี้เมาตรงนั้น กำลังมีท่าทางแบบเดียวกับลุงหวัง มันนั่งชันเข่าข้างหนึ่งจ้องกวาดสายตาไปมาทำปากขมุบขมิบส่งเสียงสูงต่ำสลับกันอย่างเป็นจังหวะ เมื่อฟังดีๆ แล้วจะรู้ว่ามันไม่ได้มั่วหรือล้อเลียน การบริกรรมของมันเองก็ดูน่าเกรงขามมิใช่น้อย
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังมาจากที่ไกลๆ แต่ก็ดังพอให้รู้สึกตกใจ ผมสะดุ้งเหมือนกับที่มันก็สะดุ้งจนหลุดจากสมาธิในการบริกรรม มีเพียงลุงหวังที่ยังคงหลับตานิ่งไม่เสียสมาธิ และในช่วงที่มันตกใจ หันหลังกลับไปมองนั่นเอง ลุงหวังคว้าเอามีดหมอเก่าๆ ในกระเป๋าสะพายข้างตัวไปจี้ไว้ตรงอกมัน
เพียงปลายมีดสัมผัสกับร่างกายนั้น มันก็โรงโวยวายอย่างเจ็บปวด มันลงไปนอนดิ้นกับพื้น มือกุมตรงกลางอกที่ถูกสัมผัส ท่าทางของมันทุรนทุรายเหมือนสุนัขที่โดนน้ำร้อนสาด ผมคิดเอาเองว่าปลายแหลมของมีด คงจะทิ่มแทงเข้าไปจนเกิดเป็นบาดแผล แต่ก็เปล่าเพราะปลายมีดนั้นเป็นปลายตัด ไม่มีส่วนคมใดๆ พอที่จะสร้างอันตรายได้
เพื่อนๆ ที่กึ่งหามกึ่งลากชายคนนี้มายังบ้านของมีน พยายามช่วยกันเข้าไปกดให้เพื่อนตัวเองอยู่กับที่ ร่างผอมบางนั้นดิ้นพลาดอย่างน่ากลัว จนคนที่ยืนดูเผลอถอยออกมาก้าวหนึ่ง ยกเว้นเพื่อนของเขา
‘หึ หึ ฮ่าๆๆๆๆ’
อยู่ดีๆ ร่างที่นอนทุนรนทุรายอยู่บนพื้นก็สั่นเทิ้ม พร้อมเสียงหัวเราะเย็นเยียบน่าขนลุก ร่างนั้นไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งแต่ยังนอนหัวเราะอย่างนั้นต่อไป พร้อมกับประโยคสุดท้ายที่เราได้ยินจากคนตรงหน้า
‘จะทำอะไรกลุได้ กลุเอามลึงตายแน่’
ลุงหวังหยุดบริกรรมยืนจ้องคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ จากนั้นหยิบเอาสร้อยคอที่ตัวเองห้อยอยู่ออกมาเส้นหนึ่งจากสามเส้น(ถ้าเห็นไม่ผิด) ในกรอบพลาสติกสีขาวขุ่นมีพระทรงสี่เหลี่ยมดูมีอายุพอสมควร ลุงหวังยกพระเครื่องในมือจรดเหนือศีรษะก่อนจะบอกให้เพื่อนของคนตรงหน้าจับเขาลุกขึ้นมานั่ง
สร้อยถูกสวมลงบนคอของคนตรงหน้า จากเสียงหัวเราะกลายเป็นความเงียบแทบจะในทันที ท่าทางของคนตรงหน้าเริ่มไม่สู้ดีนัก เขาเริ่มตัวสั่นอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาอาละวาดแทนที่จะนั่งหัวเราะอย่างเดิม
เพื่อนๆ ที่เข้าไปห้ามช่วยกันล็อคแขนขา ถูกสะบัดไปคนละทิศละทางเล็บยาวๆ ของชายหนุ่มขูดแขนคนที่เข้าใกล้จนเป็นรอยแดงเลือดซิบ ภาพที่น่าขนลุกอีกภาพหนึ่งคือ แขนข้างที่ถูกเล็บยาวสกปรกของเพื่อนขูดเอาเลือดซึมออกมา ทันทีที่รอยแดงปรากฏชัด ใครบางคนในร่างของชายตรงหน้าที่ไม่ได้สติ ก็กระโจนเข้าหาท่อนแขนนั้น แล้วออกแรงกัดลงที่แขนจนจมเขี้ยว
‘โอ๊ยยยย’
เสียงร้องของเพื่อนดังจนพวกเราสะดุ้งอีกครั้ง ปากของคนตรงหน้ายังไม่ปล่อยจากท่อนแขนของเพื่อนด้วยความตกใจเจ้าของท่อนแขนจึงเผลอชกเข้าที่หน้าของเพื่อนรักเต็มแรง จนร่างนั้นร่วงลงไปนั่งกองที่พื้น
และแทบจะในทันที ที่ร่างนั้นกระแทกเข้ากับพื้นถนนมันก็หันหลังคลานไปอีกทางหนึ่ง ก่อนจะออกแรงยันตัวขึ้นพร้อมออกวิ่งสุดกำลังหายไปกับความมืดของถนน
ตลอดทางที่มันวิ่งไปมันส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย หมาจรจัดตามข้างทางไม่ได้หอนรับอย่างที่คาดไว้แ ต่พวกมันวิ่งหลบลงข้างทางหาที่ซ่อนตัว พร้อมกับขนหางที่ฟูขึ้นอย่างตื่นตระหนก พวกมันซ่อนตัวเงียบใต้รถบ้าง ใต้เงาไม้บ้าง ภาพตรงหน้าทำเอาพวกเราตัวแข็งจนไม่ทันได้คิดว่า ต้องตามไป
ลุงหวังบอกให้พวกเราวิ่งตามคนตรงหน้าที่ตอนนี้วิ่งเลี้ยวหายเข้าไปตรงซอยมืดๆ ใกล้กับบ้านของมีน ทางนั้นมืดมากเพราะเป็นทางที่ชาวบ้านถางเอาเอง ไม่ใช่ถนนใหญ่เหมือนอย่างเส้นอื่นๆ ตรงนั้นไม่มีไฟถนน แถมยังมีเงาไม้ของบ้านข้างๆสูงจนบดบังแสงไฟจากบ้านเรือน
‘ทางนั้นมันเชื่อมไปทางไหนได้บ้าง’
ลุงหวังถามคนอื่นๆ ที่น่าจะรู้เส้นทางดีกว่าตน เพื่อนๆ ของคนที่เพิ่งวิ่งหนีหายไปบอกว่า มันจะไปเชื่อมกับด้านหลังของวัดที่เราเพิ่งไปมาเมื่อเช้าได้ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งจะเป็นที่นากว้างของหมู่บ้าน ซึ่งทั้งสองทางนั้นมืดมากและช่วงนี้ถนนนั้นก็ไม่มีใครใช้เพราะว่ามันเปียกโคลนจากน้ำฝนจนเป็นปลัก
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ตลอดเส้นทางนั้นสามารถเดินออกนอกถนนที่ถางไว้ไปยังที่ต่างๆ ได้ทั้งหมด เมื่อดูจากสภาพของคนคนนั้นแล้ว เขาก็คงจะไม่สนใจถนนหนทางนัก ทางที่ดีก็คงจะต้อง แยกย้ายกัน