วันศุกร์, 29 กันยายน 2566

ปู่โสม เฝ้าสวน

สามแยกทางเข้าสวนทุเรียน มีแคร่ตัวหนึ่งให้เป็นที่นั่งมั่วสุมของแก๊งสามโทน ก่อนจะถึงยุคโควิดระบาด บ้านเมืองติดล็อกดาวน์ ใครผ่านไปผ่านมา ต้องเอือมระอากับขี้เมาหยำเป ถ้าเป็นสาว ๆ ขับมอไซด์ผ่าน เป็นต้องเป่าปากร้องแซวเป็นที่สนุกสนาน พอเมามายได้ที่ก็นอนแผ่หลาหมดสภาพ ทั้งคน ทั้งกับแกล้มหล่นเกลื่อนพื้น ให้หมาไอ้มอมมาเลียปาก เป็นภาพที่อุจาดตาแก่ผู้พบเห็น

ละแวกนี้เป็นสวนทุเรียน ราคากำลังดีส่งผลให้ชาวสวนร่ำรวย มีเงินมีทอง หลายสวนเลือกจะจ้างคนงานมาช่วยแบ่งเบาภาระ พอตกเย็นวัยแรงงานจะออกมาซื้อเหล้า ขายดิบขายดีเป็นพิเศษ

มารุตบัณฑิตจบใหม่ไม่ตกงาน ถือสุภาษิตไม่เลือกงานไม่ยากจน มาเป็นลูกจ้างคนสวนกับเพื่อนสนิท คือมนัสหรือไอ้นัส ส่วนเพื่อนรุ่นน้องอีกคนชื่อไอ้มาด เป็นคนละแวกนี้บ้านอยู่ติดวัด ชอบเข้ามานั่งปรับทุกข์ด้วย รถยนต์หลายคันวิ่งเข้าวิ่งออกจากบ้านสวน มีทั้งรถถกู้ภัย รถตำรวจ

“เฮ้ย ๆ วันนี้เกิดอะไรขึ้นวะ ถึงมีแต่คนเข้าออกบ้านสวนลุงอาจป้าลั่นทม”

มนัสสะอึกเหล้าไปทีหนึ่ง ถามขึ้น

“ลุงอาจแก…เสียแล้วพี่ ได้ยินว่าเป็นลมตายในสวน ขายทุเรียนปีหนึ่งได้เงินเป็นล้าน แต่ งกไม่ยอมจ้างคนงาน ทำกับเมียสองคน จนเป็นลมตาย อีกเดี๋ยวคงเอาศพไปไว้วัด อีกเดี๋ยวฉันก็ต้องไปช่วยงานเป็นลูกมือลุงอินมัดตราสังข์ด้วย” ไอ้มาดว่าที่สัปเหร่อเอ่ยเสียงอ้อแอ้

“ว่าแต่มีง จะเอาดีทางสัปเหร่อ ตามลุงอินรึไงวะ ไหนว่าสาวไม่แล”

“สาวไม่แล ไม่แย่เท่าไม่มี ดะ..แดร็กนะพี่ เงินใช้ได้ งานมีให้ทำไม่ขาดเลย คนทำอาชีพนี้มีน้อย นี่ลุงอินจะเกษียณอยู่แล้ว ขอให้ผมมาทำแทน ถ้าพวกพี่สนใจละก็ มาช่วยฉันเผาศพด้วยมั้ยล่ะ มีแบ่งเงินให้ด้วยนะ”

“ไม่เอาล่ะ ย่านผี”

มารุตลากเสียงยาว ก่อนจะเรอเหล้า สะอึกมาทีหนึ่ง

“ไหนว่าไม่เลือกงาน ไม่ยากจนไงวะ ไอ้คุณมารุต”

มนัสรินเหล้าใส่แก้วเป๊กให้เพื่อน ก่อนดื่ม หาหยิบมะม่วงหล่นตามพื้นแถวนั้นมาถูกับขากางเกง ทุบให้แตก กัดกินแกล้มเหล้า แล้วก็ต้องครางซี้ด เพราะเปรี้ยวเข็ดฟันถึงใจ

“กูจบการตลาดมานะโว้ย ส่งใบสมัครงาน จะให้กรอกประวัติ คุณสมบัติพิเศษเผาผีหรือไงวะ ปั๊ดโธ่”

แดดอ่อนแสง เวลาเข้าโพล้เพล้ จิ้งหรีดในสวนผลไม้ส่งเสียงขับขาน รถซีอาร์วีชะลอรถผ่านหน้า เข้าไปในบ้านสวน หญิงสาวในชุดนักศึกษา ที่นั่งข้างคนขันเลื่อนกระจกลง ทำเอามารุตมองตาค้าง ไม่ใช่แค่ความสวยผุดผาดบาดตา เธอยังเป็นรุ่นน้องในคณะด้วย

“ทำไมน้องษา มาที่นี่ได้ ไอ้นัสเอ็งรู้มั้ย”

“คุยกันแค่นี้ ทำไมมีงต้องดัดเสียงหล่อด้วยวะ จำสลับกับน้องษา ร้านคาราโอเกะเจ้ณีรึป่าว”

“ม้าย ๆ น้องษาแฟนกู จำได้แม่น”

มนัสครางฮึ๋ย ไอ้เพื่อนเมาแล้วเพี้ยน

“ก็นั่นน่ะ น้องอุษา น้องสาวไอ้เจ้าธารินทร์ เป็นลูกของลุงอาจกับป้าลั่นทม ป้าแกชอบละครเรื่องสุสานคนเป็น เลยตั้งชื่อลูกชายลูกสาว ตามพระเอกนางเอกในเรื่อง พ่อเสียทั้งทีก็ต้องมา แล้วมีงไปรู้จักน้องเค้า ตั้งเเต่เมื่อหร่าย…วะ”

มนัสมองด้วยสายตาหยาดเยิ้มไปด้วย ไม่เจอหน้าพักใหญ่ น้องอุษาสวยขึ้นมาก แต่ไม่ค่อยกินเส้นกับคนขับคือ ธารินทร์ พี่ชายของอุษา ลุงอาจกับป้านวลมีลูกสองคน กำลังเรียนอยู่ในชั้นอุดมศึกษา

“จุ๊ ๆ อย่าเอ๊ะไป คนนี้กูจองมานานแล้วโว้ย”

“งั้นเหรอ”

มนัสเล่นลิ้น

ไอ้มาดดื่มไปได้สองแก้วเริ่มมึน เอากำปั้นทุบขมับดังปึก ๆ แล้วสั่นหัวดิก

“อย่าเลยพี่ เดี๋ยวเขาไปฟ้องลุงเหลิมหัวหลิม นายจ้างพวกพี่จะซวยเอา พวกพี่แซวสาว จนชาวบ้านรำคาญ ฉันก็พลอยซวยไปด้วย จะเป็นสัปเหร่อ ชาวบ้านไม่นับหน้าถือตาไม่ได้นา”

“เดี๋ยวปั๊ด ถีบหงายหลังลงแคร่ ไอ้นี่ แล้วคราย… มันเป่าปากปรี้ด ๆ ก่อนทุกที”

มารุตบอกพอ ๆ อย่าไปทำน้องมัน

“กูขอพอก่อน เดี๋ยวจะเมาจนหมดสารรูป คืนนี้กูต้องไปร่วมงานศพพ่อตา”

พอพูดจบมารุตก็เดินหัวเอียงกลับเข้าหอ อาบน้ำแปรงฟันให้สร่างเมา มนัสร้องโธ่เว้ย เอามะม่วงปาไล่หลัง มารุตมันหน้าตาดี เกรงจะเอาจริงตามจีบน้องษา

บรรยากาศบ้านสวนช่วงหัวค่ำ นอกจากไฟกิ่งหน้าบ้านพักคนงาน รอบตัวมืดครึ้มด้วยไม้ยืนต้น พอมีรถยนต์แล่นผ่านมาที จึงเห็นร่างของมนัสกำลังนั่งดีดกีต้าร์โปร่งครวญเพลงตามประสาคนเมาอยู่บนแคร่ตัวเดิม ส่วนไอ้มาดขอตัวไปช่วยงานลุงอินทำศพ พอมนัสหันมาอีกก็เห็นหนุ่มในเชิ้ตขาว กางเกงขากระบอกสีดำ ผูกไทด์สีดำ หวีผมได้ทรง ดูหล่อเหลาขึ้นผิดตา

“เฮ้ยไอ้รุต มีงเอาจริงรึวะ”

“ก็เออสิวะ น้องษารุ่นน้องในคณะกูนะโว้ย จีบตั้งแต่น้องอยู่ปีหนึ่ง พอกูเรียนจบ กำลังเครียดเรื่องหางาน เลยไม่ได้ติดต่อน้องเค้า พึ่งมารู้ บ้านอยู่แถวนี้ ต้องรีบไปแสดงความเสียใจหน่อยแล้ว”

“ละแล้ว… เค้าจะสนมีงหรือวะ มันลูกจ้างคนสวนนะโว้ย”

“กูทำงานพาร์ทไทม์โว้ย”

“เออ มีงไป โดนไอ้ธารินทร์กระทืบมา อย่าเรียกกูไปช่วย ไอ้นี่มันชอบดูถูกคน”

คนนิสัยหมาหวงก้าง ทำได้แค่ชูมะม่วงให้ดู จะปาไล่หลัง มารุตหัวเราะเอิ้กอ้าก ซอยเท้าวิ่งข้ามถนนมุ่งหน้าไปวัด ที่เห็นหลังคาอุโบสถ ปล่องเมรุ เหนือยอดไม้ เดินอึดใจเดียวก็ถึง

ในศาลาสวดศพ บรรดาแขกเหรื่อทยอยมาร่วมงาน พอเสร็จจากพิธีรดน้ำศพ เป็นหน้าที่ของลุงอินสัปเหร่อมัดตราสังข์โดยมีหลานชายเป็นลูกมือ ก่อนจะนำร่างอันไร้วิญญาณไปบรรจุใส่โลง

ลั่นทมเป็นภรรยาที่รักสามีมาก จนถึงเวลานี้ยังร้องไห้ ตีอกชกตัว ฟูมฟายเหมือนขาดสติ บอกพี่อาจยังไม่ตาย อย่าเอาเขาใส่ไปในโลง ลูกชายกับลูกสาวต้องเข้าไปห้าม

“โธ่เอ๋ย พ่อไม่น่าจะอายุสั้นเลย ฮือ..ฮือ..โฮ”

“แม่! พ่อเสียแล้วนะครับ ทำใจได้แล้ว”

ธารินทร์เข้ามายื้อแม่ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง

“ไม่จริง! พ่อเขายังไม่ตาย!”

ลูกสาวทนเห็นภาพสะเทือนใจไม่ไหว เป็นลมล้มพับไปอีกคน คนในงานต่างร้องเรียกให้ช่วย

“อ้าว…ช่วยกันประคองหนูษาไว้เร็ว!”

เมื่ออุษารู้สึกตัวขึ้นมาเธอก็เห็น ธารินทร์ผู้เป็นพี่ชายกำลังจ้องมองเธออยู่ด้วยความเป็นห่วง

“อ้อ ฟื้นแล้วหรือ ยัยษา”

“พี่ ธารินทร์ แล้วแม่ล่ะ แม่ดีขึ้นยัง”

“พวกลุงป้าน้าอา กำลังช่วยปลอบใจอยู่ ว่าแต่ษาดูแลตัวเองด้วย นี่กินอะไรมาหรือยัง”

“ฉัน…. ฉันกินอะไรไม่ลงจ้ะพี่ จนป่านนี้ฉันยังไม่รู้เลย พ่อเสียด้วยสาเหตุอะไร”

น้ำตาของน้องสาวร่วงผล็อย

“พ่อเป็นลมตายในสวน อากาศช่วงนี้ร้อนมากด้วย แม่ป่วยนอนพักในบ้าน ไม่ได้อยู่ด้วยตอนพ่อเสีย กว่าจะมีคนมาเจอพ่อก็เสียไปได้ค่อนวันแล้ว ถ้าเจอเร็วกว่านี้คงพาส่งโรงพยาบาลช่วยชีวิตได้ทัน คงเหตุนี้ทำให้แม่เสียใจมาก”

อุษานั่งซึม พอหันไปเห็นผู้เป็นแม่ยังไม่ได้สติ เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากแม่มีความรักอาลัยในตัวพ่อมาก บางครั้งอยู่ในสภาพดูคล้ายคนบ้าคลั่ง อุษาต้องแข็งใจ กลับมาเข้มแข็ง

“พ่อจ๋า พ่อกลับมารับแม่ไปอยู่ด้วยเถอะพ่อจ๋า ฮือ..ฮือ”

ลั่นทมจะเฝ้าเดินวนเวียนไปเคาะโลงศพครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนปากก็พูดรำพันไปต่าง ๆ นานา เป็นภาพที่ดูแล้วน่าเวทนาสงสารยิ่งนัก

ก๊อก ก๊อก

“พ่อ..พ่อเอ๊ย พ่อลุกขึ้นมาคุยกับแม่บ้างสิ ลุกขึ้นมากินข้าวกินปลาเสียทีซิ พ่ออย่าพึ่งตาย ถ้าพ่อตายแล้ว แม่จะอยู่ได้อย่างไรเล่าพ่อเอ๊ย ฮือ..ฮือ..”

อุษาได้ยินคำอันกินใจของแม่ก็ให้เกิดความสงสารแม่ของตนมาก จนเป็นลมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ยัยษา เป็นลมไปอีกแล้ว มาช่วยกันหน่อยเร็ว”

ลุงเฉลิมเห็นแล้วหนักใจแทน ได้ออกปากท่ามกลางหมู่ญาติว่า

“สวดสามคืนแล้วเผาดีกว่า ถ้าขืนเอาศพไว้หลายวัน ฉันว่าแม่ลั่นทม คงจะตายไปอีกคนหนึ่งเป็นแน่”

“นั่นน่ะสิลุงเฉลิม”

พวกญาติต่างเห็นดีด้วย แต่พอลั่นทมรู้เรื่องนี้เข้าเท่านั้นกับร้องกรี๊ด

“ไม่เอา ไม่เผา อย่าเผาศพพ่อนะ เดี๋ยวเขาร้อน ฮือ..ฮือ..”

ลุงป้าน้าอา หัวหงอกก็เยอะ เข้ามาช่วยปลอบใจ และให้เหตุผล

“โถ..ถ้าไม่เผาแล้ว จะให้ทำอย่างไรล่ะ อาจเขาตายไปแล้วนะลั่นทม”

“ไม่เอาฉันไม่ยอม.. ฉันสงสารผัวฉัน ฉันกลัวเขาจะร้อน ฮือ..ฮือ..ฮือ..”

“แม่ลั่นทมเพี้ยนหนักแล้ววุ้ย”

ญาติ ๆ จึงปรึกษากัน ต้องไปนิมนต์หลวงพ่อเจ้าอาวาสมาพูด

“เอาอย่างนี้ละกัน พวกเราจะไปปรึกษากับหลวงพ่อกันดีกว่าไหม ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้ แม่ลั่นทมจะแย่เอา”

“เออ… ก็ดีเหมือนกันว่ะตาเหลิม”

แล้วญาติๆ ของผู้ตายก็พากันไปปรึกษากับหลวงพ่อ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส จากนั้นหลวงพ่อก็จำเป็นต้องออกโรงมาพูดกับลั่นทม ถือไม้เท้าเคาะกับพื้นศาลาดังก๊อกแก๊ก แรกทีเดียวลั่นทมก้มลงกราบอย่างงาม เหมือนเห็นผ้าเหลืองแล้วได้สติ แต่พอหลวงพ่อเอ่ยปากเรื่องให้เผาศพ ท่าทีของลั่นทมกลับมาเหมือนเดิมอีก ยังยืนยันไม่ให้เผาศพ

“จะเผาไม่ได้! อาจเขาจะร้อนค่ะ”

“คนตายไปแล้วก็ต้องเผาสิ โยมอาจจะได้ไปสู่สุขคติ”

แต่ทว่าลั่นทมก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิม ไม่ยอมให้เผาอยู่นั่นเอง

“เฮ้อโยมเอ๋ย โยมต้องหัดทำใจและเข้าใจในสัจธรรมของชีวิตบ้างนะ โยมอาจเขาตายไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่เพียงร่างอันไร้วิญญาณ เก็บไว้จะเป็นภาระ เห็นแล้วจะสะเทือนใจเปล่านะโยม”

“ฉันให้เผาไม่ได้ อาจเขาจะร้อน..”

ในที่สุดหลวงพ่อก็ถึงกับอ่อนอกอ่อนใจ ทุก ๆ คนได้แต่มองดูลั่นทมด้วยความเวทนาสงสารยิ่งนัก

“โธ่..แม่”

อุษาเข้ามากอดผู้เป็นแม่ สะอื้นไห้ปริ่มจะขาดใจไปด้วยกัน

ญาติผู้ใหญ่ปรึกษากับหลวงพ่อ จนได้ความคิดก็คิดอะไรบางอย่างออกมาได้

“เอาอย่างงี้ละกัน เอาศพไปบรรจุเก็บไว้ที่วัดก่อน ไว้โยมลั่นทมทำจิตทำใจได้เมื่อไหร่ค่อยเผา”

“ดีเหมือนกันหลวงพ่อ ให้เวลาลั่นทมได้ทำใจ พวกเราเป็นห่วงคนเป็น ก็เลยอยากรีบเผา”

ลุงเฉลิมพุดจบก็หันมาพยักหน้าให้ธารินทร์กับอุษา ให้สบายใจได้ ยังไงญาติผู้ใหญ่ยังอยู่ จะช่วยคิดอ่านแก้ไขให้

“เอาเถอะแม่ พ่ออยู่วัดก็สงบดี พวกเราก็หมั่นไปเยี่ยมศพพ่อบ่อยๆ ก็ได้นะแม่”

ลั่นทมไม่พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าทำให้ทุกคนในที่นั้น พากันถอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เฮ้อ..โล่งใจไปที นึกว่าคราวนี้จะไม่ยอมเสียอีกแน่ะ”

ก่อนที่พระจะขึ้นอาสน์สวดอธิธรรม ญาติมิตรและคนรู้จักเข้าประจำเก้าอี้ อุษาต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหนุ่ม ร่างสูงสมาร์ทนัยน์ตาหวานซึ้งปรากฏขึ้นมาบนศาลา แรกตกใจคิดว่าวิญญาณพ่ออาจมาปรากฏให้เห็น แต่เมื่อมองให้ดี คนนี้วัยกำลังหนุ่มแน่น พอเขาเข้ามาใกล้ถึงกับอุทานร้องเรียกชื่อพี่มารุต บัณฑิตจบใหม่คณะบริหารธุรกิจ ระยะหลังมานี้เขาขาดหายการติดต่อ เฟสบุ๊คขึ้นข้อความกำลังไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศ

“พี่ขอแสดงความเสียใจด้วย กับการสูญเสียของน้องษา พอพี่รู้ข่าวจากในเฟสบุ๊ค เลยรีบขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยทันที หวังมาดูใจ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มกินใจลึก หญิงสาวมีน้ำตาเอ่อล้น เข้ามาน้อมไหว้อย่างสุดซึ้ง ชายหนุ่มรีบเข้ามาประคองให้วงแขนกว้างโอบไหล่ ชนิดพี่ชายต้องมองตาขวาง ไอ้หนุ่มหน้าหล่อมาจากไหน ถึงได้กล้าดี ถึงเนื้อถึงตัวน้องสาว

“ยัยษา คนนี้เป็นใคร”

“พี่มารุต เพื่อนรุ่นพี่ ที่มหาลัยค่ะ”

ดูท่าทางแบดบอย ธารินทร์เริ่มจับผิด ตามประสาพี่ชายหวงน้องสาว

“แล้วทำงานการอะไร ไม่ได้มาหลอกน้องสาวผมนะ”

“พี่มารุตพึ่งเรียนจบปีนี้ พี่เขาศึกษางานที่ญี่ปุ่นค่ะ พอรู้ข่าวก็กลับมาร่วมงานทันที”

อุษาชิงตอบคำถามให้แทน

“ญี่ปุ่นนี่นะจะกลับมาทัน พวกเพื่อน ๆ ที่มหาลัย ยังไม่มีใครมาทันคืนแรกสักคน”

“ผมกลับมาก่อนแล้วครับ อยู่ต่างอำเภอ พอน้องอัพเฟสบุ๊คเลยมาได้เร็ว”

ไม่มีใครคาดคิด ลั่นทมจะโผเข้ามามากอดมารุต ร้องเรียกชื่อพี่อาจไม่หยุด ชายหนุ่มยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่แค่นยิ้ม อุษาอายมากที่แม่เป็นเช่นนี้ รีบขอโทษขอโพย พวกญาติเข้ามาสอบถาม ไม่แปลกใจลั่นทมจะเข้าใจผิด ในเมื่อชายหนุ่มแปลกหน้า มีหน้าตาคล้ายคนตายสมัยหนุ่ม ๆ ผิดตาก็แต่ลุงเฉลิม รู้สึกคุ้นหน้าพิกล จะเป็นคนเดียวกับไอ้หนุ่มลูกจ้าง ไม่ทันได้ซักถาม อุษาก็คว้าข้อมือไปหลบมุม เธอคิดแผนการได้แล้ว จะพูดกับแม่ให้เข้าใจได้อย่างไร

“พอ ๆ ทียัยษา มาจับมือถือแขนกันอยู่ได้”

ธารินทร์รู้สึกไม่ถูกชะตาพิกล ถ้าไม่ติดแขกเหรื่อ จะกระชากคอเสื้อไอ้หนุ่มไล่ออกจากงาน

“พี่มารุตช่วยทีเถอะค่ะ ช่วยพูดกับแม่ที”

“ช่วยยังไงครับ ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย”

ชายหนุ่มพูดจาตะกุกตะกัก ยิ่งพี่ชายอุษามายืนกันท่าด้วย

“ก็ช่วยสวมรอยเป็นพ่ออาจให้ที ช่วยพูดปลอบใจแม่ลั่นทม ตอนนี้แม่ยังตั้งสติไม่ได้เลย ไม่ยอมรับว่าพ่อเสียแล้ว ลุงเฉลิมกับหลวงพ่อมาพูดก็ไม่ฟัง ฉันเห็นแต่พี่มารุตเท่านั้น”

ธารินทร์ร้องเฮ้ย เข้ามาจ้องตาเขม็ง ไอ้หนุ่มลูกจ้างคนสวนเริ่มเหงื่อตก คิดในใจจะโดนต่อยไหมเนี่ย

“ความคิดเจ๋งมากยัยษา ไอ้หมอนี่หน้าตาคล้ายพ่อสมัยหนุ่ม ๆ มิน่าแม่เข้าใจผิด ถ้างั้นเอาตามแผนการนี้เลย”

“เดี๋ยว ๆ ก่อนครับ จะตัดสินใจแทนผมไม่ได้นะ หลอกคนป่วย ผมทำไม่ได้หรอก”

“ไอ้รุด ถ้าแกคิดจะจีบน้องสาวของฉัน แกต้องทำ ไม่งั้นออกจากงานไปเลย”

ธารินทร์จะเข้ามากระชากคอเสื้อ อุษาเข้ามาขวาง สั่งให้หยุด

“นะคะพี่มารุต ช่วยหน่อย แล้วฉันจะบอกรายละเอียดให้ฟัง ต้องพูดอย่างไรบ้าง คิดเสียว่าเอาบุญกับคนแก่”

“ได้ ๆ ครับน้องษา ปกติผมโกหกใครไม่เป็น แต่เพื่อน้องษาเอ๊ย เพื่อคุณแม่น้องษา ผมจะพยายาม”

เวลายิ้มทีเห็นฟันขาววาว ดวงตามีเล่ห์ ธารินทร์รู้สึกตงิด ๆ อึดอัดใจ เซ้นส์มันบอก ไอ้คนลักษณะนี้มันกะล่อน

พระเริ่มสวดอธิธรรม ลั่นทมนั่งปั้นหน้ายิ้ม ยกมือพนม พวกญาติได้แต่ส่ายหน้า คงจะเพี้ยนไปแล้ว หวังว่าจะเป็นไม่นาน พอเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา อุษาคว้าข้อมือแม่ให้ตามมา

“จะพาแม่ไปไหน แม่จะอยู่กับพ่อที่นี่”

น้ำเสียงเลื่อนลอยของลั่นทม

“ตามมาค่ะแม่ พ่อรอเราอยู่นะ”

“ใช่ครับแม่ พวกเราจะพาแม่ไปพบพ่อ”

ธารินทร์จำใจต้องช่วยเล่นละครอีกคน

แขกเหรื่อลงจากศาลาจนโปร่งตา ในมุมหนึ่งมีชายหนุ่มรูปร่างสูงสมาร์ทนัยน์ตาชวนฝันยืนหันหลังอยู่ ลั่นทมแทบลืมหายใจ พอเขาหันหน้ามา ลั่นทมโผเข้าไปกอด ร้องบอกลูก ๆ ว่านี่ไงพ่อยังอยู่กับเรา

“ใช่แล้วค่ะแม่ พ่ออาจยังอยู่กับเรา คราวนี้แม่ต้องฟังพ่อพูดบ้างนะ” อุษายืนน้ำตาซึม

“ได้ ๆ สิ พูดมาเลย แม่จะฟัง”

ภายหลังจากนั้น บทพูดทั้งหมด ที่ได้ทบทวนกันไว้ ได้พรั่งพรูออกมา มารุตรู้สึกเขินพิกล ที่มีคนเฒ่าคนแก่อยู่เฝ้าศพมามุงดูด้วย ธารินทร์หันไปทำเสียงจุ๊ปากให้คนอื่นเงียบ ไม่ต้องวิพากย์วิจารณ์ ยัยษากำลังกล่อมให้แม่ลั่นทม ยอมตัดใจจากพ่อ ครู่ต่อมาแผนการทำท่าจะสำเร็จไปอย่างงดงาม
ลั่นทมรู้สึกผิดในใจ ที่ไม่ได้ดูแลสามี ปล่อยให้ตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่แม้แต่จะได้ร่ำลา

“แม่จ๊ะ พ่อยังอยู่นะ เพียงแต่ติดธุระต้องเดินทางไกลเท่านั้น”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มของมารุต สมัยเรียนเคยเล่นละครของคณะ เรื่องแบบนี้ทำได้สบาย เพียงแต่ยักท่าเล่นองค์ไปเท่านั้นเอง

“ได้จ้ะพ่อ ฉันดีใจที่พ่อไม่โกรธ ฉันผิดเอง ที่ไม่ดูแลพ่อ”

“ถ้างั้นเรื่องศพละแม่ จะทำยังไง” อุษาถามแทรก

“ก็เผาตามพิธีไปสิยัยษา พ่อจะได้ไม่มีห่วง”

คืนต่อมา ลั่นทมทำหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อ พูดจาได้เป็นปกติ จนกระทั่งถึงวันเผาศพได้ผ่านพ้นไปด้วยดี ทุกคนยกความดีความชอบให้อุษา เธอช่างมีไหวพริบปฏิภาณ แก้ไขปัญหาให้แม่กลับมาเป็นปกติ ส่วนมารุตได้หายหน้าไป เพราะมัวยุ่งกับการสมัครงาน

ในวันเก็บอัฐิ ลั่นทมร่ำไห้คร่ำครวญหาสามีอีกครั้ง แทนที่จะเก็บอัฐิไว้ในสถานที่อันควร แต่ใส่ผ้าขาวหอบไปไว้ในห้องนอน นำเอาดอกไม้กับอาหารคาวหวานใส่ถาดเล็กๆ ให้สามี พูดจาด้วยในห้อง ธารินทร์กับอุษาแอบฟังอยู่ รู้ว่าแม่ยังไม่ปกติอย่างที่เข้าใจ

“พี่ตัดสินใจแล้ว เราต้องพาแม่ ไปให้หมอตรวจสุขภาพจิต เป็นทางออกเดียวจะแก้ไขได้”

“ฉันเห็นด้วย ว่าแต่แม่จะยอมหรือเปล่า นอกจากเวลาอยู่กับกระดูกของพ่อ แม่พูดจาเหมือนคนปกติ เมื่อวานก็คุยกับลุงเฉลิมดิบดี ถ้าให้ฉันบอกคนอื่นว่าแม่ยังเพี้ยนอยู่ เขาจะไม่เชื่อกัน”

“หรือว่าแม่จะแกล้งแสดงละคร ตบตาทุกคน”

“อืมม์ มันก็น่าคิดนะพี่”

“ว่าแต่ไอ้รุต มันหายหัวไปไหน คบกันจริงรึเปล่า ไม่ใชว่าคบคนโน้นที คนนี้ที ดูท่าทางจะกะล่อน”

“ก็พี่เขาทำงานอยู่ต่างประเทศไงค่ะ เช้านี้ยังส่งภาพมาให้ดู”

จนวันหนึ่ง อุษาอดรนทนไม่ไหว ได้เข้าไปในห้องของแม่

“แม่คะ! ทำไมแม่ต้องเอากระดูกของพ่อ มาไว้ในห้องด้วย พ่อจะมีห่วง ไปสู่สุขคติไม่ได้นะคะ”

“ไม่! พ่อต้องอยู่กับแม่ ยัยษา อย่ามาพูดกับแม่แบบนี้อีกนะ”

“แต่ว่า… พ่ออาจ ตายไปแล้วนะคะ”

“ไม่! ไม่ตาย พ่อเขาบอกแล้วไง มีธุระต้องเดินทางไกล ถึงเวลาจะกลับมาเอง แม่ถึงเอากระดูกพ่อมาไว้ในห้องไง พ่อจะได้กลับมาถูก”

คราวนี้อุษาเรียกน้ำตาออกมาบ้าง เพื่อเรียกความสงสารจากแม่

“.แม่ไม่ห่วงลูก ๆ บ้างเลยหรือคะ หนูกับพี่ธารินทร์แทบไม่เป็นอันเรียน ต้องมาคอยเฝ้าแม่ กลัวแม่จะคิดมากจนเจ็บป่วย”

ลั่นทมถอนหายใจ คล้ายรู้คิดได้

“ไม่ต้องห่วงแม่หรอกนะยัยษา แม่อยู่ตามลำพังได้ มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป เงินทอง พ่อเขาทำไว้ให้เราสามคนสุขสบาย ตอนนี้แม่จ้างคนงานมาดูแลสวน ไม่ได้ทำงานหนักอีกแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าห่วง”

อุษาได้แต่เอามือเท้าคาง นึกกลุ้ม ถ้าตอนนี้มีพี่มารุตตัวดีอยู่ด้วยก็คงดี

ในเย็นวันหนึ่ง ธารินทร์ได้รับโทรศัพท์จากน้องสาวให้กลับบ้านด่วน ตอนนี้แม่กำลังทำบางสิ่งที่น่ากลัว

“เกิดอะไรขึ้นยัยษา แม่ทำอะไรอีก”

“แม่เอาเจดีย์ใส่อัฐิมาไว้ในสวนจ้ะพี่ ฉันห้ามแม่แล้ว ไม่ยอมฟังเลย”

อุษาและ ธารินทร์ได้แต่งุนงง แม่สั่งให้คนงานเอาเจดีย์ใส่อัฐิมาไว้ในสวนทุเรียนทำไม แล้วยังจ้างหมอผี ท่าทางน่ากลัว มาทำพิธีบางอย่าง พอเสร็จพิธี รับเงินแล้วพากันกลับไป ลุงเฉลิมพึ่งตามมาดูถึงกับอุทาน มองออกว่าลั่นทมให้หมอผีมาสะกดวิญญาณให้อยู่เฝ้าสวน คนดี ๆ ที่ไหนจะเอาหมอผีมาสะกดวิญญาณญาติของตัวเอง

“พ่อกลับมา อยู่กับแม่แล้วนะลูก”

“กลับยังไงคะแม่ พ่อตายไปแล้ว”

“กลับมาแล้ว แม่ถึงทำบ้านให้พ่ออยู่ไง พ่อบอกว่าจะอยู่กับแม่ ช่วยเฝ้าสวนของเรา ตอนนี้ทุเรียนราคากำลังดี สวนเราก็ใหญ่โต คนงานดูแลไม่ไหว กลางคืนมันมีขโมยมาลักตัดทุเรียน พ่อจะช่วยไล่ให้”

“พ่อไม่ใช่ปู่โสมนะแม่ จะให้มาเฝ้าสมบัติ ทำอย่างนี้วิญญาณพ่อจะไม่สงบสุขนะแม่”

“เข้าใจผิดแล้วลูก แม่ทำเพื่อครอบครัวของเรานะ”

“โธ่…แม่”

นับตั้งแต่ที่ลั่นทมเอากระดูกสามีมาไว้กลางสวน ชาวบ้านละแวกนั้น หากต้องสัญจรในเวลากลางคืนไปตามถนนเลาะเขตสวนทุเรียน จะพบเห็นวิญญาณของลุงอาจ เดินไปมาในสวนเหมือนตอนยังมีชีวิต แต่โผล่มาแค่ท่อนบนบ้าง ท่อนล่างบ้าง บางคืนขึ้นไปเขย่าต้นไม้

เหยื่อการหลอนหลอนที่เป็นข่าว มีนายเชิดกับแฟน ทำงานโรงงาน มีโอทีบ่อย ต้องกลับดึก ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านมา ว่าจะไม่เหลียวไปมองแล้ว ผีมันเขย่าต้นไม้ให้หันไปมอง เห็นโหนกิ่งไม้ แลบลิ้นยาวพาดอก ทำเอาขวัญผวา ขับรถตกท้องร่องหัวหูจมโคลน ดีนะไม่เป็นอะไรมาก

ยิ่งดึก จะมีเสียงหมาเห่าหอนเกือบตลอดคืน ทำเอาคนบ้านใกล้ไม่ได้หลับนอน ลุงเฉลิมเจ้าของสวนข้างเคียง กลางคืนจะต้องออกมาดูแลป้องกันขโมยเข้ามาลักตัดทุเรียน ต้องเจอดีเข้า นายอาจกลายเป็นผีเฮี้ยนไปแล้ว หลอกหลอนแม้แต่แก พอเช้ามาได้นำเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับหลวงพ่อ ถึงกับอุทาน โยมลั่นทม ทำให้วิญญาณของสามีเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ไปแล้ว

อุษากับธารินทร์ไม่ได้นิ่งนอนใจ คิดหาวิธีแก้ไขให้ดวงวิญาณของพ่อไปสู่สุขคติ

“เราต้องไปหาหมอผี มาคลายสะกดแล้ว ยัยษา”

สองพี่น้องไปปรึกษากับลุงเฉลิม ก็ได้พาตัวไปปรึกษากับหลวงพ่ออีกที

“เรื่องมันชักยุ่งไปกันใหญ่ โยมลั่นทมไม่น่าเลย วิปริตผิดเพี้ยน ทำแบบนี้วิญญาณของโยมอาจจะเฮี้ยน หลวงพ่อเดินเหินไม่สะดวก จะไปแก้อาถรรพ์คงยาก เอาแบบนี้ละกัน อาตมารู้จักโยมที่เก่งด้านนี้ แนะนำให้มาช่วยได้”

หลายวันต่อมา อุษากับธารินทร์ได้ไปเชิญผู้ทรงภูมิมาทำพิธี เป็นคนร่างท้วม ศีรษะล้านใบหน้าดุดัน โดยมีทีมงานแบกกล้องบันทึกภาพติดตามมาด้วย ปกติไม่ได้รับงานจ้าง จะช่วยก็แต่เฉพาะคนเดือดร้อน พอไปถึงเจดีย์ใส่กระดูกตั้งอยู่กลางสวน กำลังนัดแนะทำพิธีเสร็จ จะให้อุษากับธารินทร์เอากระดูกไปเก็บไว้ที่วัด ไม่ทันลงมือ ลั่นทมกำลังเอาอาหารมาเซ่นไหว้สามี เป็นอันมองตาขวาง ลูก ๆ พาใครที่ไหนกันมาวุ่นวายกับบ้านของพ่อ

“ออกไปเลยนะ! แกเป็นใคร กล้าดียังไงมายุ่งกับบ้านสามีของฉัน”

ชายศีรษะล้านไว้หนวดได้แต่ส่ายหน้า ถ้ามีคนขวาง จะทำพิธีไม่ได้

“หมอช่วยแม่ผมก่อน แม่อาจโดนผีเข้า”

ธารินทร์เห็นแววพิธีล่ม เข้ามาเจรจา

“อาการนี้ไม่ได้โดนผีเข้า แต่สติวิปลาส หมอเห็นจะช่วยไม่ได้ คืนนี้หมอมีนัดกับรายการทีวี ขอตัวก่อนนะ”

“จะทำไงดีพี่… แผนของเราล้มเหลวเสียแล้ว”

อุษายืนสะอื้นไห้ ตอนนี้แทบไม่เป็นอันเรียน ต้องมาเฝ้าแม่

“ไอ้มารุต มันคนเดียวเท่านั้น จะช่วยเราได้”

“แต่ฉัน ติดต่อพี่เขาไม่ได้เลย”

อุษาได้แต่ร่ำไห้ ในชะตากรรมของแม่

นับแต่มารุตได้หายหน้าไป ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับรถเก๋งป้ายแดง สามแยกปากหมาที่เคยเงียบเหงาไปพักใหญ่ได้กลับมาครื้นเครงอีกครั้ง มารุตได้งานทำในบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง เลยให้รางวัลชีวิตด้วยการดาวน์รถมาขับ

ตะวันตกดิน บรรยากาศบ้านสวนเดิมทีเปลี่ยวอยู่แล้ว เต็มไปด้วยแมกไม้ บ้านแต่ละหลังอยู่ห่างไกลกัน รอบตัวมองเห็นได้ไม่ไกล เลยออกไปมีแต่ความมืดอันน่าสะพรึง พอถึงหกโมงเย็น ยวดยานที่เคยสัญจรได้หายไป มีแต่แสงไฟกิ่งหน้าหอพักคนงานให้รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ร้าง

ยิ่งดึก อากาศเย็นจนขุนลุกชัน มนัสรู้สึกเสียวสันหลังอยู่ครั่นคร้าม มองเข้าไปในสวนของป้าลั่นทม ที่อยู่เบื้องหน้า แค่มีถนนกั้นกลาง มารุตกระดกเหล้าจนเมาได้ที่แล้ว ทิ้งมาดสุขุมกลับมาบ้าบอ บอกพรรคพวกให้ช่วยร้องเพลงไก่ย่างให้ที แล้วลุกขึ้นมาทำท่าเซิ้งประหลาด โกงโก้แอ่นหน้าแอ่นหลัง

พรรคพวกเอาช้อนกับจานมาเคาะดังโป้งปัง ด้วยจังหวะเร่งเร้า ทำลายความเงียบไปได้หน่อยเดียวก็เงียบเสียง มนัสกับไอ้มาด ดูไม่ครึกครื้นเหมือนอย่างเคย จนมารุตต้องเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

“ทำไมแถวนี้มันเงียบนักวะไอ้นัส กะจะอวดรถป้ายแดงให้สาว ๆ ดูหน่อย”

“เงียบก็เปิดเครื่องเสียงสิวะ กูเมื่อยมือแล้วโว้ย”

“เออ…ดี กูจะเปิดเครืองเสียง”

มารุตเดินเอาหัวนำไปก่อน ขาซ้ายปัดขาขวา เอากุญแจไปเปิดประตูรถ เสียงหมาดังจากแผ่วเบา คล้ายมันวอร์มลูกคอ พอได้ที่แล้วส่งเสียงประสานราวกับวงคอรัสจากเมืองผี ไอ้นัสถึงกับสำลักเหล้า บรรยากาศตอนนี้เยือกเย็นน่ากลัวจับใจ

บรู้วว์…บรู้ววว์..บรู้ว์ว์ว์ว์ว์ว์….!!!

“เฮ้ย ๆ ให้เปิดเพลงโว้ย เปิดอะไร”

“กูยัง… ไม่ได้เปิด”

มารุตโก่งคอตอบกลับมา ในเมื่อยังหารูกุญแจไม่เจอ

“รถพี่รุตพี่สิงรึเปล่า ระวังโดนย้อมแมว เอารถชนคนตายมาขายต่อนะพี่”

ไอ้มาดได้ที่แซว

“นั่นปากหรือนั่น รถคนนี้เทวดาประทับโว้ย!”

พอเปิดประตูรถเข้าไปได้ เปิดเพลงจังหวะดิสโก้ขับไล่ความวังเวง ชนิดให้หมาโก่งคอหอนจนคอแตก เสียงโดนกลบหมด คนตรีจังหวะเร้าใจกับแอลกอฮอส์ สร้างความครื้นเครงเต็มที่ เหล้าสี น้ำแข็งโซดาน้ำทำเอากระเพาะปัสสาวะเต็มไว พอถึงเวลาปลดปล่อย พากันไปยืนแอ่นอยู่ข้างแนวรั้วลวดหนาม ด้านในเป็นอาณาเขตสวนทุเรียนของป้าลั่นทม

“มีตาลุงที่ไหนมาเดินท่อม ๆ คนเดียวในสวนวะไอ้นัส”

มนัสขยี้ตามอง แล้วร้องไอ๊หยา แสงจากไฟกิ่งมาถึงตรงนี้ริบหรี่ พอมองออกแค่เงาคน ลุงคนนั้นเดินเหมือนลอย

“เห็นแค่เงา ผมก็รู้แล้ว ลุงอาจไงพี่ แกชอบมาเดินยาม ระวังพวกหัวขโมยมาลักตัดทุเรียนในสวนของแก” ไอ้มาดยืนควบคุมกระบอกฉีดน้ำส่ายไปมา ร้องบอกขึ้น

มารุตกับมนัสหันมามองหน้ากัน แล้วต้องตาเหลือก ความเมาทำให้ประสาทสั่งการช้าไปหลายวินาที หนังหัวหนาขึ้นจนชา เส้นผมชี้ตั้ง ในเมื่อลุงอาจแกเสียไปแล้ว ที่เห็นอยู่นี่ไม่ใช่คน มนัสแหกปากร้องผีหลอก! หันหลังวิ่งอ้าว มารุตคว้าคอเสื้อไม่ให้วิ่งได้ก่อน แล้ววิ่งแซงขึ้นหน้ากลับเข้าหอ ทิ้งไอ้มาดยืนเกาหนังหัว ไม่เข้าใจสองคนนั่นกลัวทำไมกะอิแค่ผีลุงอาจ แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ถึงเป็นสัปเหร่อ ใช่ว่าจะไม่กลัวผี

“เฮ้ยพี่! รอผมด้วย”

รุ่งเช้ามีคนมาเคาะประตูเรียก พอคนข้างในห้องยังเงียบ ยิ่งเคาะแรงอย่างไม่เกรงใจ มารุตพาขอบตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า ลุกไปเปิดประตู แทบจะหันหลังหลบหน้า เมื่อคนที่มาเรียก คืออุษานั่นเอง

“พี่มารุต เรียกตั้งนาน ทำไมไม่ยอมออกมา”

อุษามองเขม็งในสารรูปสุดโทรมของมารุต ท่าทางเธอจะโมโหเอามาก

“เออ… เรื่องนี้พี่อธิบายได้”

“พี่มาคบค้าพวกนี้ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่ฉันหาทางติดต่อพี่ตั้งนาน ทำไมไม่ติดต่อกลับ รู้มั้ยฉันกำลังเดือดร้อน”

เธอเห็นเขาตั้งแต่วันแรกที่พ่อเสีย ถึงได้เลื่อนกระจกรถมาดูให้ชัด ไม่อยากซักเรื่องนี้ เพราะคงกะล่อนตามเคย

“ละแล้ว จะให้พี่ช่วยเรื่องอะไร พี่งงไปหมดแล้ว”

แล้วสีหน้าบึ้งตึงของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นสะอื้นไห้

“ไปพบแม่ของฉันที พี่มารุตสวมรอยเป็นพ่อของฉัน หว่านล้อมขอให้แม่ออกจากบ้าน วันเดียวก็พอ”

มนัสพอได้ยิน หัวเราะงอหายก็เข้ามาตบบ่าตบหลังเพื่อน

“เอาเลย ออกเดทกับแม่หม้ายรุ่นใหญ่ จะได้สุขสบาย”

มารุตร้องว๊าก! หันมาไล่ถีบถองเพื่อนปากดี ยุส่งดีนัก

อุษาจะทำไปเพื่ออะไร มารุตเมาค้าง สมองยังไม่แล่น อุษาบอกให้ทำยังไงก็ได้ ให้พาแม่ออกจากบ้าน พาไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ส่วนทางนี้ จะพาหมอผีมาทำพิธีถอนสะกดวิญญาณของพ่อ

“ไม่รู้ล่ะ พี่ต้องช่วยฉัน พี่ธารินทร์กับลุงเฉลิมไปตามหมอผีมาแล้ว แต่จะทำพิธีไม่ได้ เพราะแม่คอยขวาง พี่ต้องสวมรอยเป็นพ่อ ไปล่อเอาแม่ออกมา”

“จ๋าจ้ะ แค่ให้พาตัวออกนอกบ้าน ถ้างั้นพาไปวัดดัง ไปกับพวกพี่ ว่าจะไปขอรดน้ำมนต์เรียกขวัญ”

แผนการจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ในเมื่อมีมารุตเป็นหัวหอกสำคัญ มาชักชวนแม่ออกไป

เจดีย์บรรจุกระดูกกลางสวน ลั่นทมกำลังเอาอาหารมาเซ่นไหว้วิญญาณของสามี ที่เอวมีปืนพกอยู่ด้วย เพื่อป่องกันไม่ให้คนมารบกวนบ้านของสามี รู้ว่ามีคนจะเข้าแอบอยู่ด้านหลังต้นทุเรียน พูดคุยกระซิบกระซาบ เลยหันไปตวาด

“นั่นใคร ออกมานะ ไม่งั้นแม่ยิงไส้แตก”

“แม่จ๋า นี่ลูกษาเองจ้ะ”

ลูกสาวไม่ได้มาคนเดียว ยังพาชายหนุ่มมาด้วย ลงทุนให้สวมชุดของพ่อ เพื่อให้สมจริง ลั่นทมบ่อน้ำตาแตกถลาเข้าไปสวมกอด ร้องเรียกพ่ออาจไม่หยุดปาก มารุตนึกหวั่นปืนในมือป้าเสียจริง นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว เกิดโป้งป้างขึ้นมาจะตายเอา แล้วหันไปพยักหน้าเรียกมนัสกับไอ้ผาดให้เข้ามาช่วยกัน งานนี้พิสูจน์น้ำใจเพื่อน ถ้าไม่ช่วยคือเลิกคบ

“แม่ลั่นทมยังจำได้ไหม เราเคยสาบานรักกันที่วัดหลวงพ่อโสธร วันนี้เรากลับไปที่นั่นกันอีกนะ”

แผนการที่ซักซ้อมไว้กับอุษาได้เริ่มขึ้น กว่าจะไปกลับกินเวลามากโข

“แต่วัดอยู่ไกลนะ แม่ต้องเฝ้าบ้านของพ่อ”

“ไม่ไกลเลย เพราะอยู่ใกล้หัวใจตลอดนี่ไง”

อุษาได้ฟังรู้สึกคลื่นไส้ สำนวนจีบสาวสุดเห่ย มารุตเคยใช้จีบเธอ

ในที่สุดแผนการก็สำเร็จ สามคนนั้นพาแม่ลั่นทมขึ้นรถ โดยที่มือยังถือปืนไปด้วย อุษาโบกมือร้องบอกให้ปลอดภัยนะทุกคน ธารินทร์พาหมอผีโผล่หน้าออกมา บอกให้เริ่มพิธีได้เลย

“เร็ว..ยายษา เก็บของออก เราต้องทำพิธี”

“จ้ะพี่”

พวกผู้ชายเข้ามายกส่วนครอบของเจดีย์ออก ให้หมอผีมาทำพิธีคลายสะกด ซึ่งก็คือหมอผีคนเดิม งานนี้ได้เงินสองต่อ อุษานึกเจ็บใจแต่ต้องยอม พอเสร็จพิธี เธอกับพี่ชายรีบขุดเอาห่อกระดูกของพ่อไปไว้ที่วัด ส่วนคนงานเอาส่วนครอบวางเจดีย์วางไว้ตามเดิม ลุงเฉลิมรออยู่ก่อนแล้ว ชี้ว่าต้องเก็บไว้ที่ไหน ลั่นทมจึงจะตามหาไม่เจอ

“เราทำสำเร็จแล้วพี่ วิญญาณของพ่อไปสู่สุขคติแล้ว”

อุษาร้องไห้โฮออกมา เมื่อคลายแรงกดดันลงได้

ธารินทร์และอุษาสบตา และยิ้มให้กัน ป่านนี้วิญญาณของพ่อคงไปผุดไปเกิด ไม่ต้องมาห่วงสมบัติอะไรอีกแล้ว

พอสายหน่อย โทรศัพท์จากมารุตได้ดังขึ้น บอกว่ายังไปไม่ถึงไหนเลย ติดด่านตำรวจเสียก่อน อุษาใช้ผ้าเช็ดน้ำตาไปด้วย บอกไม่ต้องแล้ว ให้พาแม่กลับมาได้ คนปลายสายน้ำเสียงตกใจ บอกกลับไม่ได้ ตอนนี้อยู่โรงพัก ช่วยมาประกันตัวที โดนข้อหาพกพาอาวุธปืน


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ
ตัวตายตัวแทน