เรามาเริ่มกันเลย ขอใช้ชื่อนามสมมตินะคะ เราเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่พ่อกับแม่เป็นคนต่างจังหวัดมาทำงานอยู่ที่นี้ เราก็ เลยเติบโตและเรียนหนังสืออยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเรากำลังเรียนอยู่ชั้น ปวช.2 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ในช่วงนั้นเราเป็นเด็กดื้อเงียบชอบเที่ยวตอนกลางคืน แต่เวลาไปไหนเราจะขออนุญาตแม่ตลอด ซึ่งตอนนั้นเป็นวัยกำลังอยากรู้ อยากเห็น จะต้องมีปาร์ตี้ สังสรรค์ กินเหล้า (แต่ไม่สูบบุหรี่) เราเป็นคนที่ขี้กลัวผีมาก เชื่อในสิ่งลี้ลับ พวกผีวิญญาณ เวลามีใครเล่าเรื่องผีจะต้องนอนไม่หลับตลอด ซึ่งเราไม่เคยทิ้งการเรียน
ได้เกรด 3 กว่าตลอด และสอบได้คะแนนเยอะที่สุดในห้องเสมอเรามีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่สนิทมากกว่าใครชื่อว่า ออม มันจะชอบมารับที่หน้าบ้าน ให้เราไปนอนเป็นเพื่อนมันที่หอเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งหอมันอยู่ห่างจากบ้านเราพอสมควร อยู่ใกล้เขตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับการเกษตร
แล้วมีอยู่วันหนึ่งซึ่งตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงฤดูหนาว อากาศตอนนั้นหนาวมาก ตอนเวลาราวๆประมาณ 3 ทุ่ม มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเห็นว่าเป็นออมโทรมา เราก็รับโทรศัพท์ตามปกติ “อื้ม มีอะไร” ออมก็ขอให้เราไปนอนเป็นเพื่อนที่หอมันหน่อย เราก็ตอบตกลงโอเค แล้วก็ไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมตัวเพื่อไปนอนเป็นเพื่อนกับออม (เหตุผลที่ออมมันชอบให้เราไปนอนเป็นเพื่อนเพราะว่า ออมมันมีรูมเมทแต่เรียนกันคนละสาขาพักห้องเดียวกับมัน ละรูมเมทคนนี้มันชอบที่จะไปกินเหล้ากับเพื่อนห้องข้างๆ ซึ่งก็เป็นเพื่อนที่เรียนที่เดียวกันแต่เป็นผู้ชาย มันไม่อยากที่จะนอนคนเดียวก็เลยขอให้เราไปนอนเป็นเพื่อน)
สักพักประมาณ 4 ทุ่ม ออมมันก็ขับมอเตอร์ไซต์มารับเราที่หน้าบ้าน ขอเล่าก่อนนะคะว่า เราอาศัยอยู่บ้านพักของหน่วยงานราชการที่อยู่ข้างในสนามกีฬา ซึ่งจะอยู่ติดกับโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง
พอออกมาจากบ้านก็ต้องขับรถผ่านทางโค้ดของโรงเรียนรัฐบาลที่ติดกับสนามกีฬา อยู่ ๆ ก็มีเสียงดัง “ตึ๊ง” เป็นเสียงที่ไม่ดังมาก เสียงมันมาจาก ใต้ท้องรถมอเตอร์ไซต์ (เสียงคลายๆกับก้อนหินที่กระทบกับใต้ท้องรถมอเตอร์) ออมเป็นคนขับ ส่วนเราเป็นคนนั่ง ตอนแรกเราก็ได้ยินนั้นหละ แต่เรานั่งเฉยๆ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไร แล้วอยู่ๆ ไอ่ออมมันก็ทักขึ้นมาว่า “เห้ย ! เสียงอะไรวะ ตะกี้ได้ยินปะ”
เราก็เลยด่ามันไป “จะทักทำเห ี้ยอะไร ไม่รู้หรอว่าคนโบราณเขาบอกว่า เจอเสียงดังอะไรเขาไม่ให้ทัก บอกกี่ครั้งละว่าอย่าทักๆ”
เราขอบอกก่อนว่าออมมันเป็นคนที่นิสัยไม่กลัวอะไร หาวๆ เวลาได้ยินเสียงอะไรจะต้องทักตลอด เราเตือนมันก็หลายครั้ง แต่ออมก็ชอบเผลอทักตลอด
ออมมันก็เลยขอโทษเราที่เผลอพูด เพราะมันรู้ว่าเราเป็นคนที่ขี้กลัวผีมากที่สุดในกลุ่ม ขณะที่ออมขับมอเตอร์ไซต์ทางที่กำลังจะไปหอพัก ซึ่งทางไปจะต้องขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำ อากาศก็หนาวสุดๆ ต้องใส่เสื้อกันหนาว2ตัวถึงจะพอบรรเทาคลายความหนาวไปได้ อยู่ๆออมมันก็พูดขึ้นมาว่า “เห้ย ทำไมลมตรงหน้ากูมันอุ่นๆวะ ลมอุ่นมากเลย” เราก็ งงๆ บวกกับได้ยินไม่ชัด มันพูดอะไรของมัน เราก็ถามมันว่า “อะไรนะ อะไรอุ่น” มันก็บอกว่า “ลม ลม ลมตรงหน้ากูโคตรอุ่น เอามือของยื่นมาตรงหน้ากูดิ” ตอนแรกเราก็ไม่เข้าใจที่มันพูดลมอะไรจะมาอุ่น ตอนนี้หนาวจะแข็งตายอยู่ละ แล้วเราก็ลองเอามือยื่นไปตรงหน้าของไอ่ออมมัน ปรากฏว่า ลมที่หน้ามันอุ่นจริงๆ อุ่นมาก ทำไมมันแปลก เราก็เลยถามกลับไปว่า “เออวะ ทำไมลมมันอุ่นจังเลยวะ”
อยู่ๆไอ่ออมก็พูดว่า “งงงง…เอาแล้วไง มันจะมีใครตามมากับพวกเราหรือเปล่าวะ คิดว่ายังไง?” เราได้ยินที่ไอ่ออมมันพูดก็ตกใจ ด่ามันยกใหญ่ “อีห่า พูดอะไร หุบปากเลย กูกลัว” แล้วเราก็นั่งเงียบๆ มัวคิดว่าทำไมลมมันถึงอุ่นขนาดนั้นทั้งๆที่อากาศหนาวมาก แล้วมันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าวะเนี้ย…เริ่มกลัวขึ้นมาแล้วอ่าสิ
ขณะที่เรานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ แล้วออมก็ขับอยู่นั้น ตอนที่ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำมาเรียบร้อย จะต้องเข้าไปเส้นถนนที่มุ่งหน้าไปสี่แยกไฟแดงหนอง…..
ซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งนามืดสนิท ไม่มีไฟกริ่ง ก็จะมีรถยนต์สวนมาบ้างเป็นประปราย
ในตอนนั้นเรากลัวมาก ใจมันหวิวๆ จินตนาการต่างๆนาๆ
คิดว่าจะมีผีโผล่มานั่งบนต้นไม้หรือเปล่า หรือจะมีผีผู้หญิงผมยาวโผล่มาโปรกมืออยู่ข้างทาง
จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงที่ดังลั่นเป็นเสียงของผู้ชายวัยชรา ร้องว่า “เห้ย!” ในเส้นถนนที่มืดสนิท
เราตกใจสุดขีดนั่งก้มหน้าหลับตา กอดไอ่ออมพร้อมกับ “อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย งงงงงงงง” สุดเสียง
จนไอ่ออมมันก็ตกใจเสียงเรา จนทำให้รถเซ แล้วไอ่ออมก็ถามเราว่า “เป็นเ ห ี้ยอะไรวะ” เราก็กอดมันอย่างเดียวไม่พูดอะไร
ไอ่ออมก็บอกว่า “ใจเย็นๆ ที่ได้ยินตะกี้ เป็นเสียงลุงที่อยู่ในทุ่งนา กำลังส่องไฟกบอยู่เว้ย กูเห็นอยู่ นี่จิตอ่อนจริงๆ”
พอเราได้ยินที่ออมบอกเรา ก็หัวเราะกันยกใหญ่ เลยคิดว่า ทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้น
จนในที่สุดก็มาถึงหอพักของไอ่ออมสักที ตอนนั้นประมาณสัก 5 ทุ่มกว่าๆ
ลักษณะหอเพื่อนเราไม่ได้หรูหราอะไร เป็นหอพักตึก 2 ชั้น ชั้นหนึ่งจะมีห้องพักประมาณ 5 ห้อง
แล้วก็จะมีลานจอดรถอยู่ตรงหน้าหอพัก ราคาเช่าหอพักก็ไม่แพงมาก
แล้วหอของออมก็จะอยู่ชั้น 1 เป็นห้องตรงกลาง
ซึ่งในตอนนั้นเราก็ลืมเหตุการณ์ที่ออมมันทักเสียงที่ดังใต้ท้องรถมอเตอร์ไซต์นั้นไปซะสนิทเลย
พอไอ่ออมเปิดประตูห้องเข้าไป (ตอนนั้นรูมเมทที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับออม ไม่ได้อยู่ที่ห้องแล้ว มันไปกินเหล้าอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนผู้ชายที่เรียนด้วยกัน)
เราก็เดินมุ่งหน้าเอากระเป๋าโยนไว้ที่เตียงนอน เตรียมเสื้อผ้า ผ้าขนหนู เพื่อที่จะไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน
ส่วนไอ่ออมก็เดินไปนั่งเล่นคอมที่โต๊ะ รอให้เราอาบน้ำเสร็จ
พอเราเข้าไปในห้องน้ำ ก็ถอดเสื้อผ้า เอาผ้าขนหนู และเสื้อผ้าที่ถอด ไปแขวนไว้ที่ราวแขวนผ้า
แล้วก็เดินไปล้างหน้า แปรงฟันที่อ่างล้างหน้า ในขณะนั้นที่เรากำลังแปรงฟันอยู่
อยู่ๆก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ตอนแรกก็คิดว่าอากาศมันหนาว ขนเลยลุก
สักแปปหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังยืนมองอยู่ที่มุมของห้องน้ำ ตรงที่มีราวแขวนเสื้ออยู่ (ความรู้สึกคลายๆว่าเวลาเรานั่งอยู่ หรือทำอะไรก็ตามแต่ ถ้ามีคนกำลังจ้องมองมาที่เรา เราจะรู้เลยว่ามีคนมองเราอยู่ แล้วเราก็จะรีบหันไปมองทันที)
ตอนนั้นเราก็มีความรู้สึกที่กลัว กลัวมาก เลยรีบอาบน้ำ สายตาก็ได้แต่มองตรงมุมห้องน้ำตรงนั้นตลอดจนอาบน้ำเสร็จ
พออาบน้ำเสร็จแล้ว ตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้า กับผ้าขนหนู ตรงราวแขวนผ้า
ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตรงมุมห้องน้ำเราก็ได้แต่มองๆ กล้าๆ กลัวๆ รีบคว้าเสื้อผ้ามาทันที
แล้วตอนที่กำลังจะคว้าผ้าขนหนู อยู่ๆ ราวแขวนผ้าก็ตกลงพื้นเสียงดังลั่น เราก็ตกใจ ใจนี่หายวาบบบ…ใจก็เต้นแรง
เรารีบเดินถอยหลังไปยืนตรงกลางห้องน้ำอย่างอัตโนมัติ เอาแต่ยืนนิ่งๆสักครู่หนึ่ง
ความรู้สึกในตอนนั้นใจเสียหมดแล้ว สติจะแตก
เราก็ได้แต่มองตรงมุมห้องน้ำ แล้วเราก็หายใจเข้าลึกๆได้แต่ปลอบตัวเองว่าคงคิดไปเองไม่มีอะไรหรอก
แล้วก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าที่ตกลงตรงพื้น รีบแต่งตัว เอาราวแขวนผ้าใส่กลับที่เดิม
แล้วก็รีบย่ำเท้าไปเปิดประตูออกจากห้องน้ำทันที
ก่อนที่จะเปิดประตูเราก็หันกลับไปมองที่มุมห้องน้ำตรงนั้นที่เดิม ความรู้สึกก่อนจะเปิดประตูเรากลัวมาก
กลัวจนไม่อยากอยู่ในห้องน้ำ รีบเปิดประตูออกไป
พอออกมาจากห้องน้ำรู้สึกว่าโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่กันคนละโลก
ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำแล้วออมมันก็ถามเราว่า “มีอะไรหรอ กูได้ยินเสียงดังในห้องน้ำ ทำอะไรตกวะ”
เราก็เลยตอบมันไปว่า “ไม่มีอะไร แค่ทำราวแขวนเสื้อตกเฉยๆ ไปอาบน้ำได้ละ กูง่วงจะนอนแล้ว”
ในขณะที่ออมมันอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เราก็มานอนเล่นบนเตียงคิดอะไรไปเรื่อยเปลือยตอนที่กำลังจะเผลอหลับตา
อยู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งในหน้าจอทีวีซึ่งทีวีมันไม่ได้เปิดไว้อยู่
ขณะที่เรานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ แล้วออมก็ขับอยู่นั้น ตอนที่ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำมาเรียบร้อย จะต้องเข้าไปเส้นถนนที่มุ่งหน้าไปสี่แยกไฟแดงหนอง…..
ซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งนามืดสนิท ไม่มีไฟกริ่ง ก็จะมีรถยนต์สวนมาบ้างเป็นประปราย
ในตอนนั้นเรากลัวมาก ใจมันหวิวๆ จินตนาการต่างๆนาๆ
คิดว่าจะมีผีโผล่มานั่งบนต้นไม้หรือเปล่า หรือจะมีผีผู้หญิงผมยาวโผล่มาโปรกมืออยู่ข้างทาง
จู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงที่ดังลั่นเป็นเสียงของผู้ชายวัยชรา ร้องว่า “เห้ย!” ในเส้นถนนที่มืดสนิท
เราตกใจสุดขีดนั่งก้มหน้าหลับตา กอดไอ่ออมพร้อมกับ “อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย งงงงงงงง” สุดเสียง
จนไอ่ออมมันก็ตกใจเสียงเรา จนทำให้รถเซ แล้วไอ่ออมก็ถามเราว่า “เป็นเ ห ี้ยอะไรวะ” เราก็กอดมันอย่างเดียวไม่พูดอะไร
ไอ่ออมก็บอกว่า “ใจเย็นๆ ที่ได้ยินตะกี้ เป็นเสียงลุงที่อยู่ในทุ่งนา กำลังส่องไฟกบอยู่เว้ย กูเห็นอยู่ นี่จิตอ่อนจริงๆ”
พอเราได้ยินที่ออมบอกเรา ก็หัวเราะกันยกใหญ่ เลยคิดว่า ทำไมถึงได้กลัวขนาดนั้น
จนในที่สุดก็มาถึงหอพักของไอ่ออมสักที ตอนนั้นประมาณสัก 5 ทุ่มกว่าๆ
ลักษณะหอเพื่อนเราไม่ได้หรูหราอะไร เป็นหอพักตึก 2 ชั้น ชั้นหนึ่งจะมีห้องพักประมาณ 5 ห้อง
แล้วก็จะมีลานจอดรถอยู่ตรงหน้าหอพัก ราคาเช่าหอพักก็ไม่แพงมาก
แล้วหอของออมก็จะอยู่ชั้น 1 เป็นห้องตรงกลาง
ซึ่งในตอนนั้นเราก็ลืมเหตุการณ์ที่ออมมันทักเสียงที่ดังใต้ท้องรถมอเตอร์ไซต์นั้นไปซะสนิทเลย
พอไอ่ออมเปิดประตูห้องเข้าไป (ตอนนั้นรูมเมทที่อาศัยอยู่ห้องเดียวกับออม ไม่ได้อยู่ที่ห้องแล้ว มันไปกินเหล้าอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนผู้ชายที่เรียนด้วยกัน)
เราก็เดินมุ่งหน้าเอากระเป๋าโยนไว้ที่เตียงนอน เตรียมเสื้อผ้า ผ้าขนหนู เพื่อที่จะไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน
ส่วนไอ่ออมก็เดินไปนั่งเล่นคอมที่โต๊ะ รอให้เราอาบน้ำเสร็จ
พอเราเข้าไปในห้องน้ำ ก็ถอดเสื้อผ้า เอาผ้าขนหนู และเสื้อผ้าที่ถอด ไปแขวนไว้ที่ราวแขวนผ้า
แล้วก็เดินไปล้างหน้า แปรงฟันที่อ่างล้างหน้า ในขณะนั้นที่เรากำลังแปรงฟันอยู่
อยู่ๆก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ตอนแรกก็คิดว่าอากาศมันหนาว ขนเลยลุก
สักแปปหนึ่ง เราก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังยืนมองอยู่ที่มุมของห้องน้ำ ตรงที่มีราวแขวนเสื้ออยู่ (ความรู้สึกคลายๆว่าเวลาเรานั่งอยู่ หรือทำอะไรก็ตามแต่ ถ้ามีคนกำลังจ้องมองมาที่เรา เราจะรู้เลยว่ามีคนมองเราอยู่ แล้วเราก็จะรีบหันไปมองทันที)
ตอนนั้นเราก็มีความรู้สึกที่กลัว กลัวมาก เลยรีบอาบน้ำ สายตาก็ได้แต่มองตรงมุมห้องน้ำตรงนั้นตลอดจนอาบน้ำเสร็จ
พออาบน้ำเสร็จแล้ว ตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้า กับผ้าขนหนู ตรงราวแขวนผ้า
ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตรงมุมห้องน้ำเราก็ได้แต่มองๆ กล้าๆ กลัวๆ รีบคว้าเสื้อผ้ามาทันที
แล้วตอนที่กำลังจะคว้าผ้าขนหนู อยู่ๆ ราวแขวนผ้าก็ตกลงพื้นเสียงดังลั่น เราก็ตกใจ ใจนี่หายวาบบบ…ใจก็เต้นแรง
เรารีบเดินถอยหลังไปยืนตรงกลางห้องน้ำอย่างอัตโนมัติ เอาแต่ยืนนิ่งๆสักครู่หนึ่ง
ความรู้สึกในตอนนั้นใจเสียหมดแล้ว สติจะแตก
เราก็ได้แต่มองตรงมุมห้องน้ำ แล้วเราก็หายใจเข้าลึกๆได้แต่ปลอบตัวเองว่าคงคิดไปเองไม่มีอะไรหรอก
แล้วก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าที่ตกลงตรงพื้น รีบแต่งตัว เอาราวแขวนผ้าใส่กลับที่เดิม
แล้วก็รีบย่ำเท้าไปเปิดประตูออกจากห้องน้ำทันที
ก่อนที่จะเปิดประตูเราก็หันกลับไปมองที่มุมห้องน้ำตรงนั้นที่เดิม ความรู้สึกก่อนจะเปิดประตูเรากลัวมาก
กลัวจนไม่อยากอยู่ในห้องน้ำ รีบเปิดประตูออกไป
พอออกมาจากห้องน้ำรู้สึกว่าโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่กันคนละโลก
ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำแล้วออมมันก็ถามเราว่า “มีอะไรหรอ กูได้ยินเสียงดังในห้องน้ำ ทำอะไรตกวะ”
เราก็เลยตอบมันไปว่า “ไม่มีอะไร แค่ทำราวแขวนเสื้อตกเฉยๆ ไปอาบน้ำได้ละ กูง่วงจะนอนแล้ว”
ในขณะที่ออมมันอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ เราก็มานอนเล่นบนเตียงคิดอะไรไปเรื่อยเปลือยตอนที่กำลังจะเผลอหลับตา
อยู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างหนึ่งในหน้าจอทีวีซึ่งทีวีมันไม่ได้เปิดไว้อยู่
เราขออธิบายลักษณะของห้องพักของออมก่อนนะคะ เป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ทางเข้าประตูห้องจะอยู่ฝั่งขวา เดินเข้าไป จะมีเตียงติดกับผนังเลยอยู่ฝั่งซ้าย
และฝั่งตรงข้ามของเตียงนอนจะมีโต๊ะที่วางทีวีและทีวีตั้งไว้อยู่
ซึ่งหากไม่ได้เปิดทีวีจะเห็นเงาสะท้อนจากทีวีเห็นเป็นเตียงนอนทั้งหมด
แล้วก็จะมีตู้เสื้อผ้าอยู่ด้านซ้ายของโต๊ะทีวี ส่วนฝั่งขวาของโต๊ะทีวีก็จะเป็นโต๊ะญี่ปุ่นเอาไว้สำหรับตั้งคอม
ซึ่งออมก็จะนั่งเล่นคอมกับพื้น ส่วนห้องน้ำจะอยู่ป้ายเท้าเตียงนอน และข้างๆห้องน้ำก็จะเป็นประตูทางด้านหลังของห้องพัก
ตอนที่เรากำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงนอน เราก็นอนตะแคงฝั่งด้านนอก
ซึ่งไม่ได้นอนติดกับผนังกำแพง ในขณะที่กำลังจะเผลอหลับตาก็ได้เหลือบไปเห็นเงาบางอย่างเป็นสีดำๆอยู่ในจอทีวีที่ไม่ได้เปิดไว้อยู่
ลักษณะภาพที่เห็นในจอทีวีในตอนนั้น มันเหมือนมีคนนั่งพับเพียบอยู่ข้างหลังเราขณะที่เรานอนตะแคงอยู่
เห็นเป็นคนกำลังนั่งก้มหน้า ผมปิดบังใบหน้ายาวประมาณประบ่ารุงรัง ตัวยืดๆ ยาวๆ เรียวๆ ซูบผอม เอามือทั้งสองข้างไว้หน้าตักขา
ดูลักษณะไม่ออกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย นั่งอยู่ตรงข้างหลังเรา ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ถึงขั้นตกใจอะไรมากได้แต่ งง อยู่แบบนั้น
ตาก็มัวแต่เพ่งมองเข้าไปในจอทีวี แล้วก็ได้แต่ งงๆ ว่าที่เห็นอยู่ในตอนนั้นมันคืออะไร
แล้วก็หันกลับไปมองที่ผนังกำแพงก็ไม่เห็นจะมีอะไร เห็นเป็นผนังกำแพงสีขาวว่างเปล่า
แล้วก็หันกลับมามองที่จอทีวี ปรากฎว่าเห็นเป็นภาพเดิมที่มีคนนั่งก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม
ในขณะที่เรากำลังสงสัยว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นมันคืออะไรกันแน่ (ขออธิบายก่อนว่าตรงหมอนที่เรานอนจะมีตุ๊กตาลิงขนาดไม่ใหญ่มาก วางไว้อยู่ตรงหมอนของเราไว้ด้านหน้า เราก็พยายามปลอบตัวเองว่า สิ่งที่เราเห็นคงเป็นเงาตุ๊กตาลิงที่เห็นในจอทีวี ซึ่งในความเป็นจริงเงาที่เราเห็นมันอยู่ตรงกลางหลังของเราตอนที่เรานอนตะแคงอยู่ ส่วนตุ๊กตาลิงมันวางไว้อยู่ตรงหัวนอนของเรา มันคนละมุมกัน ก็พยายามเอาวิทยาศาสตร์ว่าเกี่ยวข้องว่า แสงไฟคงสะท้อนเงาตุ๊กตาลิงที่ตั้งไว้อยู่บนหัวนอน ในเห็นเป็น 2 ภาพ อยู่ทั้งตรงหัวนอน และอยู่ทั้งกลางหลังขณะที่เรานอนตะแคงอยู่)
ตอนที่เรากำลังปลอบตัวเองอยู่นั้น ออมก็อาบน้ำเสร็จพอดี แล้วมันก็ให้เราลุกไปเปิดทีวีเพราะว่าห้องมันเงียบมากเกินไป
ในตอนนั้นก็ดึกมากแล้วด้วย ประมาณเกือบๆตี 1 เราก็เลยลุกจากเตียงเดินไปเปิดทีวีให้มัน
แล้วก็กลับมานอนบนเตียงโดยที่ไม่ได้คิดอะไร ส่วนออมก็กลับไปนั่งเล่นเกมส์ต่อ
เราก็เผลอหลับไปสักระยะหนึ่ง อยู่ๆเราก็สะดุ้งตื่น คิดในใจ “อ่าว.. ไอ่ออมทำไมมันไปนอนข้างล่างวะ ไมไม่ขึ้นมานอนบนเตียงข้างบนด้วยกัน
ไฟก็ไม่ได้ปิด ทีวีก็ไม่ได้ปิด”
เราก็เลยหยิบมือถือเพื่อที่จะดูนาฬิกา ตอนนั้นเวลา ตี 3 กว่าๆ
เราก็เลยลุกจากเตียงเพื่อที่จะปิดทีวี ตอนที่เรากำลังจะปิดทีวีก็นึกถึงสิ่งที่เราเจอได้ในตอนนั้นว่า “เออแล้วไอ่ที่เราเห็นมันคืออะไรวะ”
แล้วเราก็ปิดทีวี พอปิดปุ๊บ เราก็ยืนมองในจอทีวีซึ่งเป็นสีดำทันที แล้วคิดในใจว่าจะเห็นแบบเดิมอีกไหม
“เห้ย ทำไมมันยังมีอยู่เหมือนเดิมวะ เงาที่เห็นก็อยู่บนเตียงเหมือนเดิม หรือทีวีจะเสีย มีรอยราวอะไรหรือเปล่า แต่ทุกทีที่มานอนก็ไม่เห็นจะมีอะไรเงาสะท้อนก็เห็นแต่เตียงอย่างเดียวนิหว่า หรือว่าเราไม่ทันได้สังเกตหรอ”
เราก็คิดในทางที่ดีว่าคงไม่มีอะไร แล้วก็เดินกลับไปนอนโดยไม่ปิดไฟ เพราะในใจก็เริ่มจะกลัว
รู้สึกหวิวๆอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังแย้งกับตัวเองว่าคิดมากไม่มีอะไร
ส่วนไอ่ออมก็นอนหลับสนิทอยู่ตรงพื้น ตอนที่เรานอนในใจเราก็สั่นมาก สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่อยากอยู่แล้วห้องนี้ กลัวมาก
เราก็ไม่ยอมหลับตา มัวแต่มองเงาที่สะท้อนจากทีวีอยู่แบบนั้นไปได้สักแปปเดียว
อยู่ ๆ เราก็นึกถึงรูมเมทที่นอนกับออมมันยังไม่เลิกกินเหล้ากันกันนิหว่า
งั้นเราจะวิ่งไปหามันยังดีซะกว่าที่จะอยู่ในห้องนี้ เห็นอะไรก็ไม่รู้อีกด้วย
ไม่ไหวแล้วใจสั่นซิบหา.ย เราเลยตั้งสตินับในใจ
แล้วก็หายใจเข้าลึกๆ ก็นับ หนึ่ง..สอง..สาม แล้วก็รีบลุกวิ่งไปเปิดที่ตรงประตูข้างหลัง
วิ่งสุดเท้ามุ่งหน้าไปที่ห้องสุดท้าย แล้วเปิดประตูห้องที่รูมเมทกับเพื่อนผู้ชายอยู่ทันที ซึ่งพวกมันกำลังชูแก้วเพื่อที่จะชนแก้วกันอยู่
พอพวกนั้นเห็นเราเปิดประตูเข้าไปก็ตกใจ
รูมเมทเห็นสีหน้าเราไม่ค่อยดีเลยถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า ทำไมต้องทำหน้าตื่นแบบนั้น”
เราก็เข้ามาในห้องนั่งข้างๆรูมเมทแล้วบอกว่า “ไม่มีอะไร สะดุ้งตื่นเลยนอนไม่หลับ เรากลัวอ่ะ ก็เลยขอมานั่งอยู่ด้วยได้ไหม เพราะออมมันก็หลับไปแล้ว”
รูมเมทก็พยักหน้า แล้วพวกมันก็กินเหล้ากันต่อ พอนั่งไปได้สักระยะหนึ่ง เราก็ง่วงนอน หาวตลอด
ถามรูมเมทว่าตอนนี้กี่โมงแล้วหรอ เพราะเรากะว่าจะนั่งอยู่นี้ถึงเช้าเลย ไม่อยากกลับไปที่ห้องของออมแล้ว
รูมเมทก็เลยยกนาฬิกาข้อมือให้ดู จำได้ว่าตอนนั้นก็ ตี 04.04 น. สักพักเราก็เผลอนั่งหลับแบบนั้น
รูมเมทคงเห็นว่าเราคงจะง่วงนอน เลยปลุกเราเพื่อที่จะให้เรากลับไปนอนที่ห้องของออม แต่เราก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่นอนได้ไหมขอนั่งแบบนี้แหละ”
เพราะเราก็ไม่กล้าที่จะเล่าให้ฟังว่าเราเจออะไรในห้องนั้นกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
กลัวว่าสิ่งที่เราเห็นแล้วเพื่อนไม่เชื่อเลยไม่กล้าพูด รูมเมทก็คะยั้นคะยอบอกให้เราไปนอนได้แล้ว
เราก็เลยบอกกับรูมเมทไปว่า “ไม่เอาอะ เรากลัวทางเดินกลับไปที่ห้องมันมืด เพราะด้านหลังมันเป็นป่า”
ส่วนรูมเมทก็หวังดีกับเราเหลือเกินก็บอกว่าจะไปส่งเราที่ห้องเป็นเพื่อน เรานี่ก็ทำไรไม่ถูกเลย แย้งก็ไม่ได้
เลยได้แต่พยักหน้าแล้วก็คิดในใจคงไม่มีอะไรแล้วมั่ง แล้วก็เดินกลับไปที่ห้องของออม
ส่วนรูมเมทก็เดินกลับไปกินเหล้าต่อที่ห้องเพื่อนผู้ชาย ส่วนเราก็เดินกลับมานอนที่เตียง
ออมก็นอนข้างล่างอยู่เหมือนเดิม ตอนแรกเราพยายามที่จะฝืนใจตัวเองไม่ให้มองไปตรงจอทีวี
แต่มันก็ห้ามไว้ไม่ไหวก็เผลอมองจนได้ สิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงในจอทีวีนี้มันทำให้หัวใจเราตกไปอยู่ที่ตาตุ่มไปเลยยย
คิดในใจ “โอ้โหหหหห…อีเ-ีย กูว่ากูคงไม่ได้คิดไปเองละหละ กูคงเจอเต็มๆแล้วหละงานนี้”
ในความรู้สึกตอนนั้นก็ได้แต่มองจ้องเข้าไปในจอทีวีสลับกับหลับตาอยู่แบบนั้น
ไม่กล้าที่จะลุกขึ้นจากเตียง กลัวว่าเงาร่างนั้นจะขยับมานั่งใกล้ๆหรือลุกขึ้นยืน เลยได้แต่นอนนิ่งๆ
หัวใจก็เต้นแรง หายใจก็ไม่ทัน อยู่ได้สักระยะใหญ่ๆ จนเกิดความรู้สึก โมโห
ไม่ไหวละง่วงก็ง่วง คิดในใจ “จะเจออะไรก็ช่างแม้ง ถ้ามาลอกกู กูจะสาปแช่งให้แม้งเลย”
อยู่ ๆ ไอ่ออมก็ลุกขึ้นมานอนบนเตียงกับเราข้างบน ซึ่งออมมันนอนข้างในติดกับกำแพง
แล้วเราก็มองเข้าไปในเจอทีวีร่างนั้นก็ยังอยู่ ซึ่งเงานั้นตรงที่ออมนอนเลย
(เหมือนกับว่า เราตะแคงหันหน้าออกมาจอทีวีนอนอยู่ ส่วนออมนอนตะแคงหันเข้ากับกำแพงอยู่ แต่วิญญาณตนนั้นอยู่ระหว่างเราสองคน)
ซึ่งตอนนั้นเราไม่สนใจแล้ว มันอยากทำไรก็ทำ เลยเพ้อหลับไป….
พอตอนเช้า แสงสว่างส่องทะลุผ่านผ้าม่านเข้ามาทางหน้าต่างบานเกล็ดตรงหัวนอน
ทำให้เราตื่นนอนเลยหยิบโทรศัพท์มาดูนาฬิกาตอนนั้นจำได้ว่า ราวๆประมาณ 10 โมงเช้า
เราก็ลุกไปอาบน้ำปกติ ลืมเรื่องเมื่อคืนสนิทไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้น พออาบน้ำเสร็จ แต่งตัวก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
แล้วก็ไปปลุกออมให้ไปอาบน้ำ มันก็ลุกไปอาบน้ำ ขณะที่มันอาบน้ำ เราก็มานอนเล่นบนเตียงแล้วตาก็เหลือบไปมองทีวี
เลยนึกคิดได้ว่าเมื่อคืนมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง เรานอนมองเข้าไปในจอทีวีที่มันไม่ได้เปิดไว้
ปรากฏว่า เงานั้นหายไปแล้วเห็นแต่กำแพงสีขาวว่างเปล่า เราเลยสงสัยว่านี่เราเจอผีจริงๆ หรอเนี้ย
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา เห็นเป็นตัวเป็นๆเลย เราเลยตั้งสติเรียบเรียงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น
เลยสรุปได้ว่าอาจจะเป็นเสียงที่ดังขึ้นคลายกับหินที่กระเด็นโดนใต้ท้องรถมอเตอร์ไซต์แล้วออมมันก็ทัก
ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ แล้วออมก็เดินมาจากห้องน้ำ เราก็เลยเล่าเรื่องให้ออมฟังว่า
“เมื่อคืนกูนอนไม่หลับ กูโคตรกลัวเลย กูเลยวิ่งไปห้องรูมเมทที่นั่งกินเหล้าอยู่อีกห้องหนึ่งอ่ะ”
แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้เล่าว่าเจอเงาปริศนาในจอทีวีที่ปิดอยู่
ออมมันก็บอกเราซึ่งทำให้เราตกใจมาก “กูรู้อยู่แล้ว กูรู้ว่าม-งวิ่งไปอีกห้องหนึ่ง กูยังไม่ได้นอนกูลืมตาขึ้นมาไม่ได้ กูกะจะตะโกนเรียกให้ช่วยกูหน่อย แต่กูก็ทำไรไม่ได้ เพราะว่าเมื่อคืนกูโดนผีมันนั่งทับกูอยู่”
เราก็ “เห้ยยยยย…จริงหรอวะม-ง กูขอโทษกูคิดว่าหลับ”
แล้วเราก็เลยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้มันฟัง
มันได้ฟังก็ตกใจบวกกับโมโหที่ทำไมวิญญาณที่ตามพวกเรามาต้องมาทำอะไรให้เราตกใจกันด้วย ต่างคนก็ต่างอยู่กันไป จะมายุ่งเกี่ยวกันทำไม
ไม่เคยไปทำอะไรให้ จากนั้นเรา ออม และรูมเมทก็ไปนั่งกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารตามสั่งแล้วก็คุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ปรึกษากันว่าวิญญาณที่เห็นเมื่อคืนอาจจะติดตามออมมา ตอนที่ออมมันทักเสียงปริศนาแน่ๆเลย
ดังนั้นเราจะต้องหาวิธีไปส่งวิญญาณที่ที่เขาอยู่ที่เดิมให้ได้ ช่วงเวลา 5 โมงเย็น
ออมก็จะต้องขับรถมอเตอร์ไซต์มาส่งเราที่บ้าน
เราเลยทักมันว่า “ เรียกให้วิญญาณที่ตามมาอ่ะให้ขึ้นรถไปด้วยกับพวกเราเลย บอกวิญญาณตนนั้นว่าจะไปส่งที่เดิม ไม่ต้องตามมา ด้วยนะ” ออมก็ “อื้ม กูรู้ละ”
แล้วมันก็เงียบไปสักครู่หนึ่ง เรากับออมก็เดินไปเอารถมอเตอร์ไซต์ที่ลานจอดรถ
ออมเป็นคนขับรถฯ ส่วนเราเป็นคนซ้อนเหมือนเดิม
แล้วออมก็พูดขึ้นว่า “กูบอกให้ผีตามมากับพวกเราละนะ แล้วกูก็บอกว่าจะไปส่งที่เดิม ถ้าส่งที่เดิมแล้วไม่ต้องตามมาอีก ถ้าตามมาอีกจะแช่งไม่ให้ได้ผุด ไม่ให้ได้เกิดกันเลย ขอหละต่างคนต่างอยู่กันเถอะน่ะ แล้วเดี๋ยวจะไปทำบุญให้”
เราได้ยินก็ไม่ได้พูดอะไร เลยชวนคุยเรื่องอื่นต่างๆนานๆ เฮฮากันไป
จนกระทั่งไปถึงทางโค้งเดิมที่เรากับออมได้ยินเสียงปริศนาที่คลายก้อนทิ้งกระเด็นโดนใต้ท้องรถมอเตอร์ไซต์
อยู่ๆไอ่ออมก็เงียบไป เราก็นึกแล้วหละออมมันคงบอกให้วิญญาณลงจากรถฯ แล้วให้อยู่ในที่ที่เขาอยู่
พอออมขับรถฯมาจอดที่หน้าบ้านเรา เราก็บอกกับออมว่า “ขับรถกลับหอปลอดภัยนะ มีสติขับรถฯด้วยมันอันตราย ถึงหอแล้วทักแชทบอกกูด้วย(ตอนนั้นยังใช้ MSN)”
แล้วมันก็ขับรถกลับ ส่วนเรารีบวิ่งไปหาแม่ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้แม่ฟัง ถึงมารู้ว่าทางโค้งนั้น มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยส่วนมากจะไม่รอดกัน
แม่บอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง ตอนนั้นเป็นช่วงตอนเย็นเด็กนักเรียนเลิกเรียนก็กลับบ้าน
มีน้องคนหนึ่งอยู่ชั้นมัธยมตอนปลายกำลังขับรถมอเตอร์ไซต์อยู่ฝั่งเลนซ้ายเพื่อที่จะขับรถฯกลับบ้านด้วยความเร็ว
ก่อนที่ใกล้จะไปถึงทางโค้งซึ่งมุมทางโค้งเป็นกำแพงสูงกั้นไว้อยู่ จู่ๆก็มีเพื่อนขับรถมอเตอร์ไซต์มาตีคู่อยู่ฝั่งด้านขวา
ชวนคุยเล่นกันตามประสาเด็กนักเรียน “ขับรถกลับบ้านดีๆนะ”
น้องคนนั้นก็หันมายิ้มให้ “เออ กูไปละ”
แล้วก็หันหน้ากลับมา ขับรถชนเข้ากับกำแพงอย่างจังตายคาที่เลย
แม่บอกว่าทางโค้งนี้ คงเป็นเหมือนจะต้องมีตัวตาย ตัวแทน เสมอ…
แล้วแม่เราก็บอกว่าพรุ่งนี้ตื่นเช้าไปทำบุญที่หน้าบ้าน (เพราะที่หน้าบ้านเราจะมีพระมาบินทบาททุกเช้า)
อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้วิญญาณที่เราได้เจอเมื่อคืนให้ไปรับผลบุญ และไปสู่ในภพภูมิที่ดี
และในตอนเช้าเราก็ตื่นมาทำบุญให้กับวิญญาณร่างนั้นให้ไปสู่สุคติ
หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเจอวิญญาณปริศนาตนนั้นอีกเลย ส่วนออมก็ไม่เจอเช่นกัน …….
และเรากับออม เวลาได้ยินเสียงดังอะไรซึ่งไม่รู้สาเหตุที่มา จะไม่ยอมหลุดปากทักเด็ดขาด (เข็ดแล้วกับเหตุการณ์ที่เจอ)แม่เราเคยเล่าให้ฟังตอนเด็กๆว่า ว่ากันว่าในสมัยก่อน สมัยโบราญพวกที่ชอบเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำ หากเป็นวันพระจะมีการปล่อยของ เพื่อไม่ให้ของเข้าตัว ให้ไปตกบ้านของชาวบ้าน เวลาเสียงดังจากหลังคา หรือดังรอบๆบริเวณบ้าน หากคนในบ้านทักของที่หมอไสยศาสตร์มนต์ดำปล่อยนั้น จะเข้าไปในบ้านได้ เข้าตัวเจ้าของบ้านหรือคนในบ้าน ในยามค่ำคืนหากได้ยินเสียงอะไรดัง เขาจะไม่ให้คนในบ้านทักเป็นอันเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายนั้นเข้ามาในบ้าน