เรื่องหนึ่งที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมไม่เคยหายไปไหนเลยคือเรื่องของการ ดูดวง แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ดู งมงาย แต่กลับเป็นที่ยอมรับมากกว่าเรื่องอื่นๆ อาจเป็นเพราะมันยังก้ำกึ่งกันระหว่างเรื่องของ พลังงานเหนือธรรมชาติ กับศาสตร์ความรู้ อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน‘เมื่อให้คุณได้ ก็ให้โทษได้เช่นเดียวกัน’ เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมได้พบเจอโดยบังเอิญช่วงที่ผมไปฝึกงานที่กรุงเทพ ผมไม่ค่อยจะได้เข้ากรุงเทพบ่อยมากนักช่วงที่ได้ไปฝึกงานจึงพยายามเดินทางไปให้ครบตามที่ที่อยากไป วันนั้นเป็นหยุดสุดสัปดาห์ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวตามห้างเพราะเพื่อนสมัยม.ปลายนัดเจอกัน ผมไปกินข้าวแล้วให้เพื่อนพาทัวร์หลายๆที่จนมืดค่ำ ในตอนนั้นผมมีแพลนว่าอยากไปสักการะศาลพระพรหมที่ราชประสงค์ เพราะก่อนหน้านั้นมีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่ตรงนั้น กว่าจะไปถึงก็เกือบๆประมาณ4ทุ่มกว่าเห็นจะได้ ช่วงนั้นเป็นช่วงวันหยุดยาวด้วยเลยมีคนน้อยกว่าปกติ อาจเพราะคนส่วนใหญ่เลือกจะกลับต่างจังหวัดกัน ความรู้สึกที่จับได้นั้นคือความอบอุ่นอย่างประหลาด กระแสเย็นที่ไม่ได้พบบ่อยนักเข้ามาสัมผัส แต่ปะปนไปด้วยกระแสอันวุ่นวายของมนุษย์ที่ต่างเอาความต้องการของตัวเองไปโยนไปกองไว้ตรงนั้น ครั้งแรกที่ผมได้ไปเยือนที่นั่น ผมใช้เวลาอยู่นานเพื่อนั่งมองและจดจำความรู้สึกในตอนนั้น จนคนที่ผ่านไปผ่านมาก็มองผมแปลกๆ แต่ก็ช่างเขาเถอะ ในตอนที่จะกลับผมได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมาพร้อมกับของไหว้จำนวนมาก มากจนต้องใช้เพื่อนอีกสองคนช่วยหอบ จากการแต่งตัวก็คงจะเป็นคนมีเงินมีทองคนหนึ่ง ผมเดินหลบออกมาเพื่อนเดินทางกลับ แต่ยังไม่ทันจะพ้นพื้นที่ตรงนั้นไปได้ไกลนัก ผมก็เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนทางเดินข้างถนน ความรู้สึกนั้นชัดเจนว่าเด็กน้อยไร้ซึ่งกระแสแห่งชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูน่าสงสารและเหงาหงอย ผมเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปหาเธอ ตรงริมทางเดินไม่มีใครนั่งอยู่ ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเธอ เธอคนรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของผม ชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนน่ารักแต่เปรอะไปด้วยหยอดเลือดและฝุ่น เด็กน้อยหันมายิ้มให้ผมด้วยความดีใจ มุมปากยิ้มกว้างตาข้างหนึ่งหยีน่ารัก แต่อีกข้างเป็นแผลเหวอะหวะ บอกตามตรงว่าภาพตรงหน้าทำให้ใจหล่นไปวูบหนึ่งแต่ความรู้สึกอื่นมันมากกว่า‘ทำอะไรครับ’‘รอแม่ค่ะ’ ผมไม่ได้ถามอะไรเธอไปมากกว่านั้น มันจุกในอกอยากร้องไห้ ไม่รู้ว่าเป็นความสงสารจากใจตัวเองหรือความรู้สึกของเด็กน้อยส่งผ่านมาถึง สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นมีแค่การอุทิศบุญให้เธอไปสู่ภพที่ดีกว่า มือที่เอื้อมไปอยากจับมือเด็กน้อยให้อบอุ่นก็คว้าได้แค่อากาศเท่านั้น เด็กน้อยค่อยๆหายไปจากตรงหน้า ผมลุกขึ้นหันหลังกลับปาดน้ำตาที่คลออยู่ โดยไม่ทันสังเกตว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองผมอยู่ เธอคงเห็นทั้งหมด เห็นผมพูดคนเดียว ผมคงชินเสียแล้วจึงลุกเดินออกไปอย่างไม่สนใจว่าเธอจะคิดอย่างไร แต่กลายเป็นว่าเธอก้าวเท้าออกมาขวางพร้อมอ้ำๆอึ้งๆ พูดติดขัด‘คือน้อง… เห็นหรือคะ หรือว่าน้องพูดคนเดียว’ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแค่มองนิ่งๆ เพราะไม่รู้จุดประสงค์ของคนถาม แม้ว่าผมจะปล่อยให้มันเงียบอยู่อย่างนั้นเธอก็ยังไม่ถอยให้ผมเดินผ่านไป‘ก็ คงอย่างนั้นครับ’ ผมตอบปัดไปเพราะอยากกลับแล้ว แต่ก็กลายเป็นว่าเธอสนใจมากกว่าเมื่อสักครู่ ผมไม่รู้จักเธอ และมันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครก็ไม่รู้ฟัง‘มีเวลาฟังสักครู่ไหมคะ’ เธอถามตะกุกตะกัก คงเพราะเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของผม ผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไปให้เธอตัดสินใจเองว่า เธอจะเล่าหรือไม่เล่า เธอเลือกที่จะเล่า แต่ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก เธอบอกแค่ว่า ‘เหมือนเธอจะโดนผีตามรังควาน’ ผมรับฟังโดยที่รู้สึกอยู่ลึกๆว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันคงจะวุ่นวายอีกตามเคย เลยเกิดความช่างใจขึ้นมาวูบหนึ่งว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี‘ช่วยเธอเถอะค่ะ’ เสียงของผู้หญิงที่ไร้ที่มาดังขึ้นมาใกล้ๆหูแต่เหมือนลอยผ่านไปไม่ทันจับชัดว่ามาจากทางใด แต่เสียงนั้นดูเป็นมิตร และแปลกที่มัน น่าเชื่อถือ ผมตัดสินใจจะรับฟัง แต่ขอตัวกลับก่อนเพราะกลัวจะตก mrt รอบสุดท้ายที่เป็นทางกลับเดียวของคนไม่ชำนาญทางอย่างผม ผมนัดเจอกับเธอในวันต่อมาแทน แต่ไม่ได้ให้เบอร์ไว้ แค่นัดสถานที่ไว้เท่านั้น ก่อนกลับผมยังติดใจเรื่องของเด็กน้อยคนนั้น จึงหันกลับไปมองอีกครั้ง เธอกลับมาแล้ว กลับมานั่งกอดเข่ามองพื้นเหมือนอย่างเคย จะมีก็แต่กระแสของเธอที่ดูสดใสขึ้น ไม่หม่นหมองเท่าเดิม‘ใครเล่าจะก้าวล่วงบ่วงกรรมของใครได้’ คืนนั้นผมกลับมาถึงหอพักช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ กว่าผมจะหลับก็อีกเกือบ 2 ชั่วโมง ระหว่างที่กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ตามปกติ ผมได้กลิ่นแปลกๆ กลิ่นหอมชวนเวียนหัว เหมือนกลิ่นดอกไม้ แต่ฉุนกว่า แม้จะรู้สึกหอม แต่ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นสาบที่ผสมปนมาอยู่จางๆ แถวหอพักผมช่วงนั้นปกติจะมีเสียงมอเตอร์ไซด์ดังเกือบทั้งคืน เพราะเป็นถนนใหญ่เส้นตรงทำให้มีพวกชอบแข่งรถมาบิดไปมาอยู่บ่อยๆ แต่คืนนั้นกลับเงียบ เงียบจนน่าประหลาด ผมหรี่เสียงเพลงให้เบาลงเพราะได้ยินเสียงแปลกๆแทรกมาเป็นจังหวะ เหมือนจงใจ ทันทีที่เสียงเพลงเบาลง เสียงนั้นก็เบาลงเช่นกันตึก… ตึก… เสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดดังมาอย่างช้าๆ ไกลๆ แต่กลับชัดเหมือนไม่ไกลมากนัก เสียงลิฟต์ที่อยู่ถัดจากห้องผมไปนิดเดียวดัง เหมือนมีคนกดเรียก 3 ครั้ง ที่เสียงสัญญาณลิฟต์ดังอยู่อย่างนั้น แล้วครั้งสุดท้ายมันก็ดังยาว เหมือนถูกเปิดค้างไว้นานเกินกว่าเวลาที่ตั้งไว้ ลิฟต์คงมีปัญหา ผมยังคิดในแง่ดี และขอให้มันเป็นอย่างนั้น ผมทิ้งตัวลงนอนในเวลาค่อนข้างดึก และในตอนที่ยังไม่ทันจะได้หลับไป ผมได้ยินเสียง เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังทะลุมาจากอีกฝั่งกำแพงตรงทางเดิน เสียงนั้นแหบพร่าจนไม่น่าฟัง แม้ตั้งใจฟังก็ยังฟังไม่ชัดเจน จับได้เลาๆแค่‘อย่าเสื…’ วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ผมนัดกับเธอคนนั้นเอาไว้ สถานที่นัดก็ไม่ได้แปลกอะไรผมเอาง่ายก็เลยเลือกเจอที่ KFC ในห้างแห่งหนึ่ง เธอมารอผมอยู่ก่อนแล้ว คงกลัวว่าผมจะเบี้ยวเธอไม่ก็กลัวจะคลาดกัน เบอร์ติดต่อก็ไม่ได้ให้ไว้ ผมเดินตรงเข้าไปหาเธอเพื่อ รับฟัง เรื่องราวที่เธออยากจะเล่าให้ฟัง‘ไปไหนมาครับ’ ทันทีที่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะผมก็ได้กลิ่นกำยานที่ค่อนข้างแรงถึงกับต้องออกปากถามไป เธอเพิ่งกลับมาจากศาลกับเทวาลัยหลายๆที่ ช่วงนี้เธอเดินทางไปไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเพราะความรู้สึกที่เธอคิดว่าเธอมีผีตามรังควานอยู่ เช่นเดียวกับคืนนั้นที่ได้พบกัน โดยบังเอิญ เธอเริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง ผมขอเรียกเธอว่า พี่มด แล้วกันนะครับ พี่มดอายุ30ต้นๆ หน้าตาดี เรียกว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ชีวิตการงานเธอดีทุกอย่างเพราะทำธุรกิจของครอบครัว เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องแฟนสักเท่าไหร่ ผ่านมาผ่านไปตามธรรมชาติของคนสมัยใหม่ แต่อย่างหนึ่งที่เธอติดจนเป็นนิสัยคือ เธอชอบดูดวง ที่ไหนที่ใครแนะนำก็มักจะไปให้หายคาใจว่า จริงไหมตามคำร่ำลือ นอกจากนั้นถ้าเจ้าไหนแม่นๆ เธอจะวนเวียนไปซ้ำๆหลายครั้ง บางครั้งไปถามแค่คำถามเดียวแล้วก็กลับ เธอเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ช่วงสมัยเรียน มีหลายที่ที่เธอชอบไปดูบ่อยๆ ทั้งในตัวกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยเธอจะมีกลุ่มเพื่อนสนิทอยู่สองสามคนที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ตอนนั้นเธอไม่เคยคิดหรอกว่าการสรรหาหมอดูของเธอจะนำพาเรื่องร้ายๆมาสู่ตัวเธอเอง หลังจากเหตุการณ์หนึ่ง(เธอยังไม่ยอมเล่าในครั้งแรก)ชีวิตของเธอเริ่มพบเจอกับเรื่องแปลกๆ จากคนที่ไม่เคยมีเซ้นส์ ไม่เคยพบเห็นอะไรที่ต่างจากปกติ เธอกลับเริ่มสัมผัสถึงพวกเขาเหล่านั้นได้ หลายครั้งที่เธอ เห็น ทั้งชัดเจนและหางตา หลายครั้งที่เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก หลายครั้งที่เธอถูกพวกเขาเข้ามาทำร้าย เธอว่าอย่างนั้น ในหลายๆเรื่องราวนั้นมีเหตุการณ์หนึ่งที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ และสม่ำเสมอ เธอไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มีที่มาจากอะไร ตัวเธอ ที่ดิน หรือคนในบ้าน คืนหนึ่งย้อนกลับไปสักสามสี่เดือนก่อน เธออาบน้ำอยู่ในห้องน้ำของห้องนอนส่วนตัว ไม่ได้ลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำใหญ่ของบ้าน หลังจากอาบน้ำเสร็จเธอได้ยินเสียงแม่ของเธอตะโกนขึ้นมาจากชั้นล่าง เธอเดินตามเสียงเรียกลงมาที่ด้านล่างเห็นแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารใกล้กับห้องนั่งเล่น เธอเดินตรงเข้าไปนั่งใกล้ๆเพราะได้เวลาอาหารค่ำพอดี‘แม่เรียกหนูทำไม เสียงดังเชียว’‘ก็มดน่ะสิเมื่อกี้อาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่แต่งตัวให้ดีๆ นุ่งผ้าขนหนูเดินขึ้นบันไดไป ใครเห็นเข้าจะทำอย่างไร’ พี่มดยังไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอได้ยิน ใช่ เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แต่เธอไม่ได้ลงมาอาบที่ชั้นล่างเธออาบข้างบนห้อง และยังไม่ได้ลงมาเลยหลังจากออกจากห้องน้ำ จนตอนนี้ เธอพยายามอธิบายให้แม่ฟังแต่ก็ดูทั้งสองคนจะชัดเจนในสิ่งที่ตัวเองรับรู้จนสุดท้ายต้องพาแม่ขึ้นไปดูห้องน้ำข้างบนที่ยังมีไอน้ำจากน้ำอุ่นเกาะอยู่เพื่อยืนยัน ทันทีที่แม่เห็นก็ตกใจรีบเดินลงมาที่ชั้นล่างตรงไปยังห้องน้ำ แล้วก็พบว่าข้างในห้องน้ำแห้งดี ไม่มีร่องรอยของการอาบน้ำแต่อย่างใด วันรุ่งขึ้นคนทั้งบ้านจึงรีบพากันไปทำบุญใหญ่ในทันที หลังจากนั้นยังมีอีกหลายครั้งที่มีคนเห็น พี่มด เดินอยู่ในบ้านแม้ว่าเธอจะไม่อยู่ก็ตาม บางครั้งเธอยังรู้สึกเหมือนมีใครเดินอยู่ในบ้านในช่วงดึกค่อนคืนหลังจากทุกคนหลับไปหมดแล้ว เธอเดินทางไปหา อาจารย์ ท่านหนึ่งที่เธอนับถือมากเพื่อปรึกษาและขอวิธีแก้ อาจารย์บอกว่าเธอกำลังดวงตกและเข้าไปในพื้นที่อาถรรพ์ทำให้วิญญาณร้ายติดตามมาที่บ้าน มันพยายามปลอมตัวเป็นเธอเพื่อให้คนในบ้านกลัว แล้ววันหนึ่งมันจะเริ่มทำร้าย ฟังมาถึงตรงนี้ผมรู้สึกตงิดใจแปลกๆ ถามว่าวิญญาณที่มุ่งร้ายนั้นมีไหมคำตอบคือ มี และจำนวนก็ไม่น้อยเช่นกัน แต่การเจาะจงปรากฏตัวแบบนี้เป็นไปได้ยากและหากเป็นวิญญาณทั่วๆไปก็คงไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายแน่ๆ เธอเล่าต่อว่าอาจารย์ให้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ดวงฟื้นก่อน แล้วจึงให้ยันมาผืนหนึ่งเป็นยันสีแดงมีอักขระที่เธออ่านไม่ออกเขียนไว้ด้วยหมึกและน้ำตาเทียน‘ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ ต้องรออีกนิดแล้วอาจารย์จะไปทำให้ที่บ้าน แต่ตอนนี้มันจะปลอมเป็นเธอไม่ได้อีก’ ประโยคของอาจารย์ทำให้เธออุ่นใจได้แค่ครึ่งหนึ่ง เธอไม่ชอบอะไรค้างคาแบบนี้ถ้าจะทำต้องให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เธอจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อไปพบกับอาจารย์อีกท่าน เธอขับรถออกจากใจกลางเมืองออกมาที่ชายขอบของกรุงเทพ แต่เธอบอกว่ามันแปลก เธอขับรถแล้วหลง เข้าซอยที่จำได้ว่าเป็นทางประจำ แต่กลับมาโผล่ในที่ที่เธอไม่คุ้น เธอวนรถไปมาอยู่ราวสองชั่วโมงโดยไม่สามารถไปให้ถึงที่หมายได้ พร้อมๆกันนั้นแม่ของเธอโทรมาตามให้กลับบ้านเพราะวันนั้นจะมีธุระไปข้างนอกในช่วงเย็น ทำให้เธอต้องกลับอย่างเลี่ยงไม่ได้ จริงดังที่อาจารย์บอกไว้ ไม่มีใครเห็นเธอในบ้านอีก แต่กลับเป็นคนอื่นแทน ใครบางคนที่ไม่ใช่คนในบ้าน ไม่มีใครคุ้นตา แต่ทุกคนเห็นเหมือนๆกัน บ้านของเธอเป็นบ้านใหญ่มีคนอาศัยอยู่หลายคน มีแม่บ้านรวมอยู่ด้วย ครั้งหนึ่งแม่บ้านวิ่งเข้ามาที่ห้องครัวในตอนที่แม่กำลังทำอาหารเช้าอยู่ แม่บ้านบอกว่าตอนที่ออกไปใส่บาตรเธอเห็นเงาแวบๆของผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในบ้าน แม่บ้านบอกว่าจากที่เห็นนั้นร่างนั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเพราะเห็นเป็นสีของผิวคน เธอรีบวิ่งตามมาดูแต่เงานั้นก็ลับตาไปตรงมุมตึกของบ้าน นั่นคือครั้งแรกที่คนในบ้านได้พบกับ ‘จันทร์’ และครั้งต่อมาจึงเป็นตัวพี่มดเองที่ได้พบกับวิญญาณของหญิงสาวคนนั้น เธอนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงในคืนว่างๆตามปกติ วูบหนึ่งเธอได้กลิ่นหอม หอมแรงจนฉุนจมูกเธอบอกว่าจำได้เลือนรางว่ามันง่วง มึนๆหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เธอหลับไปในแทบจะทันที เธอฝัน ฝันว่าเดินอยู่ในบ้าน เธอเดินไปตามทางเดินจากชั้นบนลงมาที่ชั้นล่างเดินทะลุห้องครัวไปทางด้านหลังลงบันได้เตี้ยๆมาจะถึงสวนหลังบ้านที่มีเนื้อที่ไม่มาก มุมด้านหลังชิดรั้วเป็นที่ทิ้งขยะและเศษอาหารที่ปกติจะมีแต่แม่บ้านไปยุ่ง พี่มดเองไม่เคยลงมาตรงนี้นานแล้ว ที่ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ เป็นผู้หญิง เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้า ความรู้สึกที่จำได้ตอนนั้นคือ ความกลัว แต่ในฝันนั้นเธอก็ไม่อาจห้ามตัวเองให้เดินตรงเข้าไปหาเงาร่างนั้นได้ เธอเดินเข้าไปใกล้ทีละนิดจนสุดท้ายก็ชิดกับเงาร่างนั้น ร่างนั้นหันมาหาเธอในท่ายืน พี่มดบอกว่าเห็นหน้า เห็นหน้าเต็มๆเลย แต่จำรายละเอียดใบหน้าไม่ได้ จำได้แค่เธอเข้ามาโอบกอด กอดเธอไว้อย่างแนบแน่น แต่ตรงช่วงท้องนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่าปกติ ‘เธอคงท้อง’ นั่นคือความฝันที่จำได้ เมื่อตื่นเธอรีบลงไปหาพ่อกับแม่เล่าความฝันนั้นให้ฟัง คนทั้งบ้านเริ่มวิตกถึงเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้น ทุกคนจึงตกลงกันว่าจะทำบุญบ้านใหม่เผื่ออะไรร้ายๆมันจะได้หายไปจากครอบครัวเสียที แน่นอนว่าเธอรีบเดินทางไปหาอาจารย์ทีเป็นหมอดู เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ฟังด้วยความกลัวและร้อนใจ อาจารย์มีทีท่าสงบ เหมือนไม่แปลกใจ แต่ก็ตรวจดวงชะตาให้อย่างละเอียด ศาสตร์ของอาจารย์คนนี้น่าจะเป็นศาสตร์โบราณที่ค่อนข้างลึก สามารถคำนวณเวลาและฤกษ์ยามต่างๆได้อย่างแม่นยำ สามารถทายนิสัยและตำหนิตามร่างกายได้ค่อนข้างถูกทีเดียว อาจารย์บอกว่าเธอเองต้องรดน้ำมนต์เพราะมีสิ่งไม่ดีติดตัวมา เธอรีบตกปากรับคำทั้งที่ยังไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเลย เธอถูกนัดให้มาในวันรุ่งขึ้นอีกครั้ง พี่มดมาโดยไม่ได้บอกใครเพราะแม่ชอบเอ็ดเธอว่า ไปหาหมอดูบ่อยเกินไปจนจะเข้าข่างมงายแล้ว พิธีกรรมนั้น แปลก เธอไม่เคยเจอที่ไหนและแน่นอนว่าเมื่อผมได้ฟังผมก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน เธอใส่ชุดขาวมาพร้อมกับเสื้อผ้าเอาไว้เปลี่ยน มีผ้าถุงที่เอาไว้ปกปิดร่างกาย‘ต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดนะครับ’ นั่นคือสิ่งที่เธอได้ยินจากปากของหมอดูคนนี้ เธอตกใจและประหลาดใจมาก เพราะหมอจะเป็นคนอาบให้ไม่ใช่ให้เธอเข้าไปอาบเองในห้องน้ำที่มิดชิด เธออึกอักอยู่นานแต่ด้วยความกลัวผสมกับความศรัทธาในความแม่นของหมอดูคนนี้เธอจึงยอมทำตามในที่สุด พี่มดถูกจับให้นั่งบนเก้าอี้ในห้องโถงของบ้านหมอดูที่ปกติแล้วใช้ทำพิธีเหมือนทุกๆครั้ง โดยมีอ่างน้ำขนาดใหญ่รองอยู่ เธอรู้สึกประหม่าเพราะไม่เคยต้องเปลื้องผ้าให้คนที่ไม่ใช่คนพิเศษเห็นอย่างนี้ น้ำมนต์ในขันเงินใบงามค่อยๆถูกรดลงบนตัวของพี่มด ส่วนผสมน้ำมนต์คงมีว่านหลายชนิดผสมกับดอกเทียนทำให้มีกลิ่นหอม เธอพยายามนั่งบิดตัวพนมมือให้แขนและขาปิดตามส่วนสำคัญของตัวเองให้มากที่สุด หลังจากน้ำมนต์ถูกรดจนหมดซึ่งใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เธอรู้สึกได้ถึงของมีคมที่จิ้มลงกลางกระหม่อมจนเกิดอาการเจ็บแปลบวิ่งไปทั่วร่างๆกายเหมือนถูกไฟช๊อต กริชเล่มเล็กๆค่อยวาดเป็นอักขระไปตามร่างกาย เธอเล่าถึงความรู้สึกในตอนนั้นไว้ว่า มันเลือนราง มึนๆเหมือนตอนเมา ภาพมันเบลอ ทรงตัวอย่างแต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้ กริชถูกลากลงมาจนถึงส่วนต้นคอ เธอก็เริ่มรู้สึกเหมือนจะหมดสติไป เธอบอกกับตัวเองว่าต้องประคองสติไว้ให้ได้จะไม่หลับไป เพราะสภาพเธอในตอนนี้มันล่อแหลมเหลือเกิน‘ค่อยๆนะครับ ผมไล่ของไม่ดีออกให้แล้ว’ หมอวางมือบ่นไหล่เป็นเชิงปลอบ แล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้ พี่มดที่กลับมาได้สติแล้วรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปแต่งตัวอย่างรวดเร็ว วันนั้นเธอรีบกลับบ้านในทันทีหลังจากที่เสร็จพิธี หมอบอกเธอว่าเมื่อกลับไปแล้วอาจมีไข้เล็กน้อย เพราะร่างกายปรับสภาพ ก็เป็นจริงดังนั้นเธอมีไข้ขึ้นค่อนข้างสูง แต่ยังไม่มากเกินจะทนไหว คืนนั้นเธอฝันอีกครั้ง ผู้หญิงคนเดิม คนที่เธอพบในความฝันตรงสวนหลังบ้าน คนที่เชื่อว่าน่าจะเป็นคนเดียวกับที่คนอื่นๆในบ้านเจอ คราวนี้เธอไม่ได้เห็นเต็มตัวอย่างที่เคย แต่เธอเห็นแค่ช่วงท้องลงมาถึงเท้า เธอไม่ขยับตัวขัดขืน เหมือนไม่กลัว ทั้งที่ตัวเองรู้ว่าเธอเป็นใคร และเคยกลัวในฝันนั้นเธอมองหญิงสาวไร้เสื้อผ้าอย่างใกล้ชิด เป็นฝันที่ละเอียดอย่างประหลาด ท้องของเธอป่องออกเหมือนดังที่เคยเห็น แต่สีผิวเธอนั้นไม่ปกติ สีออกเหลืองซีดบางส่วนคล้ำเกือบน้ำตาล ตามตัวมีรอยฟกช้ำเป็นจ้ำม่วงๆเขียวๆอยู่รอบตัว เสืองหายใจของเธอแปลกประหลาด เหมือนเวลาอากาศวิ่งผ่านท่อเล็กๆแคบๆ แต่สิ่งที่ทำให้พี่มดจดจำได้มากที่สุดคือเสียงหยดน้ำที่ตกกระทบพื้นดัง แปะๆ ตามร่างกายของเธอมีน้ำมันสีเหลืองๆไหลหยดลงมาอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอันชวนสะอิดสะเอียนตีเข้าจมูกจนทำให้มึนหัว แต่เธอกลับไม่รู้สึกกลัวผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเลย เพียงแค่รู้สึกขนลุกกับภาพตรงหน้าเท่านั้น เธอหลับไปอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในตอนเช้าเธอตื่นมาพร้อมกับร่างกายที่ปลอดโปร่ง ไม่มีอาการไข้ หรือความเมื่อเนื้อเมื่อยตัวแต่อย่างใด แปลก เธอเป็นคนพูดออกมาเองพร้อมคิ้วที่ขมวดจนเกือบจะชนกัน หลังจากตื่นมาในเช้าวันนั้นเธอกลับไม่กลัว ไม่รู้สึกแปลก ที่ได้เห็นฝันอย่างนั้น ในตอนที่พี่มดได้มาคุยกับผมมันยังไม่พ้นช่วงเรื่องทีเกิดขึ้น เธอยังไม่ได้คิดทบทวนอะไรมากมายแต่พอมาเล่าให้ฟังเธอก็ได้ทบทวนมันอีกครั้ง แล้วเธอก็ค่อยๆสังเกตเห็นความแปลกประหลาดที่ไร้เหตุผลในเรื่องราวทั้งหมด หลายคืนที่เธอมักฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นมายืนอยู่ข้างเตียง ในสภาพเดิมๆ แต่ไม่มีประโยคใดมาสื่อสารกับเธอ สิ่งเดียวที่ดีขึ้นคือไม่มีใครในบ้านพบเห็นสิ่งน่ากลัวอีก เหลือเพียงแค่ตัวพี่มดเท่านั้นที่พบเจอ แต่กลับไม่คิดจะหาทางแก้ไข เธอปล่อยให้ตัวเองฝันซ้ำไปมาอยู่อย่างนั้น พี่มดไม่กลัวสิ่งที่เธอเห็น แต่กลับรู้สึก ผูกพัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครทำไมถึงมาให้เธอเห็น มากไปกว่านั้นบางครั้ง เธอเห็นผู้หญิงร่างเปลือนเปล่าคนนี้ซ้อนกับเงาของตัวเองในกระจก เหมือนความฝันกับความจริงมันเริ่มกลมกลืนกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเธอเอื้อมมือมาจับท้องของตัวเองอย่างเผลอตัว ทั้งที่เธอไม่ได้เป็นอะไร บางครั้งเธอรู้สึกคิดถึง คิดถึงใครสักคน ใครที่เธอไม่รู้จัก รู้แต่ว่าคิดถึง เรื่องราววนไปมาอย่างนั้นได้สักพักหนึ่งเธอก็เริ่มกลัวตัวเอง เพราะวันหนึ่งเธอไปทำบุญกับที่บ้าน เมื่อเข้าไปในวัดได้เพียงไม่นานเธอเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบตามตัว เหมือนคนจะเป็นไข้ เธอรู้สึกอ่อนเพลียคล้ายจะเป็นลม อากาศในวัดไม่ได้ร้อนมากแต่เธอกลับอึดอัด แต่เธอก็ยังพยายามฝืนเดินต่อไปเพื่อไม่ให้คนที่บ้านต้องเป็นห่วง แต่สุดท้ายแล้วมันก็เกินจะฝืนต่อไปเมื่อเธอเดินขึ้นไปถึงศาลาด้านบน เจ้าอาวาสที่นั่งอยู่บนอาสนะหันมามองเธออย่างตั้งใจ เพียงวูบเดียวที่เธอรู้สึกว่าได้สบตากับท่าน เธอก็กลับไป‘พี่จำอะไรไม่ได้ ได้แต่ฟังแม่เล่ามา’ ทันทีที่พี่มดสลบไปพ่อกับแม่ตกใจรีบเข้าไปพยุงจะพาเธอกลับแต่เจ้าอาวาสท่านเช้ามาห้ามไว้ก่อน บอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติขอให้อยู่ทำบุญเช้ากันก่อนแล้วจะช่วยจัดการให้ ถ้าก่อนหน้านี้ไม่มีเรื่องราวแปลกๆมาก่อนพ่อและแม่ก็คงไม่เลือกจะเชื่อคำของพระท่าน งานบุญผ่านพ้นไปในเวลาไม่นาน หลวงพ่อท่านยังไม่ลืมคำพูด เรียกให้พ่อกับแม่พาพี่มดที่ตอนนี้ยังหลับอยู่เข้ามาใกล้ๆ ท่านขยับตัวให้ถนัดบนอาสนะ หันไปกราบพระประธานในศาลาเสียก่อนจะเจริญพระพุทธมนต์อยู่ครูหนึ่ง แล้วหยิบขวดน้ำที่เปิดใหม่ยื่นให้พ่อกับแม่‘เอาให้เขาจิบหน่อย’ พ่อค่อยๆหยดน้ำใส่ปากพี่มด ในแทบจะทันทีเธอก็ได้สติลืมตาขึ้นมาแต่ยังพูดอะไร พ่อกับแม่พยายามเรียกเขย่าตัวให้ตื่น พี่มดค่อยตอบสนองตามเสียงเรียกด้วยสายตา แต่ยังไม่พูดอะไร เมื่อขยับตัวได้ถนัดเธอก็ลงมานั่งคุกเข่ากับพื้นนิ่งไปครู่หนึ่งไม่พูดอะไร เธอก้มตัวลงกราบชายสูงอายุในชุดจีวรสีกรักแล้วไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาอีก ท่าในการกราบนั้นก็ดูน้อมลงมากกว่าปกติ หน้าผากจรดติดพื้นอย่างแนบชิด‘คุยกับเราหน่อยสิ เธอเป็นใคร ได้ยินหลวงตาไหม’‘ได้ยินค่ะ’‘เธอเป็นใคร มาทำไม’‘…’‘ว่ายังไง’ มีเพียงประโยคเดียวที่ได้ยินอย่างนั้น หลวงพ่อมองแล้วถอนหายใจแล้วค่อยอธิบายให้ฟังว่า เขาถูกส่งมา แต่ยังไม่รู้ว่าให้มาทำอะไร ยังไม่แน่ใจจุดประสงค์ ดูแลคงไม่ใช่เรื่องของกรรมหรือความต้องการของตัวเอง หลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้เอามาอาบกินติดกันทั้งหมด 7 วัน โดยระหว่างนั้นห้ามไปพบเจอใครให้เก็บตัวอยู่บ้านไปก่อน เพราะไม่รู้ว่า ใคร เป็นคนส่งมาทำร้ายหลังจากกลับมาจากวัดพี่มดถูกพ่อกับแม่กักตัวไว้ในบ้านจริงๆ น้ำมนต์ที่ได้มาถูกใช้ทั้งกินทั้งอาบและผสมในกับข้าวทุกอย่างที่ทำในบ้าน เกิดความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยจนพี่มดกลับสู่สภาพปกติ เธอไม่เห็นตัวเองซ้อนกับใครอีก ไม่ฝันถึงเธอคนนั้น แต่เธอมั่นใจ เธอยังรู้สึกถึงใครบางคนที่ตามติดเธออยู่ไม่ห่าง เมื่อครบวันที่ 7 เธอได้รับสายโทรศัพท์จากหมอดูคนเดิมทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยได้โทรมาอย่างนี้‘เจอเรื่องแปลกๆอีกแล้วรึเปล่าครับ ว่างมาพบผมสักหน่อยไหมครับ’ ด้วยความดีใจหรืออะไรไม่รู้เธอรีบตกปากรับคำไปอย่างรวดเร็วโดยในตอนแรกเธอคิดจะไปหาในเช้าวันรุ่งขึ้นเลยแต่หมอดูห้ามเอาไว้ก่อน โดยนัดวันอื่นให้แทนพร้อมกับกำชับว่าให้มาในวันที่เขาบอกเท่านั้น ก่อนนั้นหรือหลังจากนั้นเขาจะไม่สะดวกรับแขก เมื่อถึงวันนัดเธอรีบออกเดินทางไปหาหมอทันที เธอไปถึงก่อนเวลาเล็ดน้อยตามที่หมอบอก ที่หน้าบ้านหมอมายืนรอเธออยู่ก่อนแล้ว พอเธอลงรถเสร็จก็รีบนำเธอเดินเข้าไปในห้องโดยเริ่มจากการตรวจดวงชะตาด้วยศาสตร์คำนวนที่ค่อนข้างลึกพอสมควร เพราะสามารถบอกลักคณาเวลาตกฟากรวมไปถึงเหตุการณ์ในชีวิตที่จะผ่านเข้ามาได้อย่างแม่นยำ หลังจากตรวจดวงชะตาก่อนแล้วหมอก็ค่อยๆบอกเล่าให้พี่มดฟังทีละนิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤติของชีวิตเธอ อะไรแย่ๆมันจะเข้ามาหาไม่หยุดไม่หย่อน กรรมเก่าที่รอจังหวะมานานจะเข้ามาทวงอย่างกระชั้นชิด แต่ตามพื้นดวงนั้นบอกไว้ว่าเรื่องนี้ยังมีทางแก้ โดยจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากคนคนหนึ่งแล้วทุกอย่างจะค่อยๆเข้ารูปเข้ารอย แต่อย่างไรเสียก็อาจจะต้องเจอเคราะห์หนักในเวลานี้ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วหมอจึงนำทางพี่มดเดินเข้าไปยังห้องด้านหลังอีกห้องหนึ่ง ในนั้นมีเตียงอยู่ตรงกลางเตี้ยๆสูงประมาณเข่า ในห้องหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นกำยานและน้ำมันหอม หอมบอกให้พี่มดนั่งลงบนเตียงนั้นก่อนที่หมอจะเดินไปหยิบเอาตะเกียงทองเหลืองมาอันหนึ่ง ในนั้นมีควันลอยต่ำออกมาบางๆ จากกลิ่นแล้วคงจะเป็นกำยาน มืออีกข้างของหมอมีตะเกียงเล็กๆอีกอัน อันนี้ทำจากกระจกใสๆข้างในมีไฟเทียนถูกจุดเอาไว้ ตะเกียงทั้งสองอันถูกน้ำมาวนรอบตัวของเธอจากนั้นค่อยๆรินเอาน้ำมันหอมข้างในใส่ลงบนมือของพี่มด‘เอาทาหน้าครับ ให้ทั่วๆ’ น้ำมันหอมในมือมีปริมาณไม่มากทำให้การทาลงบนหน้านั้นไม่เลอะเทอะหรือหยดลงจนน่าเกลียด จากนั้นหมอบอกพี่มดให้นอนลงแล้วเริ่มเป็นคนหยดน้ำมันลงบนหน้าผาก สองมือของหมอค่อยๆนวดวนไปมาระหว่างหน้าผากและหัวคิ้ว ทองแผ่นบางๆวางแปะลงบนหน้าผาก แล้วใช้ของปลายแหลมบางอย่างเขียนอักขระซ้ำลงไปบนแผ่นทอง นิ้ววนไปมาจนรู้สึกว่าแผ่นทองนั้นหายไปจากหน้าผากแล้ว อีกครั้งที่พี่มดเริ่มรู้สึกมึนแต่มันกลับมีอีกความรู้สึกที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น สองมือของหมอยังไม่หยุดนวดวนตรงหน้าผาก เสียงพึมพำเหมือนสวดมนต์ดังมาเป็นระยะๆ พี่มดเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองเริ่มมีความต้องการ ความรู้สึกกำหนัดเริ่มมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เธอค่อยๆรู้สึกร้อนวูบวาบตามตัวพร้อมๆกับความต้องการที่มากขึ้น จนในที่สุดเธอก็รู้สึกถึงสัมผัสของมือที่ไล่ต่ำลงมาจากใบหน้ามาสู่ไหล่เลยต่อมาจนถึงหน้าอกของเธอ มือของหมอทั้งสองข้างจับกุมไว้ที่หน้าอกของเธอ เริ่มออกแรงบีบ เธอรู้ว่าเธอกำลังโดนลวนลาม แต่แปลกที่เธอกลับไม่มีความรู้สึกอยากขัดขืนหรือหนีไป ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้ายมันจบลงตรงที่ เธอมีสัมพันธ์กับหมอดูคนนี้ หลังจากเรื่องราวผ่านไปแล้วเธอได้สติกลับมา เริ่มคิดทบทวนก็รู้สึกรับไม่ได้กับตัวเอง รีบแต่งตัวคว้ารถออกมาจากบ้านหลังนั้นทันทีโดยบอกกกับตัวเองว่า จะไม่กลับไปอีก วันนั้นเธอจิตตกไปทั้งวัน ความรู้สึกหลายๆอย่างวนเข้ามา แต่เธอก็พยายามลืมมันให้เร็วที่สุด พลาดก็คือพลาด เธอคิดอย่างนั้น ไม่กี่วันต่อมาเธอเริ่มมีอาการแปลกๆโดยรู้ภายหลังว่าเป็นวันโกน คืนนั้นเธอนอนไม่หลับรู้สึกไม่สบายตัวและหิว เธอพยายามดื่มน้ำไปหลายแก้วเพื่อประทังความหิวแต่ก็ดูไม่ได้ผล สุดท้ายเธอเดินลงมาที่ด้านล่างตรงเข้าไปในครัวเพื่อหาอะไรกินเพราะทนความหิวไม่ไหว ในตู้เย็นไม่มีอะไรนอกจากน้ำและขนม แต่เธอรู้สึกอยากกินอะไรที่มันอิ่มกว่านั้น เธอเดินเลยออกมาที่ห้องครัวเล็กหลังบ้านที่เป็นครัวแยกของคนงานในบ้าน เธอแอบเห็นในตู้กับข้าวมีอาหาหารวางไว้อยู่ เธอหยิบออกมากินอย่างหิวกระหาย ไร้มารยาท (เธอบอกเองว่ามันมูมมามมาก) รอต่อEp.2 เด้อจ้า
ประสบการณ์แสนแพง
เรื่องที่เกี่ยวข้อง