“ความไร้เดียงสา”
มันคือสิ่งที่อยู่คู่กับเด็กทุกคนบนโลกนี้ และเมื่อใดก็ตามที่ความไร้เดียงสาหายไป เด็กคนนั้นจะมองเห็น “ความเป็นจริง”
เช่นเดียวกับทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ตอนนี้ ผมเองนั้นก็เคยเป็นเด็กมาก่อน ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างจะพรากความไร้เดียงสาของผมไป
มันเริ่มขึ้นตอนผมอยู่ ป.4
ผมเป็นคนที่เข้ากับเด็กรุ่นเดียวกันได้ไม่ค่อยดีนัก ก็มีเพื่อนที่โรงเรียนบ้าง แต่ไม่เคยสนิทกับใครเลย
ครูชอบบอกว่าผมช่างสังเกต แถมความจำดีด้วย ผมจำเพื่อนทุกคนได้นะ ห้อง ป.4/5 อยู่ชั้น 3 ตึก 9 ครูประจำชั้นชื่อครูอรุณี มีนักเรียนทั้งหมด 43 คน แบ่งเป็นนักเรียนชาย 19 คน และนักเรียนหญิง 24 คน ถ้าให้ไล่ชื่อเพื่อนทุกคนตอนนี้ก็ทำได้ แต่คงไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่
จำได้ว่าระหว่างปิดเทอม 1 จะขึ้นเทอม 2 มีร้านของเล่นร้านนึงมาเปิดอยู่หน้าปากซอย มีเจ้าของเป็นลุงแก่ ๆ คนนึง ส่วนมากจะขายเป็นพวกตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ๆ แต่ราคาถูกมาก คนก็เยอะด้วยแต่ไม่คุ้นหน้าเลย เหมือนเป็นเด็กมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ เดินไปเดินมาอยู่เต็มร้าน
มีแค่คนเดียวที่ผมคุ้น ก็คือเพื่อนที่โรงเรียนที่ชื่อ “นก” คนนี้ผมเจอที่ร้านทุกครั้งเลย เธอเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม มาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่เราก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเท่าไหร่
ผมไม่รู้หรอกว่าคนอื่นไปซื้ออะไรกัน แต่ผมชอบไปคุยเล่นกับลุงเจ้าของร้าน แกชื่อ “อี๊ด” ตอนนั้นเหมือนแกมาทักผมก่อน พอได้คุยไปคุยมาก็เลยรู้ว่าเราเข้ากันได้ดี แกใจดีกับผมมาก ลุงอี๊ดเล่าว่าแกเคยเปิดร้านแบบนี้มาแล้วหลายจังหวัด เปิดได้ไม่กี่เดือนก็ย้ายไปเปิดจังหวัดอื่น แต่แกก็ไม่เคยบอกผมว่าทำไม
ทีนี้ข้างบ้านผมเหมือนเค้าจะเปิดสอนหนังสือให้เด็กจรจัด หรือไม่ก็พวกเด็กกำพร้า เร่ร่อน ขอทาน อะไรทำนองนี้ มีเด็กทั้งหมด 13 คน คล้าย ๆ เป็นสถานรับเลี้ยงหรืออะไรผมก็ไม่แน่ใจ ช่วงปิดเทอมบางวันพ่อกับแม่ก็อนุญาตให้ผมไปเล่นกับเด็กพวกนี้ได้ จะว่าไปผมก็โตมาพร้อม ๆ กับเด็กพวกนี้นี่แหละ
อยู่มาวันนึงก็มีเด็กคนที่ 14 เพิ่มเข้ามา เป็นเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม ครั้งแรกที่เจอกันเขาดูไม่ชอบสุงสิงกับใคร อาจจะเพราะยังเข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ ก็เหมือนผมนั่นแหละ
ปกติผมไม่ค่อยชอบเข้าไปทักใครก่อน เอาจริง ๆ คือไม่ชอบเลย แต่วันนั้นด้วยความสงสารด้วยแหละมั้ง ผมก็เลยรวบรวมความกล้าทั้งหมด แล้วลองเข้าไปคุยดู เลยได้รู้ว่าเด็กคนนั้นชื่อ “โต้ง” มาจากต่างจังหวัด ไม่มีใครดูแลเพราะญาติก็เสียไปเกือบหมดแล้ว เลยได้มาลงเอย ณ ที่แห่งนี้
โต้งนั้นชอบใส่เสื้อตัวเดิม ๆ ไม่เคยเปลี่ยน เสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และถึงแม้แววตาของเขาจะดูเศร้า ๆ แต่เชื่อไหมว่าตั้งแต่ผมรู้จักเขา ผมก็แทบลืมเพื่อนคนอื่น ๆ ไปเลย คือเราทั้งคู่สนิทกันเร็วมาก ทุกครั้งที่พ่อกับแม่ให้ผมมาเล่นกับเด็กข้างบ้าน ผมก็จะไปเล่นกับโต้งอยู่สองคน เกมที่ชอบเล่นที่สุดก็คือซ่อนแอบ โต้งเล่นเกมนี้เก่งมาก ซ่อนทีไรผมก็หาไม่เคยเจอ รู้ตัวอีกทีคือโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้แล้วมาแปะผม พอผมเป็นคนซ่อนบ้างเขาก็เหมือนรู้ใจผมทุกที แต่ก็สนุกทุกครั้งที่ได้เล่นด้วยกัน
โต้งนี่แหละ คือ “เพื่อน” คนแรก ที่ทำให้วัยเด็กของผมมีสีสัน และเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึก “ไร้เดียงสา” ที่สุด
แต่ที่แปลกคือบางวันพอไปหาโต้ง เขาก็จะชอบมองเข้าไปในบ้านหลังนั้นด้วยสายตาเศร้า ๆ คู่เดิม บางครั้งก็เห็นเหมือนมีน้ำตาคลออยู่ด้วย พอสังเกตดี ๆ ก็รู้ว่าเขากำลังมองที่ตุ๊กตาหมีตัวนึง เป็นตุ๊กตาหมีสีเหลืองตัวใหญ่ ที่เจ้าของบ้านซื้อมาจากร้านหน้าปากซอย น่าจะเอามาให้เด็ก ๆ เล่นกัน
ผมถามโต้งว่าอยากเล่นกับตุ๊กตาเหรอ เขาก็ส่ายหน้า ปาดน้ำตา แล้วมาเล่นกับผม พอผมถามว่าเป็นอะไรไหม เขาก็ไม่ยอมตอบ ด้วยความเกรงใจผมก็เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ คล้ายว่าโต้งมีปมในใจบางอย่างกับตุ๊กตาหมีตัวนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ช่วงเวลาปิดเทอมดูเหมือนผ่านไปเร็วมากนับตั้งแต่ผมได้เจอกับโต้ง เราทั้งคู่มีความทรงจำดี ๆ หลายอย่างร่วมกัน ณ บ้านหลังนั้น ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นโต้งยิ้ม หรือหัวเราะออกมา เพิ่งเข้าใจว่าการมีเพื่อนสนิทมันดีอย่างนี้นี่เอง
พอวันแรกของเทอม 2 มาถึง ความน่าเบื่อเดิม ๆ ก็ได้หวนคืนกลับมา เพื่อนหน้าเดิม ๆ ที่ดูเหมือนไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่ คุณครูประจำชั้นแสนจู้จี้คนเดิม อาหารกลางวันเดิม ๆ แถมการบ้านก็ยังท่วมหัวเหมือนเดิม
ที่ต่างจากเดิมคือมีนักเรียนแค่ 42 คน ไม่มีใครคิดอะไรมากในวันแรกที่ “นก” ไม่มาเรียน แต่พอผ่านไปครบสัปดาห์ เพื่อน ๆ ทุกคนก็เริ่มเป็นห่วง โดยเฉพาะครูอรุณี ที่ดูเหมือนจะกังวลใจเป็นพิเศษ เริ่มมีข่าวลือออกมาว่านกได้ย้ายโรงเรียนไปแล้ว บ้างก็ว่าเธอป่วยเป็นโรคร้ายแรง บ้างก็ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจได้ว่า “ความเป็นจริง” มันคืออะไรกันแน่
ส่วนผมน่ะเหรอ… ก็ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่ผมใส่ใจคือการกลับไปเล่นกับโต้งในช่วงวันหยุด แต่อยู่ดี ๆ พ่อกับแม่ก็สั่งห้ามออกไปนอกบ้าน บอกแค่เพียงว่ามันอันตรายเกินไป ตอนนั้นผมเหมือนใจสลายไปเลย พ่อแม่ผมยิ่งเป็นคนเข้มงวดอยู่ด้วย สงสัยเพราะเป็นห่วงลูกคนเดียวมาก ผมก็เลยต้องจำใจเล่นอยู่บ้านคนเดียว
บางวันผมชอบมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเห็นโต้งนั่งเหงา ๆ อยู่ที่เดิม เอาแต่มองตุ๊กตาหมีตัวนั้น ตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง จะแอบออกไปหาก็กลัวโดนพ่อแม่จับได้
ความเหงากลับมาเป็นเพื่อนผมอีกครั้ง
เวลาค่อย ๆ ผ่านไป จนวันนึงผมเกิดอยากได้ของเล่นใหม่ ก็เลยไปขอพ่อกับแม่ว่าจะออกไปซื้อที่ร้านหน้าปากซอย แต่พวกท่านก็ไม่ยอม ผมเอาแต่ขอร้องอ้อนวอนอยู่นาน จนในที่สุดพ่อผมก็ยอมให้ไป โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องมีพ่อไปด้วยเผื่อเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
ที่ร้านยังคงแออัดไปด้วยเด็กมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือมันมีแต่คนเดิม ๆ ใส่เสื้อผ้าเดิม ๆ ผมยังจำได้ดี เด็กพวกนั้น เด็กที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ จากนั้นพ่อผมก็บอกให้รีบไปหยิบของเล่นแล้วไปจ่ายเงิน
หลังซื้อของเล่นเสร็จสรรพ สายตาผมก็เหลือบไปเห็นคน ๆ นึง คนที่ผมคุ้นหน้ามากกว่าคนอื่น เธอคือ “นก” เด็กสาวที่หายตัวไป อย่างที่บอกว่าผมไม่เคยลืม วันนั้นเธอยังคงแต่งตัวเหมือนที่เจอครั้งล่าสุด ผมกำลังจะเข้าไปทัก ว่าทำไมไม่ไปเรียน แต่พ่อก็เข้ามาดึงแขนผมแล้วรีบพากลับบ้าน
พอถึงบ้าน ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้พ่อกับแม่ฟัง ผมบอกว่าได้เจอกับนกที่ร้านของเล่น และในตอนนั้นเอง พ่อผมก็แสดงสีหน้ากังวลใจขึ้นมา ก่อนจะพูดสิ่ง ๆ นึง ที่ผมยังจำมาจนถึงทุกวันนี้
“พ่อก็เห็นเหมือนกัน เดี๋ยวซักพักลูกก็คงเข้าใจเอง”
แน่นอนว่าผมไม่เข้าใจอะไรเลย ผมถามพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไร แต่ท่านก็ไม่ยอมตอบ คืนนั้นผมนอนไม่หลับ เพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “ความเป็นจริง” มันคืออะไรกันแน่
ผมเข้าใจทุกอย่างในเช้าวันรุ่งขึ้น
เวลา 08.00 น. ของวันอาทิตย์ ผมจำได้ดี พ่อกับแม่ รวมถึงเพื่อนบ้านทุกคนในละแวกนั้น ต่างพากันออกมายืนอยู่หน้าบ้านเพื่อดูบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นบริเวณหน้าปากซอย
ภาพที่ผมเห็น คือมีรถตำรวจหนึ่งคันจอดอยู่หน้าร้านของเล่น ส่วนที่เหลือเป็นรถกระบะประมาณ 3-4 คัน โดยเมื่อมองดี ๆ จะเห็นว่าทุกคันล้วนมีเด็กนั่งอยู่เต็มกระบะรถ
เด็กพวกนั้น…
ในตอนนั้นเอง พ่อผมก็เดินมาแตะไหล่เบา ๆ แล้วพูดบางอย่างกับผม ซึ่งทำให้ผมเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
“จำได้ไหม ตอนไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล แล้วลูกเดินผ่านห้องเก็บศพคนเดียว”
ผมมองไปที่รถตำรวจคันนั้น ก็เห็นลุงอี้ดเจ้าของร้าน นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง
“จำได้ไหมว่าลูกพยายามเดินหลบคนพวกนั้น”
มีชายฉกรรจ์ 4-5 คน เข้าไปในร้าน ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ และเด็กหนึ่งคน พวกเขาเอาตุ๊กตาวางนอนไว้กับพื้น แล้วก็เอาผ้าสีขาวมาคลุม ก่อนจะช่วยกันแบกขึ้นกระบะรถ โดยที่เด็กคนนั้นก็เดินตามขึ้นมาด้วย
“คนที่ตายไปแล้ว เขารู้ตัวนะว่าตาย แต่เขาก็ไปไหนไม่ได้ นอกจากจะวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ร่างไร้วิญญาณของตัวเอง”
ผมแอบได้ยินเหล่าเด็กกำพร้าข้างบ้านคุยกัน ว่าจะได้ตุ๊กตาหมีคืนหรือไม่ มันทำให้ผมรู้สึกอิจฉาในความไร้เดียงสาของเด็กพวกนั้นมาก
เพราะว่าความ “ไร้เดียงสา” ของผมนั้น ได้แหลกสลายไปจนสิ้นแล้ว
พ่อผมเล่าว่า ในช่วงปิดเทอม “นก” ก็ได้ขอพ่อกับแม่มาซื้อของเล่นที่ร้านแห่งนี้เช่นกัน
หากแต่เธอไม่เคยกลับถึงบ้าน
โชคดีที่ครอบครัวของนกค่อนข้างมีฐานะ ก็เลยดำเนินเรื่องได้เร็ว
ไม่มีเด็ก ป.4 คนไหน สมควรต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้เลย
32 ศพ จาก 32 จังหวัด ในตุ๊กตาหมี 32 ตัว ไม่มีใครรู้ว่าลุงแกทำไปเพราะอะไร
แต่ผมยังจำภาพ ๆ นึงได้ขึ้นใจ
ภาพที่ผมลืมยังไงก็ลืมไม่ลง
มันเป็นตอนบ่าย ๆ ของวันนั้นเอง
ตอนที่รถกระบะต่างพากันขับผ่านบ้านผมไปทีละคัน ทีละคัน
ผมไม่แน่ใจว่าเห็นนกอยู่บนนั้นด้วยรึเปล่า
ไม่แน่ใจว่าบนรถคันหลังสุด มีเด็กนั่งอยู่ทั้งหมดกี่คน
เพราะสายตาของผม เอาแต่จับจ้องอยู่ที่คน ๆ นึง
เด็กชายในเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน
เขาเป็นคนเดียวที่หันมายิ้มให้ผม พร้อมโบกมือลา เป็นครั้งสุดท้าย