วันศุกร์, 29 กันยายน 2566

สามเกลอเจอผี

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้
หลังจากที่ผมได้ประสบปัญหาชีวิตเรื่องความรักจึงทำให้ต้องเลิกลากัน ผมจึงได้พักการเล่าเรื่องผีในเพจและออกมาเล่าในรายการต่างๆ แล้วกลับไปที่บ้านเกิดแถวแถบชนบท เพื่อที่จะเยียวยาจิตใจ…

มาถึงผมก็ขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่ไม่ได้ขับมานาน ผมขับออกไปชมบรรยากาศเก่าๆ บรรยากาศดีมากเลยครับ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนักนึกถึงกลิ่นไอสมัยยังเด็ก..

ผมขับมาจนถึงสะพานอีเขี้ยวโง่งที่ผมกลับเจ้าโต้งและเจ้าหย่องได้พบเจอกับเหตุการไม่คาดฝัน พอนึกได้ก็ยิ้มและหัวเราะในใจและยังคงกลัวอยู่เล็กน้อยเพราะตอนนี้กลางวัน อิอิ

ผมขับเลยไปได้ซักพักก็เห็นชายคนหนึ่งยื่นสูบบุหรี่และตกปลาในที่ห่วงห้ามอยู่ แต่ที่คุ้นตากับรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ ใกล้ๆชายตกปลามากผมเลยขับไปใกล้ๆ
พออยู่ในระยะที่พอเห็นชัดเจนผมก็มั่นใจและยิ้มออกมาเลย เพราะรถคันนั้นเป็นรถของไอ้โต้งเพื่อนรักของผม ผมจึงค่อยๆดับรถจอดข้างทาง และค่อยๆหย่องไปด้านหลังไอ้โต้งและตะโกนว่า

” เห้ย! แอบตกปลาหรอ!!! “

ไอ้โต้งพอได้ยินดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบเขวี้ยงเบ็ดทิ้ง สวมวิญญาณนักว่ายน้ำกระโดดน้ำลงไปดังตูม! และว่ายน้ำด้วยท่วงท่าที่นักกีฬาโอลิมปิคยังอาย ผมที่เห็นดังนั้นก็ขำก๊ากออกมา และรีบบอกว่า

” เห้ยๆ กูเองๆ “

เจ้าโต้งก็หันมาเจอผมที่ยืนขำอยู่ก็ตะโกนส่วนมา

” โธ่~~~ ไอ้เปรต!! “

เจ้าโต้งรีบว่ายน้ำกลับมาทางผมพอมันขึ้นมาได้มันก็กระโดดกอดผมด้วยความคิดถึงกันทันทีทำเอาตัวผมที่แฉะไปเลย

” โหไม่เจอนานเลย ดูดีขึ้นผอมลงนะเนี่ย ดูดม้าป่าวว่ะ! 55555 “
**โต้งถามติดกวนพร้อมหัวเราะ**

” อกหักน่ะมึง 555 “
**ผมพูดพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน**

” อ้าว เออๆอย่าไปเศร้ามึง ไปรับไอ้หย่องที่วัดกัน คืนนี้ได้ก๊งกันซักหน่อย “
**โต้งพูด**

ผมได้ยินก็รู้สึกงงเล็กน้อยว่าไอ้หย่องนั้นไปทำอะไรที่วัด? แล้วโต้งก็บอกว่า

” อ๋อช่วงนี้มันไปอยู่ช่วยหลวงพี่ต๊อบที่วัด เพราะเด็กวัดคนเก่ามันไปทำงานท่่อื่นหมดแล้วไม่มีใครคอยขับรถรับพระไปที่ต่างๆ “

ไอ้โต้งพูดจบผมก็ถึงกับยิ้มออกมาเพราะว่าไม่นึกเลยว่าผมได้มาเจอกับหลวงพี่ต๊อบอีกครั่ง หลังจากที่ท่านออกทุดงผ่านมาเจอผมและเล่าเรื่อง
” บวชแทนกูที “….

ผมกับเจ้าโต้งรีบขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปที่วัดด้วยมอไซค์คนละคัน พอมาถึงที่วัด ก็เห็นหลวงพี่ต๊อบและไอ้หย่องกำลังกวาดลานวัดกันอยู่ ไอ้โต้งจึงตะโกนเรียก

” ไอ้หย่อง!! “

ไอ้หย่องพอได้ยินมันก็หันมาตามเสียงเรียกและพอที่ไอ้หยองมันเห็นผมมันก็รีบทิ้งไม้กวาดแล้วรีบเข้ามากระโดดกอดผมทันทีด้วยความคิดถึง

” โหหายไปเลยไม่ติดต่อมา นึกว่าตายห่าไปแล้ว คิดถึงๆวะ “

หย่องพูดกวนๆพร้อมกับรอยยิ้มด้วยความดีใจ ผมก็เลยบอกไปว่า

” เช่นกันเพื่อนรัก “

หลังจากนั้นผมก็เดินไปนมัสการหลวงพี่ต๊อบ หลวงพี่เองเห็นผมก็ดีใจยิ้มแกเมปริเลยละครับ พวกเราชวนการไปนั่งพักอยู่แถวๆต้นโพธิบริเวณวัด

” เฮ้ย! ไอ้โต้งแล้วมึงไปทำอะไรมาในตัวเปียกไปหมด “
**หยองถาม**

” อ๋อ พอดีก็ร้อนเลยลงเล่นน้ำ “
**โต้งตอบ**

ผมจึงคิดในใจ

” โธ่..ไอ้หน้าด้าน “

พวกเรานั่งคุยกันสนุกสนานเฮฮาอยู่พักนึง
หลวงพี่ต๊อปจึงขอตัวขึ้นไปทำวัตรเย็นส่วนผมเจ้าหยองเจ้าโต้ง ก็ได้ชวนกันไปหาที่นั่งดื่มกันสักหน่อยเพื่อต้อนรับของกลับมาของผม และไม่อยากให้ผมเครียดเพราะอกหักด้วย
ไอ้หน่องจึงขออณุญาติ
ยืมรถพระธรรมของทางวัด
(รถซาเล้งไว้พาพระออกบิณฑบาตหรือไปที่ต่างๆ) เนื่องจากพวกผมไม่อยากขับมอเตอร์ไซค์ไปคนละคัน

พวกเราก็พากันไปนั่งดื่มที่สวนที่สมัยเด็กพวกเราชอบมากัน โดยตอนนี้มีผู้คนมากมายมาวิ่งมาออกกำลังกาย
ส่วนพวกผมก็นั่งคุยสัพเพเหระกันจนฟ้าเริ่มมืดผู้คนเริ่มทยอยกลับกันหมดเป็นจังหวะเดียวกับที่เครื่องดื่มของพวกผมหมดพอดี ผมกับไอ้หย่องที่เมาน้อยสุดจะขับรถไปซื้อเพิ่ม แล้วให้ไอ้โต้งเฝ้าที่ให้เพราะมันเมาเยอะมากแล้ว…

ผมสตาร์ทซาเล้งพระธรรม ท่อตะบึงออกไปในความมืดมิด จนพวกผมมาถึงร้านค้า ก็ปรากฏว่าร้านค้าปิดเสียแล้วเนื่องจากในช่วงล็อคดาว พวกผมที่อารมณ์อยากกินต่อ ไอ้หยองจึงบอกให้ไปซื้อแถวบ้านมันก็ได้ มีร้านที่สนิทกันเปิดขายให้ได้อยู่ ผมจึงตอบตกลงและกลับไปรับไอ้โต้งเพราะไม่อยากให้มันอยู่คนเดียวนานๆ

ผมขับรถไปถึงที่สวน และเห็นไอ้โต้งเมาหลับไปเสียแล้วและในมือไอ้โต้งก็มีบุหรี่ที่ถูกจุดไว้ ผมเห็นดังนั้นจึงหยิบออกและบ่นเล็กน้อยเพราะมันอันตราย กลัวจะเกิดไฟลุกลาม..

ผมกับไอ้หยองจึงแบกไอ้โต้งมานอนในซาเล้งพระธรรมและพากันขับ ไปร้านค้าที่ไอ้หยองบอก พวกเรา3ทหารเสือขับรถกันไปทางเส้นทางรอบบึงที่มีขนาดใหญ่เพื่อเข้าเส้นทางหลัก เอาจริงๆมันมีทางที่ไปได้เร็วกว่านั้นแต่ผมกลัวประวัติซ้ำรอยเพราะมันต้องผ่านทางสะพานอีเขี้ยวโง่ง

พวกผมใช้เวลาขับไปสักพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกว่ามันแปลกๆ และต้องบอกก่อนนะครับว่าทางที่เราขับไปนั้นมันเป็นทางแคบๆและป่ารกทึบทั้งสองข้างทางเลยเนื่องจากมีความเป็นธรรมชาติมาก

แล้วสิ่งที่ผมรู้สึกว่าแปลกๆมันก็คือว่าพวกเรารู้สึกขับกันมานานแล้วแต่รู้สึกว่ามันไม่ถึงสักทีเหมือนกับว่าเราขับวนเวียนอยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากคงคิดว่าคงจะเมาคิดไปเองและต้นไม้มะนก็คล้ายๆกันหมด….

ผมขับไปต่อเรื่อยๆ แต่ทว่ามันก็ยังไม่ถึงเป้าหมายสักทีเหมือนเราขับวนอยู่ที่เดิมผมจึงเบรครถและพูดคุยกับไอ้หยองว่า

” เห้ย.. มึงคิดเหมือนกูป่ะวะว่าเราขับวนอยู่ที่เดิม “

ไอ้หยองเลยบอกว่า

” ไม่ใช่แค่คิดแต่กูมั่นใจเลยว่าพวกเราขับวนอยู่ที่เดิม “

ผมเลยถามส่วนกลับไป

” มึงแน่ใจได้ไงวะมึงมีอะไรมายืนยัน “

ไอ้หยองมันเลยชี้มือและตอบกลับมาว่า

” ก็กูเห็น! ไอ้นั้น!! มันหาเดินหัวนานแล้ว! “

ผมหันไปมองตามที่ไอ้หยองชี้และแสงไฟหน้าซาเล้งพระธรรมของผมมันก็สาดไฟไปโดนเข้ากับร่างของชายคนหนึ่งที่ไม่มีศีรษะและทำท่าทางเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ เห็นแบบนั้นไม่บอกผมก็คงจะรู้แล้วว่าหาอะไร ผมจึงรีบถอนเกียร์ทั่งหมดเพื่อเข้าสู่เกียร์ 1 และรีบทะยานรถไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ผมบิดไม่คิดชีวิตแต่ทว่าผมก็เหมือนยังติดอยู่ในวังวนเดิมนั่นคือเหมือนเราขับวนอยู่กับที่ ส่วนชายที่หัวขาดเหมือนไม่ได้สนใจอะไรเรา แต่นั่นมันก็ไม่ใช่โชคดีของผมและเพื่อน จู่ๆผมก็คิดอะไรออกและพูดปลอบใจไอ้หยองไปว่า

” นี่มันรถซาเล้งของพระนี่หว่า ของของวัดผีมันคงเข้าใกล้ไม่ได้หรอกไม่ต้องกลัว “

ผมพูดยังไม่ทันขาดคำอยู่ๆก็เหมือนมีอะไรตกลงมาใส่ซาเล้งพระธรรมของผมดังตุบใหญ่ ผมจึงหันไปมองตรงซาเล้งที่มันจะมีที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พอผมหันไป ผมเห็นร่างของชายในเครื่องแบบตำรวจที่ลิ้นยาวเป็นเมตร ร่างกายขึ้นอืดและที่คอมีเชือกอยู่ ไอ้หย่องก็ถึงกลับสติแตกพูดด่าผมออกมาว่า

” ไอ้เวร!! ไหนมึงบอกเข้าใกล้ไม่ได้ไง
ที่นั่งอยู่นี่มึงจะบอกว่าเป็นเทพีเสรีภาพรึไงไอ้สัส!!!! “

ไอ้หยองด่าไปร้องให้ไป แต่ณตอนนั้นต่อให้มันด่ายังไงผมก็ไม่โกรธแล้ว ตอนนั้นบอกได้เลยคำเดียวคำว่าสติผมมันเริ่มที่จะหลุดไปแล้ว ผมรับกับเหตุการณ์นี้ไม่ไหวอีกแล้ว จนรถที่พวกผมนั่งกำลังจะลงบึงใหญ่เพราะผมไม่มีสติทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงของคนชราพูดว่า

” ไป!!!!! “

เสียงนั้นดังพอทำให้สติผมกลับคืนมา ผมจึงรีบหักแฮนรถคืนได้ทันเวลา ก่อนที่จะลงบึง ผมรีบหันมองไปทางต้นเสียงปรากฏว่าเป็นพระครับ
ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจมาก ว่าเรารอดแล้วผมจึงขับรถไปใกล้ๆผมก็ได้รู้ทันทีว่า
พระรูปเป็นหลวงพ่อรูปเดียวกับที่เคยช่วยพวกผมที่สะพานเขี้ยวโง้ง

ผมหันหลังไปดูในรถซาเล้งว่าผีตนนั้นยังอยู่มั้ย
ถ้าทว่าผมก็ไม่เห็นมันแล้ว มีเพียงไอ้หย่องที่บัดนี้มะนไม่มีตาดำเลย มีแต่ตาขาวอ๊าปากค้างเหมือนกับช๊อตสุดขีด

หลวงพ่อเห็นดังนั้นท่านจึงเดินเข้ามาลูบหัวไอ้หย่องและปากท่านก็เริ่มสวดคาถาอะไรซักอย่าง ไม่น่าเชื่อครับดวงตาของไอ้หย่องค่อยๆกลับมาเป็นปกติ หลวงพ่อท่านจึงค่อยๆปลอบไอ้หย่องและบอกให้ผมติดรถกลับไปที่วัดเลยพอดีท่านจะไปจำวัดที่หลวงพี่ต๊อบอยู่พอดี (ปล.ลืมบอกนะครับหลวงพ่อท่านเป็นพระธุดงน์ที่ไปมาวัดแถวบ้านผมบ่อยๆ )
ผมจึงติดรถและขับกลับไปที่วัด…

ระหว่างทางกลับวัดก็ต้องผ่านต้นยางใหญ่4ต้นคู่ สถานที่ที่นักคณิตศาส
(คนเล่นหวย) ของในหมู่บ้านมักจะมาบนบานก่อนวันที่หวยออก แต่ทว่าพอผ่านมาตอนกลางคืนแบบนี้ก็เล่นเอาขนลุกเหมือนกันครับเพราะๆต้นยาง 4 ต้นนี้จะมีชุดไทยหรือของเซ่นไหว้ต่างๆที่ชาวบ้านเอาประมาณแก้บนอยู่เยอะมาก

และแล้วพวกเราขับมาจนถึงวัด ผมกับไอ้หยองก็ยกมือไหว้ขอบคุณหลวงตา
หลวงตาจึงขอตัวไปพบเจ้าอาวาสเพื่อแจ้งขอจำวัด ส่วนพวกผมจึงหิ้วไอ้โต้งขึ้นไปบนกุฏิของหลวงพี่ต๊อบ พอขึ้นไปถึงก็เห็นหลวงพี่ต๊อบท่านยังไม่นอนกำลังอ่านบทสวดมนต์อยู่ด้านหน้าพระประทาน พวกผมก็เอาเจ้าโต้งเข้าไปในกุฏิ แล้วก็เล่าเรื่องราวให้กับหลวงพี่ต๊อบฟัง พอท่านได้ฟังท่านก็บอกว่า

” เขาคงมาขอส่วนบุญเราแหละอย่าไปโกรธแค้นอะไรเขาเลยพวกเขาน่าสงสารนะ งั้นพรุ่งนี้ก็ลองทำบุญให้เขาดูแล้วกัน “

ผมได้ยินดังนั้นตอบตกลง พวกเรานั่งสนทนากันอยู่พักใหญ่ หลวงพี่ต๊อบจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหยองจึงแซวว่า

” หลวงพี่…. ระวังนะ “

หลวงพี่ต๊อบท่านได้ยินดังนั้นท่านจึงหยุดชะงักแล้วรีบหันขวับมาพูดส่วนกลับว่า

” อะไร!ไอ้หยอง!! ระวังอะไร! เอ็งไปเป็นเพื่อนอาตมาเลย “

เมื่อผมได้ยินดังนั้นผมกับไอ้หยองก็ถึงกับขำก๊ากออกมา ก่อนจะพาหลวงพี่ต๊อบไปห้องน้ำและกลับมาเข้านอน….

เวลาผ่านมาถึงตี5 ผมกับไอ้หยองก็ลุกมาเพื่อเตรียมตัวไปช่วยหลวงพี่ต๊อบเตรียมออกบิณฑบาตเช้า โดยไม่ได้ปลุกเจ้าโต้งไปด้วยเพราะมันคงจะเมาหนัก
นอนไม่กระดูกกระดิกเลย

(ผมลืมบอกไปครับว่าวัดกับในตัวหมู่บ้านของพวกเรานั้นค่อนข้างที่จะไกลกันจึงจำเป็นต้องตื่นและออกเดินทางไปตั้งแต่ ตี5เนิ่นๆ)

ไอ้หยองเตรียมสตาทซาเล้งพระธรรม ส่วนผมก็เตรียมย่ามไปอีก4-5ใบ ที่ผมต้องเอาไปเยอะเพราะชาวบ้านใส่บาตรเยอะมาก และหลวงพี่ต๊อบก็เดินมาขึ้นซาเล้งพระธรรม จากนั้นพวกเราจึงออกตัวมุ่งสู่สู่ชมพูทวีป เอ้ย!! หมู่บ้าน…

พวกเราออกจากวัดมาจนเกือบที่จะถึง ตรงจุดที่มีต้นยาง4ต้น ในขณะนั้นผมสังเกตุเห็นชายคนหนึ่งกำลังไหว้ศาลหรือแก้บนที่อยู่ตรงต้นยาง ผมเลยคิดในใจ

” มาแก้บนเช้ามืดขนาดนี้เลยหรอว่ะ “

ในขณะนั้นซาเล็งพระธรรมของพวกผมก็ได้เข้าใกล้ต้นยางใหญ่เรื่อยๆ
และจู่ๆรถซาเล้งก็สั่นไปทั้งคัน ผมจึงหันไปมองไอ้หย่องที่เป็นคนขับว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอผมหันไปมองผมก็เห็นไอ้หยองมันกำลังตัวสั่นเหมือนคนกำลังสติแตกผมพยายามเรียกมันว่ามันเป็นอะไรและพยายามให้มันจอดรถก่อน แต่มันบอกว่า

” กูไม่จอด!! “

ไอ้หยองพูดพร้อมสายตาที่มองตรงไปข้างหน้าอย่างหวาดกลัว ผมจึงหันไปมองตรงทิศทางเดียวกับมันและผมก็ได้ทราบสาเหตุที่ทำให้ไอ้หยองนั้นต้องหวาดกลัว สิ่งที่ผมเห็นและนั่นก็คือชายที่ผมเห็นมาตอนแรกที่กำลังทำท่าทางเหมือนแก้บน แต่ปรากฏว่าชายคนนั้นกำลังก้มกราบศาลตรงต้นยางแต่หัวของเขาบิดมาข้างหลังก้มไหวอยู่แบบนั้น

” ช ชิปหายแล้ว “

หลวงพี่ต๊อบอุทานขึ้นมาแบบลืมตัว
สิ้นสุดคำพูดของหลวงพี่ต๊อบ
ไอ้หยองก็บิดคันเร่งเต็มที่ รถซาเล้งพระธรรมของเราขณะนี้ความเร็วอยู่ที่ร้อยกว่า และบวกกับถนนยังเป็นทางลูกรังยิ่งรถขับเร็วเท่าไหร่ตัวของรถซาเล้งก็ยิ่งสั่น ขณะนี้ซาเล้งพระธรรมของเราเด้งไปเด้งทั่งผมและหลวงพี่ต๊อบต่างพากันจับตัวรถรถกันแน่น
ผมเห็นว่าท่าไม่ดีแล้วแบบนี้ จึงบอกให้ไอ้หย่องนั้นมันใจเย็นๆค่อยๆตั้งสติ แต่ตอนนี้ดูเหมือนไอ้หยองมันจะสติหลุดไปซะแล้ว…

และแล้วซาเล้งพระธรรมของเรา ก็ได้ไปชนกับก้อนหินก้อนหนึ่งทำให้พวกเราที่อยู่บนซาเล้งพระธรรม กระจายคนละทิศคนละทาง ส่วนหลวงพี่ต๊อบตอนนี้ได้เหินฟ้านำหน้าผมแล้วละครับ ตอนนั้นในหัวผมคิดได้คำเดียวเลยว่า

” นี่สินะจีวรบินของแท้ “

แต่ด้วยอิทธิฤทธิ์ของหลวงพี่ต๊อบหรือดวงดีกันแน่ที่พวกเราตกลงมาตรงก่อหญ้าพอดี ร่างของพวกเราทั้งสามร่อนลงสู่พื้นหญ้าดังแอ็ก!! และรีบลุกขึ้นวิ่งกันกระจายไปคนละทิศคนละทางสุดท้ายแล้วผมก็วิ่งไปเจอชาวบ้านที่กำลังขับรถส่วนมาพอดี ผมจึงได้โบกมือเรียกขอความช่วยเหลือ ชายคนนั้นก็จอดรับผมผมจึงขอให้เขาไปส่งที่วัด…

ไม่นานผมก็มาถึงและตามมาด้วยหลวงพี่ต๊อปกับไอ้หยองที่ติดรถชาวบ้านมาเช่นกัน พวกเรานั่งพักหายใจหายคออยู่ครู่ใหญ่ และหลวงพ่อที่มาจำวัดเมื่อคืนเห็นพวกเรากลับมาโดยที่ยังไม่ถึงเวลากลับวัด
ท่านจึงเข้ามาถาม พวกผมก็เลยเล่าไปตามที่เห็น พอหลวงพ่อได้ฟังท่านก็แซวหลวงพี่ต๊อบว่า

” แหม ลงรถกระเด็นขนาดนี้ไม่เป็นไรแสดงว่าทานต๊อปมีของดี “
**หลวงพ่อพูดแบบยิ้มๆ**

ไอ้หย่องที่ได้ยินเลยรีบพูดส่วนทันที

” ของดีอะไรกันล่ะครับหลวงพ่อ หลวงพี่ต๊อบก็หลวงพี่ต๊อบเถอะ ถ้าไม่มีกอหญ้าอยู่ตรงนั้นก็คงหน้าแหกไปเรียบร้อยแล้ว55555 “

ไอ้หยองพูดพร้อมหัวเราะ ส่วนหลวงพี่ต๊อบก็ยิ้มด้วยความเขินๆ แล้วจู่ๆไอ้โต้งมันก็เดินงัวเงียออกมาจากกุฏิผมรู้สึกหมั่นไส้มันเล็กน้อย แหมครับเพื่อนโดนผีหลอกเกือบตายแต่มันดันหลับสบายเลย ผมจึงพูดออกไปว่า

” ไง หลับสบายมั้ยละมึง “

ไอ้โต้งก็พูดสวนกลับทันที

” หลับห่าอะไร!! กูโดนผีหลอกช็อคเกือบตาย “

ผมได้ยินดังนั้นก็ถึงกับงงว่ามันไปโดนหลอกตอนไหนเพราะตลอดทางมันก็หลับมาตลอด แล้วไอ้โต้งมันก็เล่าเหตุการให้พวกเราฟังไอ้โต้งได้เริ่มเล่าว่า

ตอนที่พวกผมออกไปซื้อเครื่องดื่มกันสักพัก จู่ๆก็มีชายคนหนึ่งเดินมาขอบุหรี่กับไอ้โต้ง ไอ้โต้งก็ไม่ได้อะไรก็ให้บุหรี่ชายคนนั้นและมันก็สูบด้วย ชายคนนั้นชวนไอ้โต้งคุยนั้นนี่จนเขาบอกกับไอ้โต้งว่า
มีของดีจะให้ดู ไอ้โต้งจึงรีบหันไปมองทันทีและพอหันไปปรากฏว่าชายคนนั้นแหวกหน้าอกให้โต้งดู เห็นภายในร่างกายของชายคนนั้นไส้ทะลักเลือดนองฟื้น และชายคนนั้นก็พูดว่า

” มึงจำกูได้มั้ย!! “

หลังจากผู้ชายคนนั้นพูดจบ เขี้ยวของผู้ชายคนนั้นก็ค่อยๆยาวออกมาจนถึงและหน้าอก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนจากชายชราเป็นหญิงสาว และไอ้โต้งมันก็จำได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของมันคือหญิงสาวที่นั่งกินปลาอยู่ตรงใต้สะพานที่มันเคยทักจนที่สุดไอ้โต้งมันก็สลบไปทันที
พวกผมได้ยินที่ไอ้โต้งเล่าก็พูดขึ้นมาในทันทีพร้อมกัน

” อีเขี้ยวโง่ง!! “

ไอ้โต้งก็บอกมันก็ไม่รู้หรอกเพราะมันก็ไม่เคยเห็นอีเขี้ยวโง่ง มันจำได้เพียงเห็นผู้หญิงกำลังนั่งกินปลาแล้วมันก็หลับไป

ปล.ท่านใดยังไม่ได้อ่านเรื่องอีเขี้ยวโง่งที่ผมเคยลงผมจะบอกไว้ตรงนี้เลยว่าตอนนั้นไอ้โต้งพอมันทักผีเขี้ยวโง่งไปมันก็เมาหลับไม่ได้รู้เรื่องราวหรือเห็นใบหน้าเขี้ยวโง้งเลย

ผมได้ยินดังนั้นก็ถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที…….

ส่วนวิญญาณที่ผมได้เจอมานั้นผมจะขอเล่ารายละเอียดตรงนี้

สมัยก่อนแถวบึงบ้านผมนั้นอดีตเคยมีครอบครัวหนึ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงพากันมาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่กลับไม่ได้ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงพากันไปผูกคอตาย แล้วพอวิญญาณนั้นได้ตายไปก็มาหลอกหลอนพวกนายตำรวจพวกนั้นไม่เป็นอันกินอันนอน จนทำให้ตำรวจเหล่านั้นมาผูกคอที่เดียวกัน

ส่วนชายที่ไม่มีหัวนั้นสมัยก่อนตอนแอดนิลยังเป็นเด็กน้อย เคยมาดูพวกพี่กู้ภัยลากศพขึ้นมาจากบึงแต่ปรากฏว่ามีแต่ตัวขึ้นที่ขึ้นอืด ไม่มีหัวและทุกวันนี้ก็ยังหาหัวไม่เจอบางคนก็เล่าว่าวันดีคืนดีอยากเห็นชายคนนี้ออกมาหาหัวแต่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายใคร

ส่วนที่ผมเห็นชายที่คอบิดผิดรูปกำลังก้มกราบต้นยางใหญ่นั้น มาทราบอีกทีว่าเป็นชายที่ไม่ได้เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้
จนวันหนึ่งไม่รู้เขานึกยังไงมาทำการลบหลู่ด้วยการเอามีดมาฟันยาง จนไม่นานชายคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตคอหักตรงต้นยางนั้นพอดี และเล่าต่อไปว่าที่ชายคนนั้นก้มลงเหมือนกับว่ากำลังทำการขอขมาถึงแม้ตัวเองจะเสียชีวิตไปแล้ว..

ส่วนเรื่องอีเขี้ยวโง่งนั้นต้องขอย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตอนนั้นอาหารญี่ปุ่นได้พากันเอาไข่มุกมาเลี้ยงไว้ในบึงแห่งนี้ และได้ให้ชาวบ้านทำพิธีเหมือนกับให้มีปู่โสมเฝ้าทรัพย์โดยจะคัดเลือกคนที่จะมาเฝ้าทรัพย์ให้สืบเป็นรุ่นสู่รุ่นไปจนกระทั่งมาถึงรุ่นหนึ่งได้ทำผิดกฎโดยการเอาไข่มุกเหล่านั้นขึ้นมาใช้เองด้วยความโลภเหมือนจึงโดนลงโทษสอบให้กลายเป็นภูต ที่เรียกต่อกันมาปัจจุบันว่า…อีเขี้ยวโง่ง…..


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
ปู่โสม เฝ้าสวน
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ