บ้านมีกฎของบ้าน ป่าก็มีกฎของป่า ดังนั้นอย่าล้ำเส้นกัน….
ครูมานพมาบรรจุเป็นครูที่โรงเรียนติดกับชายป่าใกล้เขตแดนพม่าแห่งหนึ่ง หลังเลิกจากการสอนในตอนเย็นแล้ว เพชร เด็กหนุ่มในหมู่บ้านได้มาเที่ยวหาครูหนุ่มที่บ้านพักครู เพราะมีความคุ้นเคยกันอยู่ ครูมานพจึงชักชวนให้เพชรไปเข้าป่าล่าสัตว์ในวันหยุดนี้กับตน เพราะเพชรมีพ่อเป็นนายพราน ชื่อพรานแสง แต่ได้ล้างมือจากการเป็นนายพรานไปแล้ว และบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้าน นัยว่าเพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลในการปฏิบัติธรรมไปให้แก่สรรพสัตว์ที่เคยล่า สมัยเป็นนายพราน
“ครูเพิ่งไปซื้อปืนยาวมากระบอกหนึ่ง อยากจะลองความแม่นของมันดู” ครูหนุ่มพูดขึ้นอย่างครึ้มใจ เพชรฟังแล้วกลับมองหน้าครู แล้วแย้งว่า
“แต่ครูครับ เวลาเข้าป่าไป ต้องเคารพกฎของป่าด้วยนะครับ มีข้อห้ามของนายพรานเวลาเข้าป่าล่าสัตว์อยู่หลายอย่าง ถ้าไม่ปฏิบัติตามมักจะมีอันตราย หลัก ๆ ก็คือ เขาห้ามยิงสัตว์ดะไปเรื่อยเพื่อความสนุก ไม่ยิงสัตว์ที่ตั้งท้องหรือมีลูกอ่อน พูดจาก็ห้ามไม่ให้พูดคำหยาบ จะถ่ายหนักถ่ายเบาต้องขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน”
“กฎของป่าแต่มนุษย์เป็นคนตั้งกฎขึ้นมาเองนี่นา ครูรู้แล้วน่า เพชรไปเตรียมตัวเถอะ มะรืนนี้เราจะได้ท่องป่าให้สนุก”
ครูมานพพูดยิ้ม ๆ เขาไม่เคยเข้าป่าแบบจริงจังมาก่อน เพราะพื้นเพเป็นคนในเมือง มาบรรจุเป็นครูในโรงเรียนของหมู่บ้านติดชายป่าแบบนี้ จึงรู้สึกคึกคะนองเป็นพิเศษ เงินเดือน ๆ แรกที่ได้มา ก็เอาไปซื้อปืนยาวเพื่อใช้ล่าสัตว์ เขาหยิบปืนออกมาขัดถูราวกับมีความกระหายที่จะได้ใช้มัน เพชรไม่ได้พูดอะไรอีก เห็นท่าทางของครูที่ไม่ค่อยเชื่อในกฎข้อห้ามของป่า ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง เพราะมันเป็นสิ่งที่พ่อพร่ำบอกมาตลอด พรานป่าทุกคนมักยึดถือเป็นหลักประจำใจ เมื่อยามต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์ แต่ด้วยความเกรงใจในตัวครูหนุ่ม เขาจึงกลับไปบ้าน และตระเตรียมสิ่งของหลายอย่าง เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและครู ไม่ลืมนำสร้อยห้อยล็อกเก็ตแผ่นหนังเสือไฟมาคล้องคอเอาไว้ด้วย
เมื่อถึงวันเข้าป่า เพชรก็พาครูมานพเดินทางเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นหนาแน่น ก่อนเข้าป่าไป เพชรได้ทำพิธีข่มป่า ด้วยการไหว้เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา เสียก่อน เซ่นไหว้ด้วยข้าว ยาเส้น และหมากพลูที่เตรียมไป เสร็จแล้วถึงค่อยออกเดินทาง แต่เดินป่ามากว่าครึ่งวัน ก็ไม่เจอสัตว์ให้ยิงเลยสักตัว ครูมานพเริ่มบ่นด้วยความหงุดหงิด
“ป่าบ้าอะไรวะเนี่ย ไม่เห็นมีสัตว์สักตัว สงสัยป่ามันคงไม่น่าอยู่ สัตว์มันเลยหนีไปหมด เดินมาตั้งนานไม่เห็นแม้แต่ชะมดกระรอกสักตัว” บ่นพลางเหวี่ยงเท้าเตะไปตามพุ่มไม้ข้างทางอย่างเซ็ง ๆ เพชรมองท่าทางของครูหนุ่มแล้วเอ่ยเตือนว่า
“ก็ตอนเข้าป่ามาเราอธิษฐานขอยิงสัตว์อย่างเก้งกวาง เพื่อเอาไปทำอาหารนี่ครับครู อย่าเตะพุ่มไม้เสียงดังไปสิครับ สัตว์ได้ยินก็หายหมด มันจะกระสากลิ่นเราด้วย” เพชรแย้งเสียงอ่อน รู้ว่าครูหนุ่มกำลังหงุดหงิด จึงไม่ได้ตำหนิสิ่งที่เขาทำแรงนัก
จนมาหยุดพักที่ริมลำห้วยแห่งหนึ่ง สองฟากของลำห้วยเป็นดงไม้ตะเคียนยืนต้นสูงทะมึน ขณะนั่งพักอยู่ ครูมานพที่คันไม้คันมือ อยากจะทดสอบปืนกระบอกใหม่เป็นกำลัง แต่ผ่านไปครึ่งวันก็ยังไม่มีสัตว์ที่ต้องการจะยิง ผ่านมาให้ยิงสักตัว เขาจึงเอาเป้ากระดาษไปติดไว้ที่ต้นตะเคียนใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่อีกฟากของลำห้วย เดินกลับมาที่เดิม กระชากลูกเลื่อนแล้วประทับปืนเล็งยิง ปัง! กระสุนถากต้นไม้ไป เขาเล็งยิงเป้าอีกหลายนัด ยิงเข้าเป้าบ้าง พลาดไปบ้าง แค่นั้นยังไม่หนำใจ เขาเปลี่ยนไปเล็งยิงกิ้งก่าที่เกาะบนต้นตะเคียนใหญ่ แต่ยิงพลาดอีก ยิงไปถูกเปลือกไม้ฉีกกระจุย เมื่อยิงไม่ถูกก็หันปลายกระบอกปืนขึ้นไปบนยอดไม้ ยิงนกตัวเล็ก ๆ ที่บินผ่านไปมาเล่น เหลือบตาเห็นลิงตัวหนึ่งมีลูกอ่อนเกาะอก กำลังห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ก็ลั่นกระสุนเข้าใส่อีก ลิงตัวนั้นร้องเจี๊ยก! แล้วกระโจนโหนต้นไม้หนีไป
เพชรมองดูครูหนุ่มด้วยความไม่สบายใจ ท้วงขึ้นอีกว่า
“ครูครับกฎของป่าข้อหนึ่ง เขาห้ามยิงสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเล่น สัตว์ที่ตั้งท้องหรือมีลูกอ่อนเขาก็ห้ามไม่ให้ยิงนะครับ”
“เฮ้ย! ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่ยิงนกยิงกิ้งก่าเล่นจะเป็นไรไป เจ้าที่เขาไม่ขี้เหนียวหรอก สัตว์ในป่ามีตั้งเยอะแยะ ลิงตัวนั้นครูก็แค่ยิงเฉี่ยวมันเล่น”
(มีต่อ)
พูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็เกิดลมพัดเสียงดังวู้ วู้ มาแต่ไกล ยอดไม้รอบข้างสั่นไหวซู่ซ่า เหมือนมีมือขนาดยักษ์มาจับป่าทั้งป่าเขย่า ท้องฟ้าที่เคยสว่างกลับมืดดำลงทันควัน เสียงลมพัดแรงขึ้น ๆ ดังอื้ออึงอย่างน่ากลัว ต้นไม้โอนเอนไปมา ทำท่าเหมือนจะหักโค่นลง ครูมานพทำหน้าเลิ่กลั่ก ตกใจกับเหตุประหลาดที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน ลดปืนลง แล้วถอยมาหาเพชรที่มีท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมจู่ ๆ ก็มีลมพัดแรงแบบนี้ล่ะ เพชร”
“ไม่ได้การแล้วล่ะครู วันนี้ผีป่าไม่ชอบใจ ผมว่าเรากลับกันดีกว่า”
เพชรก้มลงยกเป้ใส่หลัง ครูมานพก็เก็บสัมภาระของตนเองอย่างฉับไว แต่พอทั้งคู่จะหันกลับไปทางเดิม ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็โค่นลงมาฟาดลงพื้นเสียงโครม!สนั่น ขวางทางไว้ ทำเอาคนทั้งสองสะดุ้งโหยง ต้องถอยหลังกลับมาใหม่
“เขายังไม่ให้เราไป” เพชรกระซิบกับครูมานพที่ยืนหน้าซีดเหลือสองนิ้ว เด็กหนุ่มรวบรวมสมาธิ คิดถึงคาถาที่พ่อสอน นั่งลงพนมมือเหนืออก หลับตาท่องคาถา ทันใดนั้นเองลมแรงก็สงบลง แต่ยอดไม้ที่สั่นไหวยังไม่ยอมหยุดสั่น ท้องฟ้าก็ยังมืดดำอย่างผิดปกติตามเดิม เพชรลืมตาขึ้น บอกครูหนุ่มว่า
“ครูยกมือไหว้ขอขมากับเจ้าป่าเจ้าเขาท่านเสียดีกว่า ท่านจะได้ปล่อยให้เราไป”
ครูมานพรีบคุกเข่าลงพนมมือไหว้ แล้วกล่าวขอขมาต่อรุกขเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาทันที แต่พลันก็มีเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้น
“ลูก ๆ ของกูอยู่ของมันดี ๆ มืงมายิงลูกกูเล่นทำไม ไอ้คนมือบอน มืงมารบกวนที่อยู่ของกู มาดูถูกลบหลู่กู…กูจะต้องสั่งสอนพวกมืงให้รู้สำนึกเสียบ้าง”
เสียงพูดนั้นดังก้องมาจากทางต้นตะเคียนใหญ่ที่ครูมานพซ้อมยิงเป้าเล่น เป็นเสียงของผู้หญิงที่บ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก กิ่งไม้ใบไม้รอบด้านยังคงส่ายไหวรุนแรงไม่ยอมหยุด
เพชรเห็นไม่เป็นการ เขารีบกำล็อกเก็ตหนังเสือไฟ แล้วเอามาพนมมือไหว้ ท่องคาถาไพรมหาพิชิต ก่อนเป่าพรวดขึ้นไปทางยอดต้นตะเคียน พลันยอดไม้ที่ส่ายไหวอยู่ก็เห็นเป็นภาพของฝูงลิงจำนวนมากปรากฏขึ้น มีทั้งลิงแก่ ลิงหนุ่ม และลูกลิงตัวเล็ก ๆ กำลังขย่มกิ่งไม้ข่มขู่อยู่รอบด้าน ด้วยท่าทางดุร้ายน่ากลัว พลางแยกเขี้ยวแหลมร้องเจี๊ยก ๆ กันเจี๊ยวจ๊าว
ครูมานพมือไม้แข็งเกร็งไปหมด ไม่สามารถจะยกปืนขึ้นเล็งยิงได้ แข้งขาสั่นจนต้องยอบตัวลงนั่ง เพราะยืนอยู่ไม่ไหว
“มืงคิดจะลองดีกับกูเหรอ ไอ้พวกมนุษย์” เสียงตวาดดังก้องมาจากทางต้นตะเคียนใหญ่อีก มันดังสะท้อนสะท้านอยู่รอบทิศ
“ลูก ๆ ลิงของข้า จงลงไปสั่งสอนเจ้ามนุษย์หน้าโง่สองคนนั้น”
เพชรเห็นว่าผีป่ากำลังโกรธจัด และสั่งให้ฝูงลิงลงมาทำร้ายพวกตน พอพวกลิงทำท่าจะห้อยโหนลงมา เขาก็ผุดลุกขึ้นยืน กำล็อกเก็ตหนังเสือไฟไว้แน่น ท่องคาถากำกับ พลันแสงสีทองก็ส่องวาบออกมาจากล็อกเก็ตที่ห้อยคออยู่ มันรวมตัวกันเป็นร่างของเจ้าป่าลำตัวสีทองเหลืองอร่าม ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าคนทั้งคู่ แหงนหน้าขึ้นร้องคำรามขู่ก้องป่า เหล่าฝูงลิงบนต้นไม้ต่างพากันหยุดชะงัก เกาะกิ่งไม้นิ่ง สักพักก็ล่าถอย ห้อยโหนเกาะต้นไม้ กระโจนหายลับไปในป่าทึบ
นางตะเคียนเหมือนจะโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น ปรากฏตัวออกมาจากต้นตะเคียน เป็นร่างของหญิงสาวหน้าตาสะสวยงดงาม แต่ขณะนี้มีสีหน้าที่บึ้งตึงอย่างคนไม่สบอารมณ์ เธอแต่งตัวด้วยเสื้อแขนยาวและผ้าถุงแบบสาวชาวบ้านธรรมดา ทั้งครูมานพและเพชรถึงกับตะลึงมอง เมื่อเห็นมีผู้หญิงเดินออกมาจากต้นตะเคียนให้เห็นกันจะ ๆ เธอมายืนถลึงตามองอยู่อีกฟากของลำห้วย
“งูป่าของข้าออกมาจัดการมัน”
คำสั่งที่ทำเอาคนทั้งสองขวัญผวา ดังออกมาจากริมฝีปากของเธอ ทันทีที่เธอพูดจบ ฝูงงูจำนวนมากก็เลื้อยปราดมาตามลำห้วย เพชรกับครูมานพตกใจ ลุกพรวดพราดขึ้น พอเพชรตกใจเลยหยุดท่องคาถาอย่างกะทันหัน เสือสีทองก็หายวับไป คนทั้งสองจึงพากันกระโดดขึ้นไปอยู่บนโขดหินใหญ่ งูตัวไหนเลื้อยมาใกล้ก็ใช้มีดฟัน เพชรท่องคาถาผิด ๆ ถูก ๆ เพราะไม่สามารถตั้งสติท่องคาถาได้ทัน ทำได้เพียงใช้มีดฟันป้องกันตัวเท่านั้น
พลันร่างของภิกษุชรารูปหนึ่ง ก็เดินออกมาจากแนวพุ่มไม้ ท่านร้องเสียงดังว่า
“หยุด!”
งูที่กำลังเลื้อยปราด ๆ มา หยุดกึกลงทันควัน มันพากันหมอบหัวลงเหมือนเกรงกลัวพระภิกษุรูปนั้น แล้วแยกย้ายกันเลื้อยหนีไป ภิกษุรูปนั้นก็คือหลวงปู่แสง อดีตนายพรานผู้ชำนาญไพร พ่อของเพชรนั่นเอง ท่านเดินมาหยุดอยู่ริมลำห้วย จ้องมองไปที่หญิงสาวซึ่งยืนหน้าบึ้งมองท่านอยู่เช่นกัน
“อาตมาของบิณฑบาตเถอะนะ โยมเจ้าแม่ตะเคียน ความไม่รู้จึงทำให้ประพฤติผิดไป ขอให้โยมให้อภัยแก่พวกเขาสักครั้งเถิด หากพวกเขารู้แล้วยังประมาททำซ้ำอีก ค่อยลงโทษให้สาหัส นึกว่าเห็นแก่อาตมาเถอะ”
“พวกมันบังอาจมาล่วงเกินข้า ล่วงเกินผืนป่าของข้า ข้าจึงต้องให้บทเรียนแก่มัน” นางตะเคียนยังคงมีท่าทางขึงขัง
“พวกเขาได้รับบทเรียนไปตามสมควรแล้วล่ะโยม นึกว่าเห็นแก่อาตมา ระงับการจองเวรลงสักครั้งเถอะ อย่าสร้างเวรกรรมให้ผูกพันต่อกันอีกเลย หากโยมทำกับพวกเขาจนถึงตาย พวกเขาก็จะต้องกลับมาล้างแค้นกับโยมในชาติต่อไปอีก อย่างไม่รู้จบ”
นางตะเคียนพอได้ฟังก็มีสีหน้าที่คลายลง ราวกับจะคิดได้ เพ่งมองมาที่คนทั้งสองซึ่งหวาดกลัวเสียจนยืนตัวสั่นงันงกอยู่บนโขดหิน
“ก็ได้ ข้าจะเห็นแก่หลวงปู่สักครั้ง แต่หากพวกมันยังขืนทำอีก ข้าจะไม่ไว้ชีวิตมัน”
ถึงจะบอกเสียงอ่อนลงอย่างนั้น แต่นางตะเคียนยังตวัดสายตามามองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองอย่างแค้นเคืองไม่หาย ก่อนร่างเธอจะค่อย ๆ เลือนรางจางลงไป
“ขอบใจนะโยมเจ้าแม่ตะเคียน ที่ให้อภัยต่อความไม่รู้ของมนุษย์” พระภิกษุกล่าวไปทางต้นตะเคียนใหญ่ ซึ่งมันก็ส่ายไหวกิ่งใบเหมือนเป็นการตอบรับ
“เป็นไงล่ะ โดนเล่นงานซะหลอนไปเลยใช่มั้ย ทำอะไรไม่รู้จักคิดให้ดีเสียก่อน นี่ดีนะที่หลวงปู่นั่งทางในมาเห็นเข้าก่อน ต่อไปเวลาเข้าป่าต้องจำไว้ให้มั่น บ้านมีกฎของบ้าน ป่าก็มีกฎของป่า ทุกชีวิตและดวงวิญญาณจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข”
พระแสงเอ่ยทัก เมื่อชายหนุ่มทั้งสองวิ่งลงจากโขดหินตรงมาหา ครูมานพยกมือไหว้พระท่วมหัว ก่อนหันไปไหว้รอบป่าทั้งสี่ทิศ
“ผมเข็ดแล้วครับหลวงปู่ จะจำใส่กะโหลกไว้ ต่อไปผมจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้อีก”
“ข้อห้ามของคนโบราณมักจะซ่อนคติธรรมไว้เสมอ อย่าฝ่าฝืนเลย ธรรมะก็คือธรรมชาติ มันเป็นความจริงอันไม่อาจมีข้อโต้แย้ง ที่เขาห้ามไม่ให้ยิงสัตว์ตั้งท้องก็เพราะสัตว์เหล่านั้นกำลังขยายพันธุ์อยู่ ไม่ให้ตั้งแค้มป์ใกล้แหล่งน้ำเพราะช้างมันจะมาย่ำเอา ไม่ให้ถ่ายหนักถ่ายเบาในป่าเพราะสัตว์มันจะได้กลิ่นมนุษย์แล้วหนีไปหมด กินน้ำในลำห้วยต้องต้มทุกครั้งเพราะจะได้ป้องกันไข้ป่า”
“ครับ หลวงปู่ ผมจะจำไว้ครับ ซาบซึ้งถึงกฎข้อห้ามของป่าแล้วครับ”
ครูมานพเอ่ยยอมรับแต่โดยดี ความคึกคะนองหายไปหมดสิ้น เพชรหันมายิ้มให้ครูหนุ่ม โล่งใจที่เขาคิดได้ จากนั้นคนทั้งสามก็เดินออกจากผืนป่าแห่งนั้นไป บรรยากาศเงียบสงบเข้าปกคลุมดงตะเคียนแห่งนั้นตามเดิม