เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงแน่นอนครับ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่เชื่อ แต่ก็มีหลายคนที่อาจจะชอบเรื่องเล่าประเภทนี้เป็นทุนเดิม เพราะฉะนั้น ผมก็อยากจะบอกทุกคนนั่นแหละครับว่ายังไงก็ใช้จักรยานระหว่างอ่านกันนิดนึงนะครับ
ปกติผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเซนส์กับอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่ผมจะไม่เล่าจากเรื่องที่ผมเจอครั้งแรกในชีวิตครับ ผมจะขอเล่าเรื่องที่เรียกได้ว่าน่ากลัวที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอดีกว่า มันคือช่วงหลังจากที่ผมได้ไปร่วมงานบวชของเพื่อนผมคนหนึ่ง ที่จังหวัดชัยภูมิ (บวชวัดป่าซะด้วยครับ) แล้ว 1 เดือนต่อมา ผมก็ได้กลับไปรับเพื่อนผมพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน เมื่อไปถึง ก็ได้พบกับเพื่อนอีกคนที่เคยบวช แต่ตอนนี้เป็น “บัณฑิต” หรือ “ไอ้ฑิต” เรียบร้อย พอตกกลางคืน ก็มีการสั่งชุดหมูกระทะมากินเลี้ยงกันในบ้าน ระหว่างนั้น นอกจากแก๊งค์เล็กๆ ของผมแล้วก็มีญาติผู้ใหญ่ของไอ้ฑิตร่วมวงด้วย พวกผู้ใหญ่ก็รำลึกความหลังเกี่ยวกับไอ้ฑิตว่าเคยเห็นเคยเลี้ยงกันมาตั้งแต่ยังไม่หัดเดิน อะไรเทือกนั้น แต่รำลึกไปรำลึกมา ดันไปเข้าเรื่องบ้านเก่าหลังหนึ่งที่อยู่กรุงเทพฯ ซะงั้น ซึ่งมันจะไม่เป็นเรื่องเลย ถ้าเรื่องเกี่ยวกับบ้านเก่านั้น เป็นเรื่องของการย้ายออกเพราะเจอ “อะไรบางอย่าง” ต่างอธิบายสรรพคุณของ “อะไรบางอย่าง” กันชนิดเห็นภาพ ทั้งผอมหนังติดกระดูกบ้าง แลบลิ้นยาวถึงหน้าอกบ้าง ห้อยหัวได้บ้าง แต่ก็ไม่มีใครเรียกสิ่งนั้นกันตรงๆ เพราะเป็นความเชื่อของแถบภาคอีสานน่ะแหละครับ ว่าถ้าเรียกมันตรงๆ มันจะมาหาทันที ก็เลยแทนค่าสมการกันด้วยคำว่า “น้องPop” ทว่าจนแล้วจนรอดก็มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งหลุดชื่อมันออกมาได้ซะเต็มปากเต็มคำ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที ณ ขณะนั้น กลับกลายเป็นเหตุระทึกมันมาเกิดขึ้น หลังจากที่ญาติผู้ใหญ่เข้านอน และแยกย้ายกันไปบ้านหลังอื่นกันหมดแล้ว
ในระหว่างที่พวกผมกำลังแย่งกันกินหมูกระทะชนิดความไวเป็นของปีศาจ ผมเริ่มสังเกตว่าเพื่อนผมคนนึงมันเริ่มหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ บ้านแบบแปลกๆ ผมเลยถามมันว่ามีอะไร มันก็บอกว่า “แหม่..มาเป็นเด็กสเก็ตบอร์ดเลย” ผมเลยถามเพื่อความแน่ใจอีกทีว่า “เด็กสเก็ตบอร์ดอะไรของ?” มันเลยบอกว่า “โห่..ก็เห็นเค้ายืนตรงเฉยๆ นะ แต่ไหลผ่านหน้าบ้านไปเลยไง” ก่อนจะมีฝูงหมาจรจัดมารวมตัวกันหน้าบ้านเพื่อนผมโดยมิได้นัดหมาย พลางแข่งกันเห่าได้หนวกหูมากๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่ามันคงวิ่งไล่กันเป็นธรรมดา แต่พอสังเกตเข้าก็รู้สึกแปลกๆ ว่าแถวนี้มันมีอะไร ทำไมมันไม่แยกย้ายกันไปไหนก็ไปซักที ผมเลยลองตั้งสมาธิดีๆ ก็รู้สึกได้ชัดเจน (ทั้งที่มองไม่เห็น) เลยว่า มันมี “อะไรบางอย่าง” อยู่นอกบ้าน แล้วจู่ๆ ผมก็เกิดอาการผวาขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ คืออยู่ดีๆ เหมือนกับต่อมความกลัวมันทำงานเอง ซึ่งปกติผมจะชินชากับอะไรพวกนี้มาก แต่รายนี้มาผมถึงกับผวา แสดงว่า..ธรรมดาที่ไหนล่ะ? ผมเลยเรียกไอ้ฑิต พร้อมทั้งชี้ไปที่จุดที่ผมรู้สึกตรงหน้าบ้าน ประมาณว่า เป็นอันรู้กันระหว่างคนหลังบวชกับคนมีเซนส์ ไอ้ฑิตมันรีบเตือนผมเลยว่า “อย่าไปชี้!!” ผมนี่รีบเก็บมือเลยครับ แล้วผมก็ถามไอ้ฑิตกลับว่า “ไปบวชมานี่..มีอะไรมากู้สถานการณ์ได้บ้างมั้ย” มันเลยบอกให้ผมไปหยิบมีดมาเล่มนึงในห้อง ซึ่งนั่นก็คือ “มีดหมอ” แหละครับ พอเอามาให้มัน ไอ้ฑิตก็กางมีดออกพร้อมบริกรรมบทสวดอะไรซักอย่าง แล้วก็เอามีดไปวางไว้แถวๆ เฉลียงหน้าบ้าน เท่านั้นล่ะครับ ไอ้น้องหมาหลายสิบตัวที่มันรวมกันก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ไอ้ความรู้สึกผวานั่นก็เบาลงอย่างรวดเร็ว.. หลังจากนั้นพวกเราก็รีบจัดการกับหมูกระทะให้เสร็จแล้วแยกย้ายกันไปนอน โดยที่ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์เมื่อกี๊กันอีกเลย
แต่แล้วเหตุการณ์มันกลายเป็นว่า ฝั่งเราอยากจบ แต่ฝั่งนั้นไม่อยากจบ ช่วงที่ไล่ปิดหน้าต่างบ้านอยู่ อยู่ดีๆ ไฟทั้งบ้านก็ดับพรึ่บ แล้วก็กลับมาติด (คล้ายๆ ไฟตก) แล้วผมก็เห็นไอ้ฑิตถลาตัวออกมาจากห้องหนึ่งที่พวกเราจะนอนกันในห้องนั้นได้อย่างพริ้วไสว (ทั้งที่จริงๆ มันหนักเกือบร้อยโลได้มั้ง) พวกผมเลยถามประมาณว่า “มันยังอยู่ใช่มั้ย?” มันก็ผงกหัวหงึกๆ เร็วๆ แล้วก็เล่าว่า “ตอนกำลังปิดหน้าต่างห้องแล้วไฟยังติดอยู่น่ะ..ยังไม่เห็นอะไรหรอก แต่พอไฟดับเท่านั้นแหละ ภาพที่อยู่นอกบ้านมันเลยเห็นชัด ยิ้มยืนอยู่กลางลานตรงนั้นเลย” แต่สุดท้ายก็ต้องพากันเข้าไปนอนในห้องนั้นอยู่ดี โดยไอ้ฑิตกับผมหลับเป็นสองคนสุดท้ายครับ เพื่อให้แน่ใจว่า “มันไปแล้วจริงๆ”
เช้าวันต่อมา พวกเราก็ออกมาสำรวจถึงหน้าบ้าน บริเวณจุดที่หมารวมตัวกันเมื่อคืน ผมไม่รู้สึกแล้วว่ามันอยู่แถวนั้น คงไปแล้วจริงๆ ผมก็เรียกไอ้ฑิตให้ดูจุดที่ผมกำลังยืนอยู่ แล้วผมก็บอกว่า “เมื่อคืนกูรู้สึกว่ามันยืนอยู่ตรงนี้” ซึ่งไอ้ฑิตตอบกลับมาว่า “น่ะแค่รู้สึก ไม่เห็นก็ดีแล้ว แต่กูนี่..เห็นมันจะปีนเข้ามาในบ้านได้อยู่แล้ว” ผมก็เลยขอให้มันลองอธิบายหน้าตาของสิ่งที่พวกเราแทนค่ามันว่า “น้อง Pop” โดยไอ้ฑิตมันก็อธิบายมาว่า “เมื่อคืนที่เราเจอมันเป็นแบบที่กำลังออกหากิน มันจะหน้าตาไม่เหมือนคน คือตัวสูงๆ ผิวดำสนิท เล็บยาวๆ ตาแดงๆ”
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถกลับกรุงเทพฯ กันครับ ระหว่างทางที่ออกมาไกลพอจาก “อาณาเขตของมัน” แล้ว ผมยังสงสัยอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ “น้อง Pop” ก็เลยถามต่อว่า “แล้วไอ้ที่เป็นยายแก่ๆ กินไก่แบบที่ในละครล่ะวะ?” มันก็เลยอธิบายว่า “จริงๆ Pop มันไม่มีรูปร่างเลย มันเป็นแค่อวิชชา หรือพวกไสยศาสตร์จากพวกหมอผีที่ของเข้าตัวแล้วโดนของกินตัวเองซะเอง พอ Pop มันกินหมดแล้ว มันก็จะหาร่างใหม่กินไปเรื่อยๆ มันจะกินใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นยายแก่ ใครพูดถึงชื่อมันเต็มๆ ในเขตของมัน มันจะเหมือนรู้แล้ววิ่งมาใส่เราทันที กำจัดก็ไม่ได้ ไล่ให้ออกได้อย่างเดียว แต่โอกาสคนที่โดนเข้าแล้วจะรอดยิ้มโคตรน้อยมากๆ”