วันศุกร์, 29 กันยายน 2566

ท้าลองของ สยอง4ด่าน

เรื่องนี้เกิดในระหว่างที่ผมได้ไปร่วมงานบวชเพื่อนคนหนึ่งที่จังหวัดชัยภูมิ โดยงานบวชนี้จัดขึ้นในบ้านหลังหนึ่งครับ เป็นการเชิญสารพัดญาติๆ มาร่วมพิธีปลงผมให้กับเพื่อนผมคนนี้ในวันเสาร์ ส่วนพิธีอุปสมบทจะจัดในวันอาทิตย์ครับ

ผมเดินทางจากกรุงเทพฯ มากับเพื่อนๆ อีก 8 คน โดยมีว่าที่หลวงเพื่อนมารอรับที่ขนส่งอำเภอบัวใหญ่ เราถึงบ้านหลังนั้นช่วงบ่าย 3 กว่าๆ พอลงจากรถเสร็จ ก็แยกย้ายกันเอาสัมภาระไปเก็บ ระหว่างเก็บสัมภาระ พวกเราได้พบกับเพื่อนร่วมสาขาของว่าที่หลวงเพื่อน (ส่วนพวกเราเป็นเพื่อนตั้งแต่ม.ต้นครับ) หลังจากนั้นผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ทำการสำรวจบริเวณรอบๆ บ้านหลังนั้นครับ..

บ้านหลังนี้ล้อมรั้วเหล็กไว้รอบๆ มีทางเข้า 2 จุดคือด้านหน้า กับด้านหลัง พวกผมเข้ามาทางข้างหน้ากัน ส่วนด้านหลัง เมื่อผมเดินไปดูก็พบกับทางดินแดงทอดยาวไปใช้ทะลุออกถนนใหญ่ได้ โดยที่ปากทางที่เชื่อมกับถนนใหญ่นั้นเป็นทางสามแพร่ง ส่วนถนนใหญ่นั้นตัดขึ้นเป็นสะพานข้ามคลองน้ำดำคลองหนึ่ง โดยคลองที่ว่า ลากยาวจากถนนลงมาขนานกับทางดินแดงหลังบ้านหลังนี้ในทางซ้ายมือ หากเราหันหน้าออกไปทางถนนใหญ่ ส่วนทางขวามือของผมเป็นบ้านไม้ยกระดับมีใต้ถุนเพื่อเลี้ยงไก่ในเล้า หรือแขวนเปลเชือกตามแบบฉบับอีสานออริจินัลนั่นล่ะครับ ส่วนถัดไปจากบ้านไม้หลังนั้นทางขวามือไปอีก คือโกดังร้างหลังหนึ่งครับ และที่ตั้งตระหง่านอยู่ลานหน้าโกดังก่อนออกสู่ถนนใหญ่ คือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อผมมองไปที่พื้นดินใต้ต้นโพธิ์นั้น ก็ได้เห็นธูปปักอยู่รอบๆ รวมไปถึงแถบผ้าสามสีที่ซีดเก่าจนรู้ได้ว่าไม่มีใครแวะเวียนมาเปลี่ยนให้เป็นเวลานานแสนนาน

“ไงล่ะ.. เจอใครมั้ย?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังผม เมื่อหันไปตามเสียงทัก ว่าที่หลวงเพื่อนของผมพาร่างที่มีน้ำหนักร่วมร้อยโลเดินมาถึงจุดที่ผมกับเพื่อนอีก 2 คนยืนอยู่
ผมรู้ได้ทันทีว่าทำไมมันถึงทักขึ้นแบบนั้น.. เพราะทั้งผมและมันต่างก็มีสัมผัสกับ “อะไรบางอย่าง” ได้เหมือนกัน โดยตัวผมนั้นมีสัมผัสด้านการได้ยิน ได้กลิ่น สัมผัสทางผิวหนัง และรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของ “อะไรบางอย่าง” โดยที่ไม่ต้องมองด้วยตาเปล่า (คล้ายๆ โซนาร์เรือดำน้ำนั่นล่ะครับ) ส่วนเรื่องการสื่อสารกับ “อะไรบางอย่าง” นั้น ผมสามารถรับสาสน์จากทางนั้นได้ แต่ตอบกลับไม่ได้ ทำได้แค่บอกต่อคนกันเองเฉยๆ เหมือนเป็นวิทยุทางเดียว ส่วนว่าที่หลวงเพื่อนนั้นมีเหมือนกันเกือบทุกอย่างครับ แต่เปลี่ยนจากการรู้ตำแหน่งที่ตั้ง เป็นการมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แถมสื่อสารได้ทั้งสองทาง คือรับและตอบกลับได้..ว่ากันง่ายๆ ครับ งานนี้มีการจับเอา “ญาณสัมผัส” กับ “ญาณตาทิพย์” มาเจอกัน
“เจอใคร..หรือเจออะไร? กูไม่ถือว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตนะ” ผมตอบกลับอย่างรู้ทันคนมีญาณด้วยกันเอง
“เฮ้ย! อย่าทำเป็นปากดีไป เห็นบ้านไม้นี้มั้ย?” ผมมองขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น แล้วผงกหัวเบาๆ “อืม?”
“ญาติทางแม่กูคนนึงเขาเสียบนบ้านหลังนี้เลย ทุกวันนี้วันดีคืนดี ใครผ่านมาทางนี้ยังเห็นเขาเดินไปเดินมาในบ้านอยู่เลย ขนลุกกันเป็นแถบ” ว่าที่หลวงเพื่อนเล่า
“อ่ะเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ต้องโดนรับน้องแล้วล่ะมั้ง” เพื่อนผมคนหนึ่งพูดขึ้น “ปลายปีที่แล้วอ่ะไม่ได้มากับพวกกู หลังกลับจากภูทับเบิกก็แวะมานี่ ตอนดึกๆ กูนี่มานั่งแกะกุ้งผ่าปลาหมึกตรงหัวบันไดนู่น ขนาดกูไม่เจอแบบนะ นั่งๆ ไปนี่ยังขนลุกเลย เดี๋ยวคืนนี้เซนส์ดีอย่างอ่ะแหละต้องมาผ่าปลาหมึกแทนพวกกู 55555” ไอ้ยิ้ม.. ทำอย่างกับผมรับรู้อะไรพวกนี้ได้แล้วอยากเจอมันมากกก -*-

การสำรวจรอบบ้านยังไม่จบแค่ตรงนี้ครับ เราเดินกลับมา แต่เลี่ยงไปอีกทางนึง ยังไม่เข้าบ้าน พวกเรา 4 คนเดินมาถึงทางดินแดงอีกเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านฝั่งหน้าบ้าน มองไปตามทางดินแดงเส้นนั้น ผมได้เห็นลานรกร้างแห่งหนึ่ง ตรงลานนั้นมีบ้านไม้คล้ายๆ กับหลังเมื่อกี๊ตั้งอยู่ แต่ที่ต่างออกไปคือ หลังนี้มีคลองตัดผ่านหลังบ้าน ถัดจากคลองนั้นข้ามไปเป็นฝั่งตรงข้ามกับบ้านหลังนั้น คือดงต้นไม้ที่ขึ้นสูงจนเป็นป่า ส่วนข้างๆ บ้านหลังนั้น ต้นตาลต้นหนึ่งสูงตระหง่านขึ้นมา
“บรรยากาศแบบนี้..เป๊ะเลย” เพื่อนผมอีกคนพูดขึ้น แล้วมันก็หยิบโทรศัพท์ของมันขึ้นมาเสิร์ชหาคลิปหนึ่งใน YouTube แล้วชูขึ้นมาตรงหน้าผม ทำให้ผมได้เห็นคลิปในนั้นกำลังเล่นอยู่ข้างๆ ต้นตาลพอดี..
นั่นแหละครับ.. คลิปนั้นคือไตเติ้ลเพลงเปิดละคร “เปรตวัดสุทัศน์” ซึ่งมันกดหยุดตรงฉากที่แสงจากฟ้าแลบ เผยให้เห็นร่างของเปรตที่ยืนอยู่หลังต้นตาลพอดี..
“ตอนเด็กๆ เคยดูมั้ย?” เพื่อนผมถามขึ้น
“เคยดิวะ หลอนยิ้ม ขนาด CG ตัวเปรตยังแบนๆ เหมือนเสือ.GIFF ในละครของฉลองนะน่ะ”
อันที่จริงส่วนตัวผมอาจจะเจอผีมาเยอะ ผมกลับไม่เคยเจอผีเปรต แถมไม่เชื่อด้วยว่าเปรตมีอยู่จริงๆ เพราะเรื่องเล่าแต่ละเรื่องของผีเปรตโดยส่วนมากจะหนักไปทางชีวิตดราม่าของคนบาปคนหนึ่ง ซึ่งลงท้ายที่สุดแล้วเขาจะไปเกิดใหม่ในนรกเป็น “สัตว์นรก” หรือที่รู้จักกันในวงกว้าด้วยชื่อ “เปรต” เรื่องแล้วเรื่องเล่ามันเหมือนเป็นเรื่องเล่าจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อสอนลูกหลานไม่ให้ก่อบาปทำผิดศีลเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเกิดใหม่เป็นเปรต แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับกลัวมันยิ่งกว่า “น้องPOP” อีกนะ

แล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงครับ.. พิธีปลงผมนาคผ่านไปได้ด้วยดีท่ามกลางเสียงแห่งความยินดีสนุกสนานเฮฮา จากพ่อแม่ญาติพี่น้องก็ดี หรือเพื่อนกันก็ดี
จนมาถึงยามค่ำ..
หมูกระทะ 2 เตาสำหรับพวกผมเพื่อนสมัยมัธยม และเพื่อนรุ่นมหา’ลัยของว่าที่หลวงพี่ผู้ตอนนี้กลายเป็น ‘นาค’ ไปเรียบร้อย โดยที่เนื้อหมูในเตาถูกคีบออกชนิดความไวเป็นของปีศาจ และในระหว่างที่กินอยู่..
“เฮ้ย! ไปบ้านไม้ข้างหลังกะน้องกูหน่อย ไปเอาน้ำเปล่าแช่เย็นมาซัก 4-5 ขวด” นาคตะโกนเรียกผม ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นน้ำเปล่าที่อยู่ในบ้านไม้ข้างหลังนั้น ทั้งที่ในครัวมันก็มีตู้เย็นอยู่..
“ตู้นี้มันไม่ค่อยเย็น ตู้นั้นเย็นกว่า” เหมือนจะรู้..
“ไปบ้านไม้นี่มันเย็นจนหนาวแน่ๆ”
“โดนแน่ๆ ” เพื่อนผมคนที่เคยไปหั่นปลาหมึกที่บ้านหลังนั้นพูดขึ้น

ผมกับน้องชายของนาคเดินออกประตูหลังแล้วเดินมาถึงบ้านไม้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากความเก่าของไม้กระดานดังขึ้นเมื่อเท้าของผมและน้องชายของนาคเหยียบลงแล้วเดินไปรอบๆ โดยที่ในบ้านนั้นไม่มีใครอยู่ ทำให้ไฟบ้านนั้นปิดไว้ ผมพอมองเห็นตู้เย็นเป็นโครงรางๆ ในความมืดที่ตั้งอยู่แถวๆ ระเบียงบ้าน ส่วนไฟบ้านน่ะเหรอ..อยู่ในตัวบ้าน ยังไม่ทันได้เข้าไปถึงส่วนไหนของบ้านมากมายก็ขนลุกเบาๆ แล้ว ก็เลยจำยอมไม่เข้าไปเปิดดีกว่า ใช้เปิดแสงแฟลชจากมือถือเอา
“เชี่ย!!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อแสงแฟลชของผมสาดไปกระทบกับใบหน้าของหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งที่สวมชุดไทยแบบชุดผ้าไหมในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
แต่เมื่อผมดูดีๆ ก็พบว่ามันเป็นเพียงรูปภาพของเจ้าของบ้านที่เสียไปแล้วนั่นล่ะครับ
“มาแค่รูปกูยังหลอนเลย 555” โคตรตลกตัวเองที่ตอนนั้นเป็นคนที่ชินกับเรื่องผีๆ แต่ขี้ตกใจสุดๆ เพราะตอนเด็กๆ โดนทั้งเพื่อน ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องแกล้งให้ตกใจบ่อยๆ เมื่อเจ้าน้องชายของนาคหยิบน้ำเปล่าเสร็จเราก็ลงมาจากบ้านหลังนั้น
“เจอไรมั้ยครับ?” เพื่อนผมคนหนึ่งทักขึ้น
“ไม่เจออ่ะ..แต่มีจังหวะสาดแฟลชไปเจอรูปเค้า สะดุ้ง ยิ้มๆ” ผมตอบพลางหัวเราะเบาๆ

เมื่อกินเสร็จ..
“เฮ้ย! อยากเล่นอะไรหนุกๆ ป่าว” นาคถามขึ้นท่ามกลางวงของเพื่อนๆ “แถวนี้น่ะ ประวัติมันเยอะ อยากเจอซักทีมั้ยล่ะ?”
ไหนๆ ก็ไหนๆ เพื่อนผมก็กลายเป็นนาคไปเรียบร้อยแล้ว ใจนึงก็อยากให้มันสนุกให้เต็มที่ก่อนที่วันรุ่งขึ้นมันจะต้องไปเคร่งศีลในวัดป่านั่นล่ะครับ
“ไหนๆ ทั้งทั้งนาคก็อยู่ด้วยกันละ ทดสอบเซนส์พวกไปเลยดีกว่า” เพื่อนผมคนหนึ่งเริ่มท้าทาย
อันที่จริง ผมก็ไม่ค่อยชอบให้ใครมาถามซ่อกแซ่กอะไรมากมายหรอกครับ.. ในแต่ละครั้งที่ผมเจออะไรพวกนี้ ผมมักจะโดนเพื่อนรุมถามประจำ ‘เห็นยังไงวะ?’ ‘เขามาแบบไหนวะ?’ ‘น่ากลัวป่ะ?’ ‘น่าสนุกว่ะ’ ..ไม่สนุกเลยว่ะจริงๆ ถ้าเขาเป็นผีทั่วๆ ไป ผมก็ปล่อยผ่าน เหมือนกับเราเจอหมาข้างถนนนั่นล่ะครับ ถ้ามาร้ายผมก็จะเตือนคนรอบข้างเองว่ามาร้ายแล้วต้องการอะไร แต่บางทีผมก็อยากพามันไปโรงพยาบาลแล้วผ่าตัดแลกลูกตากันไปเลย อยากรู้มากก็จะเอาให้สติแตกกันไปข้างนึง
“เห็นแก่วันนี้มีเพื่อนบวชนาคนะ..กูถอดพระเล่นเลยก็ได้” ปกติผมจะห้อยพระหลวงปู่ทวดไว้ด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นพระปิดตาหลวงปู่ทิม แต่วันนี้มันเป็นวันของเพื่อนผม ผมจะถือว่าผมมีโอกาสได้เล่นกีฬา Extreme ประเภทหนึ่ง ก็ต้องให้มันสุดๆ ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกว่า..มีอะไรบางอย่างรอผมอยู่ข้างนอกนั่น..มากกว่า 1
“เกมคืออย่างนี้..กูขอเรียกมันเป็นเกมเลยละกัน ง่ายๆ” นาคประกาศขึ้นให้ทุกคนฟัง ก่อนจะชี้มาทางพวกผม กลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมที่มีผมเป็นตัวหลักสำหรับคนมีเซนส์ “พวก 9 คน แบ่งกันเป็น 2 กลุ่มย่อย แต่กลุ่มนึงจะมี 5 คน..”
“งั้นกูไปทั้ง 2 รอบก็ได้” เพื่อนของผมคนหนึ่งเสนอตัวขึ้น ซึ่งทุกคนก็โอเค เพราะเจ้าคนนี้ทั้งกลุ่มยอมรับว่า มันมีความเป็นผู้ใหญ่สุด นั่นทำให้มันสามารถคุมสติตัวเองเพื่อช่วยคนอื่นได้ดีกว่าใคร จากอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่เราประสบมาด้วยกันแล้วมันคนนี้แหละ ที่ช่วยเหลือทุกคนในกลุ่ม ณ ตอนนั้น
“ชัวร์นะ?” นาคถามย้ำอีกที
“ได้แหละ..ไม่มีปัญหาอะไร” มันยืนยัน
“ถ้างั้นก็ไปเอาว.มา 2 ตัว” รุ่นน้องผมที่มาร่วมงานครั้งนี้ด้วยวิ่งไปหยิบ เมื่อว.ทั้ง 2 ตัวมาถึงมือนาคแล้ว นาคก็โยนให้พวกผม 1 ตัว โดยที่นาคถือไว้อีก 1 ตัว “กูจะนั่งเป็นศูนย์ให้ แล้วบอกให้พวกไปตามทางที่กูบอก”

“แล้วจำไว้นะ..ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่าวิ่ง..เดี๋ยวทีมงานจะเข้าไปรับนะครับ”

“ถ้าพร้อมแล้ว เชิญกลุ่มแรกทางด้านประตูหลังเลยครับ..ส่วนธูปที่ให้ไป อย่าเพิ่งจุดจนกว่าจะถึงจุดที่ผมบอกว่าต้องจุดนะครับ”
หลังจากแบ่งกลุ่มเสร็จ นาคก็พูดผ่านว.ทั้งที่อยู่ใกล้กัน เพื่อเป็นการทดสอบสัญญาณ ซึ่งชัดเจนดี โดยที่ผมนี่แหละ..คือคนที่ได้ไปกลุ่มแรก
พวกเราเดินออกมาทางประตูหลัง แล้วเดินมาจนมาหยุดอยู่หน้าบ้านไม้
“กลุ่ม A ครับ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนครับ” เสียงของนาคดังขึ้นผ่านว.ในมือของเพื่อนผมคนที่เป็นผู้ใหญ่สุด
“ถึงบ้านไม้แล้วครับ” เพื่อนผมพูดตอบกลับไป
“อย่างที่เล่าให้ฟังเมื่อตอนกลางวันนะครับ บ้านหลังนี้เคยมีญาติทางแม่ของผมเสียชีวิตอยู่ในบ้าน แต่ทุกวันนี้ใครผ่านไปผ่านมาแถวนี้ บางคนยังเจอผู้หญิงแก่ๆ ใส่ชุดไทยผ้าไหมเดินไปเดินมาบนตัวบ้านอยู่เลย..
ดังนั้น สำหรับด่านแรกนี้ ง่ายๆ ครับ เราจะให้กลุ่ม A มองลอดใต้หว่างขาไปทางตัวบ้านครับ” นาคอธิบายกติกาสำหรับด่านแรก “ขอให้ทุกท่านเตรียมตัวนะครับ ผมจะนับสามแล้วให้พวกคุณมองลอดหว่างขาพร้อมกัน..พร้อมมั้ยครับ?”
ทั้งกลุ่มหันมามองผม ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นสัญญาณว่า “ก็รีบๆ เหอะ”
“พร้อมครับ” เพื่อนผมพูดตอบไป
“เอาล่ะนะครับ.. 1..2..3”
พวกผมทั้ง 5 ก้มลงมองลอดหว่างขาอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ก็พบกับความว่างเปล่า..ไม่มีการปรากฏตัวของหญิงในชุดไทยตามที่หลายๆ คนเคยเจอ
“เห็นอะไรมั้ยครับ?” เสียงนาคถามขึ้นผ่านว. ทั้งกลุ่มหันมามองที่ผมคนเดียวเหมือนเดิม ผมส่ายหน้าเบาๆ เพื่อนผมที่ถือว.พูดตอบไป ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงไม้เสียดสีกันอย่างแผ่วเบาตามน้ำหนักเท้าของใครบางคนที่เหยียบลงบนไม้กระดาน..บนบ้านหลังนั้น โดยเสียงฝ่าเท้านั้นค่อยๆ เบาลง ราวกับใครบางคนนั้นเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
‘เขาแค่มาดูเฉยๆ’
ผมบอกตัวเองตามความรู้สึกที่รับรู้มาได้แบบนั้น..
“ถ้ายังไม่เจออะไร เราขอเชิญที่ด่านต่อไปเลยครับ”
เพียงแค่กลับหลังหันก็พบกับด่านที่สอง..มันคือคลองน้ำดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
“ลองมองลงไปในคลอง เห็นอะไรมั้ยครับ?” เสียงของนาคถามขึ้นจากว.
“ไม่เห็นครับ” เพื่อนของผมตอบทันที
“ทีนี้..ทำแบบเดียวกับด่านเมื่อกี๊ครับ หันหลังให้คลอง แล้วก้มมองลอดหว่างขาครับ เดี๋ยวผมจะนับให้เหมือนเดิม” เมื่อนับเสร็จ พวกผมก็ก้มมองลอดหว่างขาพร้อมกัน และเช่นเคย..ไม่พบอะไร
แต่ในขณะที่พวกผมเงยขึ้นมา ตัวผมเองก็รู้สึกได้ว่า มีใครบางคนกำลังขึ้นมาจากน้ำ
“เห็นอะไรมั้ยครับ?” เสียงนาคจากว.ถามขึ้น แต่รอบนี้ผมกลับตอบว่า “ไม่เห็นแต่รู้สึกครับ”
ทำให้เพื่อนผมที่ถือว.ยื่นว.ให้ผมพูดกับนาคเอง
“ใครบางคนกำลังขึ้นมาจากน้ำ..เขาเป็นใคร?” ณ ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่า ใครบางคนที่ขึ้นมาจากน้ำ..เขาอยากขึ้นมา หรืออยากได้ใครลงไปอยู่ด้วยอีกรึเปล่า?
“เอาไว้เล่นจบครบทุกด่านแล้วผมจะเฉลยให้ฟังทีละด่านเลยดีกว่าครับ” เสียงนาคตอบกลับราวกับเป็นผู้คุมเกมได้อย่างอยู่หมัดทุกอย่าง “ผมขอเชิญที่ด่านต่อไปเลยดีกว่า”

ด่านที่สามนั้นคือต้นโพธิ์หน้าโกดังร้าง
“ด่านนี้ หลักๆ ยังให้ทุกคนก้มมองลอดหว่างขาเหมือนเดิมครับ แต่ก่อนอื่น จุดธูปในมือของทุกคน แล้วไหว้อธิษฐานจากต้นโพธิ์ด้วยครับ ประมาณว่าวันนี้เรามาเล่นเกมลองของ แต่ไม่ได้ลองดี เพียงแค่อยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ได้มีเจตนาอยากลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ”
เมื่อไหว้เสร็จ เพื่อนผมพูดให้สัญญาณกับนาคผ่านว.ว่าอธิษฐานเสร็จแล้ว
“ทีนี้ขอให้ทุกคน เดินรอบต้นโพธิ์ ทวนเข็มนาฬิกาสามรอบครับ..ที่ต้องเดินทวนเข็ม เพราะมันเป็นทิศของคนตายครับ จากการที่เราเห็นได้ตามงานศพที่เขาแห่ศพรอบเมรุทวนเข็มสามรอบ”
เมื่อเดินวนครบสามรอบ ก็มาถึงการมองลอดหว่างขา แต่ยังไม่ทันได้มองลอดหว่างขานั้นเอง..
“เดี๋ยว..” ผมทักขึ้นทำให้ทุกคนหันมามอง แล้วขอว.จากเพื่อนที่ถืออยู่ เมื่อได้รับว.มาถือ ผมก็บอกนาคไปในสิ่งที่ผมรู้สึก..
“นี่ยังไม่ได้มองลอดหว่างขานะ..แต่มีใครบางคนอยู่บนต้นไม้..”
“มีอะไรมากกว่านี้มั้ยครับ” นาคถามกลับมา
“เป็นผู้หญิง..”
“เห็นชัดเลยรึเปล่าครับ?”
“ไม่เห็นนะ..แต่เคยรู้สึกมั้ยว่าเวลามีใครมาอยู่ใกล้ๆ แล้วเราสามารถรู้ได้ว่าคนนั้นเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก หรือคนแก่”
ครับ..ตอนนี้ผมรับรู้ได้แบบเวลามีใครมาอยู่ใกล้ๆ แบบนั้น..ใกล้ขนาดหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว
“งั้นเราไปที่ด่านต่อไปกันเลยดีกว่าครับ”
เยื้องต้นโพธิ์มา สู่ด่านสุดท้าย คือทางสามแพร่ง ซึ่งหลายคนคงรู้กันดีอยู่แล้วเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องทางสามแพร่ง
“ด่านสุดท้ายแล้วนะครับ..ขอต้อนรับสู่ด่านทางสามแพร่ง หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘โค้งร้อยศพ’ นั่นเองครับ”
วิธีเล่นด่านนี้ ตามสูตรเดิมครับ นาคบอกให้พวกเรามองลอดหว่างขา แต่ก่อนที่พวกเราจะมองลอดนั่นล่ะครับ..
“เดี๋ยวก่อนครับ..” จู่ๆ นาคก็ทักขึ้น ในระหว่างนั้น ผมได้ยินเสียงนาคกระซิบอะไรบางอย่างกับเพื่อนที่ผมก็ฟังถ้อยคำได้ไม่ชัดเจน ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกได้ว่า ที่ใต้สะพานข้ามคลองตรงทางสามแพร่งนั้น มีใครบางคนกำลังพากันขึ้นจากคลองแล้วโผมาทางพวกผม..ใช่ครับ ‘พากันมา’ แปลว่ามันไม่ได้มาแค่ตนเดียว แต่น่าจะเกือบสิบด้วยซ้ำ
“ยกเลิกภารกิจครับ! ขอให้ทุกคนกลับมาที่นี่อย่างด่วนครับ แต่ไม่ต้องด่วนจนวิ่งนะครับ ตั้งสติดีๆ แล้วเกาะกลุ่มเดินกันมา” แต่ในระหว่างที่เดินกลับนั่นล่ะครับ ผมรู้สึกตัวอีกทีคือเพื่อนอีก 4 คนที่เหลือมาหิ้วปีกผมกลับไปที่บ้านนาค..

แล้วพวกเราก็กลับมาถึงบ้านนาคอย่างปลอดภัย..

“โอเค..เฉลยมาเลย” ผมบอกให้นาคเล่าถึงประวัติของแต่ละด่าน ยกเว้นบ้านไม้ที่รู้กันตั้งแต่ตอนมาถึงแล้ว
“เดี๋ยวก่อน..กูถามก่อน ด่านสุดท้ายเจออะไรมั้ย?” นาคถามขึ้น ซึ่ง ณ ตอนนั้น มีเพื่อนจากมหา’ลัยคนนหนึ่งของนาคมานั่งฟังด้วย
“ตรงทางสามแพร่ง มันไม่ได้มาตนเดียว แต่กูพูดได้เลย..ว่ามันยกพวกกันขึ้นมา” ผมสังเกตเห็นนาคกับเพื่อนคนนั้นมองหน้ากันประมาณว่า ‘กูว่าแล้ว’ ซึ่งในเวลาต่อมา ทำให้ผมได้รู้ว่า เพื่อนจากมหา’ลัยของนาคคนที่มานั่งฟังด้วยคนนี้ คือคนที่มี ‘ญาณอาถรรพ์’ ญาณที่นอกจากการมองเห็นแบบตาทิพย์ การรับรู้ตำแหน่งที่ตั้ง(โดยไม่จำเป็นต้องมอง)แบบญาณสัมผัส การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัสทางผิวหนังแล้ว ญาณอาถรรพ์ยังเป็นเหมือนเครื่องดื่มชูกำลังให้กับพวกวิญญาณให้มีกำลังมากพอที่จะเดินทางมาที่โลกของเราได้ง่ายขึ้น

โดยปกติแล้ว การที่วิญญาณดวงหนึ่งสามารถเดินทางมาที่โลกมนุษย์ได้ จำเป็นต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า “บุญ” อย่างมาก ซึ่งจะทำให้วิญญาณแต่ละดวงข้ามมา(แบบมาดี) ไม่สามารถอยู่ หรือสื่อสารกับมนุษย์ที่มีญาณได้นานพอ ยกเว้นวิญญาณประเภทพระภูมิเจ้าที่ที่มีของทำบุญถวายถึงที่ตลอดเวลา แต่ ‘ญาณอาถรรพ์’ ทำให้การเดินทางข้ามภพเป็นเรื่องง่ายขึ้น รวมไปถึงการเปิดรับให้วิญญาณแต่ละดวงในแต่ละพื้นที่ที่มีวิญญาณอยู่นั้น เข้ามาใช้ร่างกายมนุษย์ของคนที่มีญาณอาถรรพ์ในการสื่อสารกับมนุษย์ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “การรับวิญญาณมาเข้าทรง” ซึ่งการเข้าทรงนั้น นอกจากผู้ที่มีญาณอาถรรพ์ ยังมีผู้ที่มีญาณที่เรียกว่า ‘ฌานญาณ’

“จริงๆ กูก็ลืมไปว่างานนี้มีมันมาด้วย มันยิ่งเป็นตัวเรียกผีอยู่ กูไม่น่าให้พวกเล่นเลย” นาคพูดถึงเพื่อนจากมหา’ลัยคนนั้น
“ไม่เป็นไร พวกกูรอดมาก็ไม่เป็นไรละ” ผมตอบไปด้วยความรู้สึกผิดเองในส่วนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็นึกอย่างลองของอะไรแบบนี้ “ทีนี้เล่าประวัติ 3 ด่านที่เหลือมาได้ละ”

พวกผมนั่งล้อมตัวนาคไว้ราวกับลูกศิษย์พระกำลังฟังเทศน์จากหลวงพ่อ..ซึ่งเรื่องที่นาคจะพูดต่อไปนี้กลับไม่ใช่การเทศน์ แต่เป็นการเล่าเรื่องผี
“เริ่มจากด่านคลองน้ำดำก่อนเลย..คลองนั้นน่ะ เมื่อก่อนมันเป็นคลองที่พวกทำแท้ง หรือพวกวัยรุ่นท้องวัยเรียนมันคลอดแล้วเอาเด็กมาทิ้งคลอง หลายสิบศพอยู่ หรือบางทีมีฆ่าหั่นศพก็เอามาถ่วงน้ำในคลองนี้แหละ” นาคอธิบายให้ฟังก่อนจะเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปลายปีที่แล้วที่พวกเพื่อนๆ ของผมไปเที่ยวภูทับเบิกแต่ผมไม่ได้ไปด้วย “ปลายปีที่แล้วที่พวกกูมากัน น้องกูก็เจอยิ้มขึ้นมาจากน้ำมากวักมือเรียกให้ไปอยู่ด้วย”

แล้วนาคก็เริ่มอธิบายประวัติของด่านต่อไป..
“ด่านต่อมา..ต้นโพธิ์ ปกติต้นโพธิ์ยิ้มเป็นต้นไม้ที่ใครก็บูชา ใครก็นับถือ แต่ต้นนี้ ใครก็พากันกลัว เพราะสิบกว่าปีก่อนอ่ะ ตรงโกดังร้างนั่นเมื่อก่อนมันเคยเป็นโรงสี แล้วมีรถบรรทุกเอาต้นข้าวมาส่ง แต่ไอ้ตอนที่รถบรรทุกถอยหลังเข้าอ่ะ รถบรรทุกมันมองไม่เห็นลูกสาวเจ้าของโรงสีที่ไปยืนข้างหลัง ลูกสาวเจ้าของโรงสีเลยโดนรถบรรทุกชนอัดกับต้นโพธิ์
ที่เจอน่ะยังเบาๆ บางคนนี่ขี่รถขับรถผ่านต้นโพธิ์ผ่านทางสามแพร่งนั้นเคยมีเห็นผู้หญิงตัวเละๆ มายืนกวักมือเรียก บางรายนี่ถึงขนาดโดนวิ่งเข้าใส่ พวกมอไซค์นี่โดนวิ่งไล่ประจำ”

แล้วก็มาถึงประวัติของด่านสุดท้าย..
“ด่านสุดท้าย สะพานทางสามแพร่ง พวกก็รู้ว่าทางสามแพร่งเขาชอบเรียกกันว่าโค้งร้อยศพ ก็ตามนั้นแหละ รถเล็กรถใหญ่ผ่านไปผ่านมา ใครดวงตกก็แหกโค้งลงคลองตายกันไปไม่รู้เท่าไหร่ เค้าว่ากันว่าเป็นพวกแบบ หาตัวตายตัวแทนอะไรงี้ กูเนี่ยเห็นมาแล้ว ขี่มอไซค์มาจากอีกทางนึงจะมาเข้าทางหน้าบ้าน ยิ้มขึ้นจากสะพานมาทำท่าจะวิ่งไล่ กูนี่เร่งเครื่องเลยจ้า ถ้ามันจับกูได้ก็เรียบร้อย”

หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไปช่วยผู้ใหญ่จัดข้าวจัดของเตรียมไปงานอุปสมบทในเช้ามืดวันถัดมา โดยในงานอุปสมบท พวกผมก็ไม่ลืมที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลพร้อมขอขมาในส่วนที่พวกผมเล่นอะไรแผลงๆ ไปในคืนที่ผ่านมาด้วยครับ

https://www.facebook.com/100057279166623/posts/473941497858485/?app=fbl
https://youtube.com/channel/UCXzuPITJdiasIFVOSN4YxBQ


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
ปู่โสม เฝ้าสวน
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ