สำหรับชื่อเรื่องนั้นเขียนว่า I’m renting a jungle bungalow in Thailand right now and I don’t know if I’ll make it another night. หรือที่แปลเป็นไทยได้ประมาณ “ตอนนี้ผมเช่าบังกะโลอยู่ที่ประเทศไทย และผมก็ไม่รู้เลยว่าจะได้อยู่รอดถึงคืนต่อไปหรือไม่”
โอเค นี่คือเรื่องราวที่ผมพยายามแปลออกมาให้อ่านง่ายที่สุดนะครับ
—
ผมได้ไปเช่าบังกะโลส่วนตัวหลังเล็กๆ บนเกาะที่เขาเรียกกันว่า “เกาะพะงัน” อยู่บริเวณอ่าวไทย บังกะโลหลังนี้ตั้งอยู่กลางป่า ค่อนข้างโดดเดี่ยวและเป็นส่วนตัว แต่ยากที่จะเข้าไปถึงได้(คือต้องนั่งมอไซค์ผ่านทางแคบๆ ก่อนจึงจะไปถึง) ในบังกะโลก็มีแต่ของที่จำเป็นเท่านั้น เช่น โต๊ะ เตียง แล้วก็ตัวส่งสัญญาน WiFi ซึงก็เพียงพอแล้วที่จะทำอะไรง่ายๆ อย่างเข้า Reddit แต่ก็ยังไม่สามารถดูวีดีโอหรืออะไรได้มากนัก
ผมได้ท่องเที่ยวแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาประมาณสองสามเดือนแล้ว ใช้เวลาส่วนมากไปกับการปาร์ตึ้ในตัวเมืองใหญ่ๆ และผมคิดว่าตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพักผ่อน ในสถานที่ที่เชื่อมติดกับธรรมชาติอันงดงาม ได้ชำระล้างตัวเองจากพิษของแอลกอฮอล์ และค้นหาจิตวิญญาณของผมในความสงบของบังกะโลแห่งนี้
เพียงแต่มีบางสิ่งที่เลวร้ายมากๆ กำลังเกิดขึ้น ทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นและขวัญผวาทุกคืน และตอนนี้ผมกลัวเหลือเกินว่ามันจะพรากชีวิตไปจากผม
มันเริ่มจากสิ่งที่เล็กๆ ก่อน ปรากฏเป็นแสงสีเหลืองขุ่นๆในความมืด ที่มองดูแล้วเหมือนส่องสว่างมาจากข้างนอก
ในคืนแรกผมไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ มีบังกะโลอีกสองสามแห่งในบริเวณนั้นที่ผู้คนน่าจะได้มาจับจองไว้ ผมก็เลยคิดว่ามันเป็นเพียงแสงที่ไฟส่องมาจากระเบียงของพวกเขา
ในคืนที่สองผมเห็นมันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันมีขนาดใหญ่ขึ้น จากดวงไฟที่มีขนาดเท่าลูกเบสบอล ตอนนี้มันได้ขยายใหญ่จนเกือบเท่าลูกบาสเก็ตบอล
ในคืนที่สามผมมั่นใจได้เลยว่ามันไม่ใช่แสงไฟจากบังกะโลอื่นอย่างแน่นอน ผมได้เช็คมาก่อนในตอนบ่ายนั้นว่าไม่มีใครเลยที่เช่าบังกะโลอยู่แถบนี้นอกจากผม
ตอนนี้มันเป็นค่ำคืนสงกรานต์(ปีใหม่ไทย) และนักท่องเที่ยวส่วนมากจะอยู่ในเมืองใหญ่ๆ อย่างกรุงเทพฯหรือเชียงใหม่เพื่อเตรียมตัวสำหรับงานเฉลิมฉลองที่จะมีขึ้นในสามวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เกาะแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะมีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่พวกเขามักจะอยู่แถวหาดริ้นหรือแถวบ้านท้องศาลาที่อยู่อีกฟากฝั่งของเกาะ ใกล้กับตลาดแถวบ้านโฉลกหลำ ซึ่งเป็นหมู่บ้านประมงเล็กๆ
พวกเขาเหล่านั้นไม่น่าจะต้องมาลำบากในกระท่อมกลางป่าบนตีนเขา ที่กว่าจะเข้าได้ก็ต้องนั่งมอไซค์มาตามทางแคบๆ เกือบ 20 นาทีแบบผม
มันดูเหมือนผมอยู่ตัวคนเดียวแล้วตอนนี้
คืนสุดท้ายเป็นคืนที่สี่ แสงนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง และผมก็ตั้งใจที่จะหาที่มาของมันให้ได้
ซึ่งก่อนที่ผมจะเล่าต่อ ผมขออนุญาตอธิบายเกี่ยวกับเสียงที่ผมได้ยินในตอนกลางคืนก่อน
มันมีทั้งหมดสองเสียงหลักๆ ด้วยกัน
เสียงแรกเป็นเสียงของจั๊กจั่น พวกมันโดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้มีเสียงที่เรียกได้ว่าดังที่สุดในโลก และตอนกลางคืนมันฟังดูเหมือนเป็นเสียงเดียวที่ผมได้ยิน ค่อนข้างหนวกหูเลยทีเดียว ในกรุงเทพฯ แม้ว่าการจราจรจะหนาแน่น แต่ตอนกลางคืนดูเหมือนที่นั่นจะ “เงียบ” กว่าในป่าของที่นี่มากนัก
เสียงของพวกมันจะฟังดูทุ้มๆ ในตอนแรก จากนั้นจึงค่อยๆ ใต่ระดับสูงและแหลมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่ามันเหมือนเสียงของเครื่องจักร เหมือนเลื่อยไฟฟ้าที่กำลังตัดผ่านท่อนเหล็ก เพียงแค่มันฟังดูเหมือนมีพวกมันนับโหลอยู่รอบๆ ตัวผม ดังก้องกังวานท่ามกลางความมืดมิด
ผมลองอัดเสียงดูแล้วแต่มันฟังดูแปลกๆ ไม่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณอยากรู้ว่าเสียงของมันเป็นยังไง ลองฟังนี่ดูครับ: https://youtu.be/yfNxYvp7ot0
อีกเสียงนึงมันเป็นเสียงของตุ๊กแก ตุ๊กแกบริเวณนี้ตัวใหญ่ ผิวขรุขระ และมีสีสันฉูดฉาด พวกมันอาจดุร้ายได้ถ้ามีใครไปยุ่งกับมัน แต่ส่วนมากมันจะหลบอยู่เงียบๆ ในมุมมืด คอยกินแมลงต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา
แต่ไอ้เจ้าตัวนี้ในบังกะโลผมมีเสียงที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ มันจะเริ่มจากเสียงในลำคอของมันที่ปล่อยออกมาเบาๆ เป็นชุดๆ ก่อนสักสองสามชุด จากนั้นจึงส่งเสียง “ตุ๊ก-แก” อันเป็นที่มาของชื่อมัน
มันอธิบายยากน่ะครับ แต่คุณจะได้ยินเสียงของมันค่อนข้างชัดเจนในคลิปนี้: https://youtu.be/V66nsqL88SE?t=5
นอกจากสองเสียงนี้ ก็ไม่มีเสียงอื่นใดเลยที่ผมได้ยิน ไม่มีพวกแมวป่าอยู่แถวนี้ แล้วพวกลิงแสมก็ดูเหมือนจะไปรวมกลุ่มกันอยู่ใกล้ชายหาดกันหมด
ตอนกลางคืนผมก็ได้ยินแค่นี้แหละครับ เสียงอันแสนแสบแก้วหูของจั๊กจั่นข้างนอกผสมกับเสียงร้องของตุ๊กแกในห้องผมที่ดังมาเป็นระยะๆ
ดังนั้นคุณน่าจะเข้าใจอารมณ์ความหวาดกลัวของผมเมื่อคืน(คืนที่สี่ที่แสงนั่นปรากฏให้ผมเห็น) เมื่ออยู่ดีๆ ผมก็ได้ยินเสียงพึมพำต่ำๆ คล้ายเสียงสวดมนต์หรืออะไรสักอย่าง
มันดังมากจนกลบเสียงของจั๊กจั่นเหล่านั้น เหมือนดังก้องอยู่ข้างนอก รอบๆผมเลย
ผมเริ่มไม่มันใจว่ามันเป็นภาษาที่มีอยู่ในโลก แต่ผมมั่นใจได้เลยว่าผมได้ยินมันพูดเป็นคำๆ โทนเสียงเดียวกันตลอด ทุ้มและนุ่มลึก
แล้วผมก็เห็นแสงนั่น
แม้ว่าผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะวิ่งออกไปดูมัน จะได้รู้สักทีว่ามันคืออะไรกันแน่
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ร่างกายผมกลับขยับไม่ได้
เหมือนโดนแช่แข็งทั้งเป็น ทั้งๆที่ยังมีสติอยู่ครบถ้วน
ผมรู้สึกราวกับอยู่ในภวังค์ เสียงนั่นเริ่มแทรกเข้ามาในหัวผม สั่นสะเทือนเนื้อเยื่อและอวัยวะทุกส่วนในร่างกายผม เหมือนกับตอนที่เปิดเครื่องเสียงในรถยนต์ให้เสียงเบสนั้นดังสนั่นที่สุด ดังจนรถทั้งคันเริ่มสั่นไหว ไล่ขึ้นมาจากเท้าจนถึงฟัน
ตอนนั้นผมยืนอยู่ แข็งทื่อเหมือนไม้กระดาน เป็นอัมพาตโดยสิ้นเชิงขณะสั่นไปกับเสียง แสงนั่นมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อสามคืนที่แล้ว
ดวงไฟดังกล่าวมันมีขนาดเทียบเท่าล้อรถแทรกเตอร์เห็นจะได้
แต่ไม่ว่ามันจะส่องสว่างขนาดไหน ทุกอย่างรอบๆ มันดูเหมือนไม่โดนแสงนั่นเลย ต้นไม้ พื้นดิน ไม่มีสิ่งใดเลยที่สะท้อนแสงนั่นเข้าตาผม
ทันใดนั้นราวกับประตูมิติได้ถูกเปิดออก ผมเห็นสิ่งที่ดูเหมือนรูขนาดใหญ่ค่อยๆ เปิดกว้างออกตรงหน้าผม จากภายในรูนั้นมีแสงสีส้มส่องออกมา คล้ายแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องลงบนทะเลทราย
และนั่นคือตอนที่ผมเจอมัน
ของเหลวหนืดคล้ายสไลม์ มันไหลออกมาช้าๆ พร้อมกับบิดวนไปมา ไม่มีรูปทรงที่แน่นอนในตอนแรก มันเป็นเหมือนโลหะหลอมเหลวที่ถูกดันออกมาจากรูเล็กๆ นับล้านรู แต่เจ้าสิ่งนี้มันมีสีดำ ดำสนิทและมันวาว
จากนั้นมันก็กระตุกเบาๆ ของเหลวสีดำเริ่มหนืดขึ้นเรื่อยๆ มันกำลังก่อกำเนิดเป็นรูปเป็นร่าง
สิ่งเดียวที่ผมใช้อธิบายมันได้ก็คือมันดูเหมือนโครงร่างของแมลงขนาดใหญ่ เพียงแต่ประกอบขึ้นจากรูปทรงเรขาขณิตเล็กๆ นับพัน
ไอ้สิ่งนี้มันค่อยๆ คืบคลานออกมาจากรู แล้วก็ “หลุด” หล่นลงบนพื้น เหมือนตอนที่ลูกช้างหลุดออกมาจากช่องคลอดแม่
ผมจ้องดูมันด้วยความหวาดกลัวขณะที่มันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีนออกนอกหน้าต่างแล้ววิ่งหายเข้าไปในความมืด
ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนกับเวลาเดินเข้าป่าแล้วไปชนเข้ากับใยแมงมุม มันคือความตื่นตระหนกอย่างสุดขีด
มันคือความคิดที่ผุดขึ้นในใจอย่างฉับพลันว่า “มันอยู่บนตัวผมหรือไม่?” ทุกๆ เส้นใยที่ผมสัมผัสได้อาจจะมี “มัน” เกาะอยู่ เจ้าแมงมุมพิษสุดอันตราย
ด้วยสัญชาติญาณ ผมอยากรีบใช้มือปัดทุกส่วนของร่างกาย กระทืบเท้าแรงๆ ทำทุกอย่างเพื่อให้ “มัน” ออกไปจากตัวผม แต่ก็ยังขยับอะไรไม่ได้เลย
ณ ห้วงเวลาขณะจ้องมองไอ้แมลงยักษ์นั่นปีนออกหน้าต่าง มันดูเหมือนลงไปอยู่ด้านล่างบังกะโลผม ตัวมันใหญ่เกือบเท่าสุนัขพันธุ์เกรตเดน ความรู้สึกผมได้พุ่งพล่านจนถึงจุดที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
ทันใดนั้นเอง แสงนั่นก็หายไป เสียงสวดมนต์ปริศนาก็เงียบไปเช่นกัน
แต่มันไม่ได้ค่อยๆ จางหายไป มันเหมือนมีใครบางคนกด “สวิตช์” เพื่อปิดทุกสิ่งทุกอย่าง
มันเคยอยู่ตรงนั้น และภายในเสี้ยววินาที มันก็ไม่อยู่แล้ว
แล้วอาการอัมพาตของผมก็บรรเทาลงฉับพลัน มันทำให้ผมถอนหายใจอย่างแรง ราวกับโดนชกเข้าที่ท้องยังไงยังงั้น
เป็นเวลาสั้นๆที่ผมเกิดความสงสัยว่าที่ผ่านมานี้ผมได้หายใจหรือไม่ แต่แล้วความคิดผมรีบเปลี่ยนไปสนใจเจ้าสัตว์ลึกลับตัวนั้น
ผมวิ่งออกไปข้างนอก
ผมหามันไม่เจอ มันอยู่ที่ไหนกัน?
ผมรีบวิ่งกลับเข้ามาข้างใน
ผมปิดประตู ล็อคกลอนอย่างแน่นหนา
ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าตัวผมนั้นช่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
ผนังห้องบางๆ มุ้งสำหรับกันยุง รอยแตกร้าวมากมายบนพื้น แค่เด็กอายุ 13 ก็พังเข้ามาได้แล้วโดยใช้เท้าถีบย้ำๆ สักสองสามที
ผมเข้าไปนั่งในมุ้ง คอยฟังเสียงต่างๆ รอที่จะได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงข่วนผนัง หรือสัญญาณอะไรก็ได้ที่บอกว่าสัตว์ตัวนี้มันกำลังมาหาผม
แต่ผมกลับไม่พบอะไรเลย
ตอนที่ผมเขียนเรื่องนี้มันเป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ผมไม่ได้หลับเลยสักงีบตั้งแต่เมื่อคืน
ผมไม่รู้เลยว่าคืนนี้แสงนั่นมันจะกลับมาอีกหรือเปล่า แต่ถ้ามันมา ปกติจะเป็นช่วงประมาณตีหนึ่ง
อันที่จริงเช้านี้ผมสังเกตเห็นบางอย่าง
เหมือนบ้านหรือสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ในประเทศไทย บังกะโลแห่งนี้มี “ศาลพระภูมิ” อยู่ตรงด้านหน้า
มันเชื่อกันว่าเป็นที่พักของเหล่าวิญญาณดี พวกที่คอยปกปักรักษาสถานที่บริเวณนี้
ผมไม่ค่อยสนใจมันสักเท่าไหร่ ผมแค่ชอบการออกแบบที่งดงามของมัน พวกมันแฝงด้วยความอ่อนช้อยอยู่เสมอ บ้างก็ใหญ่ บ้างก็เล็ก แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดเพียงว่ามันเป็นความแปลกหูแปลกตาของวัฒนธรรมแถวนี้
แต่คนไทยดูเหมือนจะจริงจังกับมันมาก ทุกๆวัน พวกเขาจะเดินออกมาพร้อมกับธูปในมือ ให้ข้าวของเครื่องเซ่นอย่างเช่นน้ำหวาน หรือแม้กระทั่งข้าวหนึ่งชาม
ผมเคยคิดว่ามันช่างไร้สาระ เปลืองอาหารเปล่าๆ
อย่างไรก็ตาม ด้วยเรื่องทั้งหมดที่เกิดกับผม และการที่ผมเห็นศาลพระภูมหลังนี้ไม่มีเครื่องเซ่นไหว้ใดๆอยู่เลย ผมจึงตักข้าวใส่ชามไปวางไว้พร้อมกับผลไม้เล็กๆ น้อยๆ
บางที่นี่อาจเป็นสิ่งที่งี่เง่า ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะช่วยอะไรผมได้บ้าง แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
ตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าทำไมผมไม่รีบออกไปจากที่นี่
มันง่ายมาก
ก็อย่างที่ผมบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงสงกรานต์ วันนี้เป็นวันแรก แล้วมันก็เหลืออีกสองวัน มันเป็นที่รู้กันว่าเป็นเทศกาลสาดน้ำที่ใหญ่ที่สุด
ด้วยเหตุผลนี้จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายบนเกาะ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนถูกจองเอาไว้จนเต็มหมดแล้ว
และห้องที่ยังไม่มีใครจองก็ยังแพงเกินไปสำหรับผม ราคามันถูกทำให้สูงขึ้นในช่วงเทศกาลแบบนี้ คือเอาเข้าจริงๆ แล้วเนี่ย เกาะแห่งนี้อยู่ได้เพราะนักท่องเที่ยวเหล่านั้นล้วนๆ
ถือว่าผมโชคดีแล้วที่เจอบังกะโลนี้ อันที่อยู่ห่างไกลจากแหล่งปาร์ตี้มั่วสุมบนเกาะ อยู่ใจกลางของป่าทึบบริเวณอ่าวไทย
เอาง่ายๆ คือผมอยู่ในที่ที่มีคนต้องการอยู่น้อยที่สุด ที่ที่แทบไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรให้ทำ แม้จะเข้าจะออกก็ยังยากลำบาก
และไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีฟูลมูนปาร์ตี้ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนในวันที่ 19 เกาะแห่งนี้จึงเริ่มคราคร่ำไปด้วยความคาดหวังของบรรดานักท่องเที่ยว
ทุกๆ เดือน มีคนนับแสนจากทั่วทุกมุมโลกมาที่นี่สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ รวมไปถึงปาร์ตี้ที่จะมีขึ้นสองสามวันก่อนและหลังฟูลมูนปาร์ตี้อันโด่งดัง
ผมแค่หาที่พักอื่นไม่ได้ ก็เท่านั้นเอง
และอันที่จริงแล้วมันก็ดูเหมือนจะเต็มอย่างนี้ไปจนถึงวันที่ 23 โน่น
เพื่อที่จะหาที่พักแหล่งใหม่ผมจำเป็นต้องขึ้นสปีดโบ๊ทออกจากเกาะนี้แล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะสมุยหรือเกาะเต่า หรือผมอาจกลับไปที่สุราษฎร์ธานี ที่ที่ผมสามารถขึ้นเครื่องบินหรือไม่ก็รถประจำทางกลับกรุงเทพฯ เพียงแต่วันนี้พวกสปีดโบ๊ทเหล่านั้นยังไม่เปิดให้ใช้บริการ
ผมติดอยู่ที่นี่
ผมติดอยู่บนเกาะนี้ และผมไปไหนไม่ได้เลย
ทางเลือกเดียวของผมก็คือนอนข้างถนนแถวๆ ตลาดไปก่อน(ผมอาจได้ทำจริงๆ ถ้าจำเป็น)
แต่สำหรับคืนนี้ ผมจะขอลองเสี่ยงอยู่ที่บังกะโลนี้ดูสักคืน
ผมไม่รู้ว่าแสงนั้นมันจะกลับมาอีกหรือไม่หลังจากผมให้ของเซ่นไหว้ไปแล้ว หรือไอ้ตัวนั้นมันจะยังอยากกลับมาหาผมอีกรึเปล่า
สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้มีเพียงแค่รอ และฟัง
ผมจะพยายามอัพเดตพรุ่งนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น หรือถ้าใครอยากรู้นะครับ
—
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับ part 1 จริงๆตอนต่อไปพีคกว่านี้มาก เดี๋ยวผมแปลมาลงให้นะครับ คิดว่าชาวต่างชาติท่านนี้กำลังเจอกับอะไรอยู่? ใครที่อยู่เกาะพะงันอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรบ้าง? เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? ลองคอมเมนต์กันดูครับ
อ้อ พอดีลืมไปครับ สำหรับโพสต์ที่ชาวต่างชาติท่านนี้ได้เขียนลง มีคอมเมนต์ต่างๆ มากมายที่น่าสนใจ ผมจะขอหยิบยกมาให้อ่านพอสังเขปนะครับ ขออภัยล่วงหน้านะครับถ้าแปลผิดพลาด
อันแรกเป็นของสมาชิกที่มีชื่อว่า krishf12 ได้เขียนไว้ว่า “ผมเป็นลูกครึ่งไทยครับ สิ่งที่คุณทำกับศาลพระภูมินั้นถูกต้องแล้วครับ มันจะยิ่งดีกว่านี้หากท่องบทสวดมนต์พื้นฐานของไทยก่อนเข้านอน เหมือนกับการสวดภาวนาให้พระเจ้าในศาสนาคริสต์แหละครับ นอกจากนั้นแล้วถ้ามีพระเครื่องไว้คล้องคอจะดีมากเช่นกันครับ ลองไปหาดูครับถ้าคุณสามารถสวมมันได้”
อีกคอมเมนต์เป็นของ h0ldkaylad0wn เขียนว่า “ดิฉันเป็นคนไทยค่ะและอย่างแรกเลยเนี่ย การให้ของเซ่นไหว้เจ้าที่เป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ การเคารพสิ่งต่างๆรอบๆ ตัวเราเป็นสิ่งที่เราค่อนข้างจะจริงจัง สวดมนต์ก่อนนอน(ขอวิงวอนและขอบคุณเหล่าเทพยดาที่ช่วยปกปักรักษาคุณให้ปลอดภัยตลอดการเดินทาง) และลองพยายามหาอะไรทำเพื่อให้มีสติอยู่ลอดเวลา การเข้านอนแต่หัวค่ำก็ช่วยได้นะคะ พยายามข่มตานอนให้หลับไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตาม ไม่มีชาวบ้านอยู่ละแวกนั้นเลยเหรอคะ? ขอให้โชคดีค่ะ”
คอมเมนต์ต่อไปเป็นของ Yeokk123 เขียนว่า “ผมแนะนำให้คุณลองบทสวดอันนี้ดู มันอาจช่วยปกป้องคุณในตอนกลางคืนได้ครับ เริ่มจากท่องพระคาถาชินบัญชรเก้าครั้งแล้วตามด้วยบทสวดพระปริตรเป็นจำนวนครั้งเท่ากับอายุของคุณบวกหนึ่ง จากนั้นก็ท่องคาถามงคลสามจบ แล้วสุดท้ายคือบทของท้าวเวสสุวรรณครับ ผมรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ยังเด็กแล้วครับ แล้วผมก็เคยลองดีกับเรื่องพวกนี้มาเหมือนกัน เชื่อเถอะครับว่าเรื่องพวกนี้มันจะเล่นงานคุณเมื่อคุณกลัว ดังนั้นจงอย่ากลัว แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อมันมากแค่ไหน ขอให้เจอแต่เรื่องดีๆ ครับ”
คอมเมนต์สุดท้ายที่ผมจะหยิบยกมาเป็นของ becauseimsandy เขียนว่า “ดิฉันเป็นคนลาวค่ะ นั่นถือเป็นสิ่งที่ดีแล้วที่คุณทำกับศาลพระภูมิ แต่คุณจำเป็นต้องสวดมนต์ด้วยค่ะ สวดมนต์เมื่อใดก็ได้ที่คุณรู้สึกสบายใจ คุณพร้อมที่จะรับศีลรับพรหรือเปล่าคะ? มีพระเครื่องหรือของขลังอื่นๆ บ้างหรือเปล่าคะ? ถ้ามีวัดอยู่บริเวณแถบนั้นล่ะก็ ดิฉันแนะนำให้คุณไปรับพรจากพระสงฆ์องค์เจ้าค่ะ แต่ระวังนะคะ บางวัดผีก็ดุอยู่เหมือนกันค่ะ”
เหล่านี้ที่ผมยกมาเป็นเพียงไม่กี่คอมเมนต์จากทั้งหมด 220 คอมเมนต์ ตัวผมเองนั้นก็ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรพวกนี้ แต่เห็นได้ชัดเลยว่ามีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยได้เห็นโพสต์นี้แล้วรู้สึกสนใจขึ้นมา ส่งผลให้โพสต์นี้มียอด upvote (เหมือนกดถูกใจ) กว่า 4600 upvote ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับโพสต์อื่นๆ ในหมวดนี้ ราวกับประเทศไทยอยู่ดีๆ ก็ได้รับความสนใจขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน
ผมไม่ขอตัดสินละกันครับว่าชาวต่างชาติท่านนี้ได้ไปเจออะไรมา สำหรับตอนต่อไปกำลังอยู่ในขั้นตอนการแปลอยู่ครับ รับประกันได้ว่าหลอนไม่แพ้ตอนแรกแน่นอนครับ
ก่อนที่ผมจะ(พยายาม)เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมขอขอบคุณคุณ krishf12, h0ldkaylad0wn, Yeokk123, และคุณ becauseimsandy มากครับสำหรับคำแนะนำ (ขออภัยที่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อของบางท่านนะครับ)
อันที่จริงทั้งวันผมก็เอาแต่วิ่งวุ่นไปทั่วเกาะเพื่อหาคนที่พอจะช่วยผมได้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ อีกสักพักนึง
ก่อนอื่นของอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนครับ
ผมได้เขียนพาร์ทแรกตอนหนึ่งทุ่มครึ่งของเมื่อคืน แล้วตอนนั้นมันก็ค่อนข้างจะมืดแล้วด้วย
และอย่างที่บอกผมพยายามจะไม่หลับเพื่อที่จะได้คอยเฝ้าดูและรับฟังสิ่งต่างๆ อย่างไรก็ตาม การอดนอนก็เล่นผมเข้าจนได้ ผมไม่รู้ว่าผมได้ผล็อยหลับไปตอนไหน คิดว่าน่าจะประมาณ 20 หรือไม่ก็ 30 นาทีหลังการโพสต์ครั้งแรก
แต่ผมจำได้แม่นเลยว่าผมตื่นขึ้นตอนตีสองกับอีกสี่สิบเจ็ดนาที คือผมหันไปดูนาฬิกาทันที่ที่รู้สึกตัวว่าสะดุ้งตื่นน่ะครับ
มันไม่ใช่การค่อยๆตื่นอย่างช้าๆเหมือนตอนปวดฉี่หรือหิวน้ำ
แต่นี่คือการรู้สึกตัวและได้สติกลับมาแบบแทบจะทันที ผมตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้สึกง่วงใดๆเลย
และแทนที่ผมจะรู้สึกแบบที่ควรจะเป็น มันกลับรู้สึกเปี่ยมล้นไปด้วยความกลัว ความกลัวเพียวๆที่ทำให้รู้สึกอ่อนแอแบบไม่เคยเป็นมาก่อน
สึ่งแรกที่ผมพบคือเสียงพวกนั้นมันฟังดูอู้อี้ เหมือนใครบางคนอัดเสียงในป่าที่ผมเคยได้ยินตามปกติแล้วเอาไปเปิดอยู่ใต้หมอน ผมยังได้ยินมันเหมือนเดิม เพียงแต่มันเบาลงมาก
อีกสิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือตุ๊กแกตัวนั้นในห้องผม มันเกาะนิ่งๆอยู่ตรงด้านบนของประตู
ที่นี้ ผมเข้าใจว่าปกติแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตุ๊กแกอยู่ในบ้านคนถือเป็นเรื่องธรรมดา
แม้แต่ในเมืองใหญ่ๆ เรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกันมาแล้วทั้งนั้น
และไม่ใช่แค่นั้น พวกตุ๊กแกตัวเล็กๆขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือก็ชอบเข้าไปอยู่ในบ้านคนเช่นกัน ผมรู้ว่าพวกมันจะคอยจับกินแมงมุมหรือแมลงต่างๆที่คอยรบกวนผม
แต่มันมีบางอย่างที่ผิดปกติในสถานการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่
ไอ้ตุ๊กแกตัวนี้มันไม่ได้มีลวดลายสีสันฉูดฉาดแบบที่ผมเคยเห็นมาก่อน คือมันไม่มีพวกจุดสีส้มและขาวเหมือนตัวอื่นๆ
มันมีสีดำแทบทั้งตัว ผิวหนังเป็นตะปุ่มตะป่ำแต่ก็ดูมันวาวแบบแปลกๆ
คือผิวมันแทบจะเหมือนผิวของไอ้ตัวอะไรก็ตามที่ “หลุด” ออกมาจากรูนั้นในคืนก่อนหน้า ไอ้ตัวที่เหมือนแมลงยักษ์นั่นแหละครับ แต่มันก็ไม่ได้ดำสนิทขนาดนั้น ในความมันวาวของมันยังมีบางส่วนที่สะท้อนสีเขียวออกมา เขียวแบบเรืองแสงได้เหมือนไฟนีออนตามผับต่างๆ
แล้วมันก็ตัวใหญ่กว่าตอนที่ผมเจอครั้งแรกมาก สิ่งที่บรรยายลักษณะมันได้ดีที่สุดคือคุณลองนึกถึงขนาดของเด็กทารกแรกเกิดดูสิครับ นั่นแหละความยาวของตัวมัน
มันเกาะอยู่โดยที่ครึ่งตัวอยู่บนประตู ส่วนอีกครึ่งอยู่บนผนังข้างบน คือถ้าผมพยายามเปิดประตูตอนนี้ ผมก็ต้องโดนตัวมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ และมันก็แค่เกาะอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับไปไหนเลย
ณ จุดนี้มันเหมือนมีพลังงานน่ากลัวบางอย่างแผ่ออกจากตัวมัน ดวงตาอันใหญ่โตที่จ้องเขม็งพร้อมม่านตาอันเรียวยาวตามแบบฉบับสัตว์เลื้อยคลานนั้น มันกำลังชี้มาที่ผม
ลึกๆในใจผมแล้ว ผมรู้สึกแทบจะโดยสัญชาติญาณว่าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ตุ๊กแก มันคือบางสิ่งที่มีสติปัญญาไม่ต่างกับมนุษย์
และ “ข้อความ” ที่ผมได้รับจากมันก็คือ “อยู่นิ่งๆตรงนั้นแหละ”
มันไม่เหมือนกับว่ามีใครมาบอกกับผมหรือผมได้ยินมันพูดผ่านทางโทรจิตแต่อย่างใด มันเป็นเหมือนความรู้สึกเสียมากกว่า “อย่าขยับ… อยู่นิ่งๆตรงนั้นแหละ”
อันที่จริงมันทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าเป็นนักโทษ
แล้วตัวผมก็แข็งทื่อ ทุกๆครั้งที่ผมพยายามขยับร่างกายเพื่อจะไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปหรือวิ่งไปที่ประตู มันจะมีความกลัวในใจผมที่คอยกดผมไว้ไม่ให้ไปไหน “อย่าขยับ”
และนอกจากนั้น ผมยังมองเห็นภาพหลอนของหัวใจตัวเองที่ “ระเบิด” ออกเป็นชิ้นๆ
มันเป็นภาพนิมิตในหัวผมที่บอกว่ามีมือกำลังบีบหัวใจผมอย่างแรงอยู่ข้างในอก และถ้าผมพยายามทำอะไรสักอย่างล่ะก็ มือนั้นมันก็จะบีบหัวใจผมแน่นขึ้นจน “ระเบิด” ออกเหมือนลูกโป่ง
มันคือความกลัวตายอย่างแท้จริงและสัมผัสได้ คือความคิดที่ว่าถ้าผมไม่ “เชื่อฟัง” หัวใจผมก็จะถูกบีบจนระเบิดออก ไอ้คำว่า “ระเบิด” นี่แหละที่เอาแต่ผุดขึ้นมาภายในหัวผม
ทีนี้ ผมรู้สึกไม่ค่อยภาคภูมิใจเท่าไหร่ทีต้องยอมรับว่า
ผมเป็นผู้ชายอกสามศอก อายุสามสิบต้นๆ สูงหกฟุตกว่าๆ ผมออกกำลังกาย ชกมวย เล่นกล้าม รู้วิธีจัดการกับตัวเองเป็นอย่างดี
แต่ความหวาดกลัวมันช่างท่วมท้นและความสิ้นหวังทำให้ผมรู้สึกตัวเล็กลงมากๆ รู้สึกอ่อนแอและเปราะบาง ผมเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ผมนั่งกอดเข่าตัวเองแนบอกแล้วโยกตัวไปมา เอาแต่พูดว่า “ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรด” ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยน้าเสียงที่สูงกว่าปกติมาก
ทุกส่วนในตัวผมที่เคยเป็น “ชายอกสามศอก” ได้ถูกบั่นทอนลงเหลือเพียงแค่เด็กชายตัวเล็กๆที่กำลังหวาดกลัว
ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องพูดออกมาเช่นนั้น กึ่งขอร้องกึ่งวิงวอนด้วยความสิ้นหวัง
และทุกๆครั้งที่ผมใจเย็นลงได้ ผมจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เพียงเพื่อเจอดวงตาคู่นั้นจ้องมาที่ผมเหมือนเดิม แน่นอนว่ามันจะฉุดผมลงไปสู่ความกลัวอีกครั้ง มันเป็นระลอกคลื่นของความกลัวที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้หน้าอกของผมรู้สึกแสบร้อนอย่างบอกไม่ถูก ผมได้แต่ก้มหน้าลงแล้วทำแบบเดิม ภาวนากรีดร้องด้วยเสียงหลง “ได้โปรด ได้โปรด ได้โปรด”
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เจ้าตุ๊กแกตัวนั้นมันได้หายไปแล้ว
แต่มีบางสิ่งกำลังเกิดขึ้นแทน ผมเห็นแสงสีฟ้ากระพริบอยู่นอกหน้าต่าง มันดูไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เหมือนแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป ผมแอบหวังว่าจะได้ยินเสียง “ปี๊บ ปี๊บ” เหมือนกล้อง SLR ทั่วไปที่จะส่งเสียงนี้ก่อนถ่ายรูป แต่มันกลับไม่มีเสียงอะไรเลย
ผมลองนับจังหวะการกระพริบของมัน พบว่าบางครั้งมันก็ห่างกันแค่เสี้ยววินาที แต่บางครั้งมันก็ห่างกันหลายนาที ไม่มีรูปแบบใดๆเลยที่ผมสังเกตได้
ประมาณตีห้าผมก็เริ่มรู้สึกสงบลง ความหนักหน่วงของเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องผมค่อยๆคลายตัว แสงแฟลชนั้นเริ่มกระพริบช้าลงเรื่อยๆ ผมกำลังจะผล็อยหลับเพราะร่างกายของผมมันช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
แล้วผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงดังมากจากข้างนอก
จริงๆแล้วตอนที่ผมกำลังเขียนเรื่องนี้อยู่ เหมือนด้วยเหตุผลบางอย่าง หยดน้ำตาผมเริ่มก่อตัวขึ้นขณะพยายามนึกย้อนกลับไป ไม่ได้จะเล่าให้ดราม่านะครับ เพียงแต่อยากให้ทราบว่าดวงตาของผมอยู่ดีๆก็เอ่อล้นไปด้วยของเหลวนี้ เพียงแค่ผมนึกถึงเสียงผู้หญิงที่ได้ยิน
มันไม่ใช่เสียงกรีดร้อง คร่ำครวญ ร้องไห้ หรืออะไรพวกนั้น แต่มันเป็นเสียงเหมือนผู้หญิงคนนั้นกำลังร่วมเพศอยู่
ใช่แล้วครับ มันเป็นเสียงครางสูงๆอันเต็มไปด้วยความสุขทางเพศที่เธอคนนั้นกำลังได้รับ อยู่ตรงหน้าระเบียงผมเลย
อันที่จริงผมถ่ายรูประเบียงตรงนั้นไว้ด้วยครับ(คือห้องผมมันจะเล็กๆ แต่ระเบียงมันจะกว้างแล้วโอบล้อมทุกอย่าง): https://imgur.com/nudllyg
คุณจะเห็นได้เลยว่าถัดจากที่นั่งไป มันจะมีตรงที่ถูกยกสูงขึ้นแล้วก็มีที่นอนเล็กๆเอาไว้สำหรับพักผ่อน
ตรงนั้นแหละครับ ที่เกือบสิบนาทีผมได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นกำลังมีเซ็กซ์ที่สุดยอดที่สุดในชีวิตของเธอ
แต่ก็เหมือนสิ่งอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า มันมีบางอย่าง “ผิดปกติ” เกี่ยวกับวิธีที่ผมรู้สึกถึงมันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แม้ว่าผมจะกลัว แต่(ผมอายมากที่ต้องยอมรับมัน)ผมเริ่มรู้สึกเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาเล็กน้อย
พูดตรงๆเลยดีกว่า อันที่จริงผมสัมผัสได้ถึงความต้องการทางเพศอย่างรุนแรงจนเกือบห้ามตัวเองไม่ให้เดินออกไปข้างนอกไม่ไหว และมันเหมือนมีอีกหนึ่งความรู้สึกในหัวผมที่คอยเตือนไม่ให้ออกไป ให้อยู่นิ่งๆตรงนี้
คือมันเป็นความสับสนของสองสิ่งนี้ที่ยื้อยุดฉุดกระชากกันในหัวผม จริงๆส่วนหนึ่งรู้สึกว่ามีบางคนอยู่ข้างนอกที่ “รัก” ผมอย่างจริงใจ เธอผู้ซึ่งมีความรักอันบริสุทธิ์และไม่มีเงื่อนใขใดๆต่อผม เพียงแค่เปิดประตูออกไปก็จะได้สัมผัสกับความรักนั้นที่ปราศจากความใคร่และใสสะอาดที่สุดที่จะได้มีโอกาสพบ เพียงสักครั้งในชีวิตของผม
และความรักนี้จะพันตัวเองรอบตัวผม ทำให้ผมไม่รู้สึกเหงา เศร้า หรือโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต ขอเพียงแค่ผมเดินออกไปข้างนอกนั่น
แต่ผมเลือกที่จะอยู่ในนี้ และในที่สุดเสียงครางนั้นก็เงียบไป และตอนนั้นเป็นตอนที่รุ่งอรุณได้โผล่พ้นยอดไม้ แสงแรกของวันที่ดูมีสีส้มสลัวๆก็ได้ออกมาทักทายผม
ทันที่ที่ผมรู้สึก “ปลอดภัย” มากพอ ผมเริ่มเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อทำการสำรวจ จากนั้นจึงพบว่าไม่มีสัญญาณใดๆที่บอกว่าเคยมีคนอยู่ที่นี่กับผม
ที่ต่อไปที่ผมเดินไปหาคือที่ศาลพระภูมิ
ข้าวในถ้วยดูปกติดี ก็เหมือนโดนตั้งทิ้งไว้ทั้งคืนตามปกติทั่วไป
แต่พวกผลไม้ดูราวกับว่ามีอะไรมาดูดความชุ่มชื้นของมันไปจนหมด
คือเหมือนโดนอบแห้งอ่ะครับ มันเหี่ยวลงจนเหลือครึ่งเดียว แต่ก็ไม่ได้เน่าแบบที่ควรจะเป็น
ผมวิ่งกลับเข้าข้างเพื่อจะเอามือถือมาถ่ายรูป แต่แบตหมดก็เลยต้องชาร์จเอาไว้ก่อน
และนั่นก็เป็นตอนที่ผมนั่งอ่านคอมเมนต์ที่หลายคนได้แนะนำกันเข้ามา ก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับสำหรับท่านที่ผมเอ่ยชื่อไว้ข้างต้น
ผมเริ่มเสิร์ชหาสิ่งที่จะมาอธิบายเหตุการณ์เหล่านั้น เผื่อมีข้อมูลบางอย่างที่อาจเป็นประโยชน์ แล้วผมก็ไปเจออันนึงที่เขียนว่า(ไม่รู้นะครับว่าน่าเชื่อถือแค่ไหน) “ห้ามถ่ายรูปศาลพระภูมิ”
ดังนั้นถ้าคุณสงสัยว่าทำไมไม่มีรูปศาลพระภูมิดังกล่าว ผมแค่อยากรู้สึกปลอดภัยไว้ก่อนน่ะครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้มีโอกาสถ่ายรูปสิ่งอื่นๆเก็บเอาไว้ด้วย
วันนี้ผมไปที่ตลาดพันธ์ทิพย์ในหมู่บ้านท้องศาลาและได้ไปคุยกับชาวอังกฤษท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของร้านเบอร์เกอร์อยู่แถวนั้น
ผมรู้ว่าเขาใช้ชีวิตบนเกาะนี้มาหลายปีและมีภรรยาเป็นชาวไทยด้วย ผมจึงคิดว่าเขาอาจช่วยผมได้
ผมไม่อยากเล่ารายละเอียดตรงนี้มากนัก แต่ลืมสิ่งที่คนในคอมเมนต์บอกผมเกี่ยวกับเครื่องราง สร้อยพระ หรือการรับศีลรับพรไปก่อน ผมบอกเขาไปว่าผมมีปัญหาในเรื่องของที่พัก ซึ่งผมคิดว่าอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ “ภูติผีวิญญาณ” ที่ผมได้เจอมา
ผมยังถามเขาว่า “ผมรู้ว่ามันฟังดูไร้สาระ แต่คุณพอรู้จักสถานที่ที่มีพระพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า? เผื่อผมจะได้ขอเครื่องรางของขลังมาใช้บ้าง”
แล้วเขาก็ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวัดแห่งหนึ่งที่เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะแห่งนี้(จริงๆมันก็มีสองสามแห่ง แต่นี่คือวัด “หลัก” ของที่นี่) และเขายังบอกเส้นทางไปวัดกับผมอีกด้วย
เขาพูดว่า “คอยมองหาบันไดสูงๆที่มีมังกรอยู่”
นั่นฟังดูแปลก จนกระทั่งผมได้เห็นสิ่งนี้: https://imgur.com/dpJqjI4
มันใช้เวลาเกื่อบ 20 นาทีในการปีนขึ้นบันได ผมได้ถ่ายรูปสองสามรูปขณะอยู่บนนั้น ตอนที่ผมกำลังมองหาคนที่จะคุยด้วยได้: https://imgur.com/LCIzWHI | https://imgur.com/i67T9Rz
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ วัดแห่งนี้มีความเป็นไทยผสมจีน
ในที่สุดผมก็ได้พบกับพระกลุ่มหนึ่งที่สวมจีวรสีส้ม ดูเหมือนพวกท่านกำลังกวาดลานวัดอยู่ แน่นอนว่าไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษ ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่คนหนึ่งที่พยายามค่อยๆพูดภาษาของผมช้าๆและเสียงดังฟังชัด(ราวกับว่าพระเหล่านั้นจะฟังออกแน่ะ)
หลังจากการใช้ภาษามืออันสับสนวุ่นวาย ผมเกือบจะยอมแพ้อยู่แล้วถ้าพระชรารูปหนึ่งไม่พูดขึ้นมาว่า “ฮัลโหล”
มันคือภาษาอังกฤษ!
ท่านก็พูดไม่ค่อยคล่องหรือชำนาญเท่าไหร่หรอกครับ แต่อย่างน้อยมันก็เปิดโอกาสให้ผมสื่อสารถ้อยคำสั้นๆอย่างเช่น “ผี” “น่ากลัว” “นอนไม่หลับ” “ช่วยด้วย” แล้วก็พวกศัพท์ขอความช่วยเหลือพื้นฐานต่างๆ
ท่านพยักหน้าเหมือนในใจพยามจะพูดว่า “อาตมาเข้าใจ” และท่านก็ดูราวกับรู้ว่าต้องทำอะไร
แล้วท่านก็หันไปพูดภาษาไทยเหมือนสั่งพระชั้นผู้น้อยให้ไปเอาบางอย่างมาที่นี่ จากนั้นก็เริ่มสวดมนต์พร้อมสะบัดสิ่งที่ดูเหมือนมัดของกิ่งไม้เล็กๆหน้าตาแปลกๆ มาที่ผม
แล้วพระหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับสิ่งของสามสิ่งด้วยกัน นั่นคือเครื่องรางคล้ายตะกรุดอันเล็กๆสองชิ้นแล้วก็ผ้ายันต์หนึ่งผืนที่พระหนุ่มรูปนี้บอกกับผมว่าให้เอาไป “แขวนไว้”
นี่คือรูปถ่ายของสิ่งที่ผมได้มา(หลังจาก “บริจาค” ไปทั้งสิ้นหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
เครื่องราง1: https://imgur.com/lxv46d2 เครื่องราง2: https://imgur.com/4KTeK2V ผ้ายันต์: https://imgur.com/6IIaVr0
ผมไม่รู้เลยว่าของพวกนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่ และผมก็ไม่รู้ว่าควรทำอะไรอีกนอกเหนือจากนี้ดี
แต่ลึกๆแล้วผมรู้สึกปลอดภัย เหมือนตัวผมได้รับ “การป้องกัน” จากอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้นผมก็เดินไปหาอะไรกินแถวตลาด แล้วก็ได้ไปเจอกับร้านข้าวมันไก่ร้านหนึ่ง
เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ ผมก็เอาของที่ผมได้ออกมาตรวจเช็กดู
ในตอนนั้นเอง ลูกชายของเจ้าของร้านก็เดินมาหาผมแล้วพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ คุณไปได้ของพวกนี้มาจากไหน?” เขาถามผมเป็นภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว
ผมรู้สึกว่าในที่สุดผมก็ได้คุยกับใครสักคนแบบจริงๆจังๆสักที ผมก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังแล้วก็สั่งข้าวมันไก่หนึ่งจาน
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมพูดออกมาทำให้สีหน้าของเปลี่ยนไปแทบจะในทันที ชาวไทยที่อาศัยอยู่บริเวณภาคใต้ส่วนมากจะมีผิวสีน้ำตาลออกคล้ำๆ และสีผิวของหนุ่มน้อยคนนี้ก็ได้เปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นขาวซีดราวกับผี
โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เขารีบกลับไปยืนทำกับข้าวอยู่ที่เดิม ผมแอบถ่ายรูปนี้ได้ตอนเขาเดินกลับไปแล้ว: https://imgur.com/NvTetEp
แน่นอนว่าบรรยากาศแบบนี้ทำผมรู้สึกไม่ค่อยดี
หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ผมสังเกตเห็นว่าเขาเดินไปหาแม่แล้วก็กระซิบข้างหูพร้อมกับชี้มาทางผม(แม่เขาเป็นเจ้าของร้านน่ะครับ) จากนั้นเธอก็พยักหน้าเหมือนบอกว่า “เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
เธอเอาข้าวมาให้ผมแล้วพูดว่า “ของพวกนี้มันไม่ดีหรอก”
สุดยอด… ผมคิดประชดตัวเองในใจ
แต่ผมยังไม่ทันจะพูดอะไร เธอก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ตอนนี้พวกมันจะตามคุณไป”
ยิ่งแล้วใหญ่เลยทีนี้!
จากนั้นเธอก็บอกผมว่าเธอมี “เพื่อนจากอีสาน” ทีพอจะช่วยผมได้และบอกให้ผมกลับมาอีกในตอนสองโมงเช้าพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ร้านเริ่มเปิดพอดี
ก็นี่แหละครับคือสถานการณ์ที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้
ทั้งวันผมก็เอาแต่เดินเล่นไปเรื่อยๆ พยายามหาที่พักใหม่เพราะไม่อยากกลับไปอยู่บังกะโลนั่นแล้ว
ดูเหมือนโชคยังเข้าข้างผม เงินผมยังเหลือพอที่จะเช่าห้องดีๆอยู่ในอนันตรารีสอร์ท นี่คือรูปที่ผมถายจากข้างนอก: https://imgur.com/0GmoLh0
ผมโชคดีเพราะว่ามีคนเคยจองเอาไว้แต่ก็ยังไม่มาอยู่สักที ผมก็เลยได้มันมา
และแน่นอน ผมอยากหาอะไรดื่ม ผมต้องการมันมากในตอนนี้
คืนนี้ผมคงอยู่ที่นี่แหละครับ แต่สิ่งที่เจ้าของร้านข้าวมันไก่ได้บอกกับผมยังคงทำให้ผมกังวลอยู่ไม่น้อย “ตอนนี้พวกมันจะตามคุณไป”
จริงๆแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นมากที่ได้อยู่ใกล้ๆกับผู้คน มีที่พักเป็นหลักแหล่ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวเท่าที่ควร มันรู้สึกคลื่นใส้อยู่ลึกๆภายในท้องผม เหมือนมีปรสิตที่มองไม่เห็น เกาะติดแน่นอยู่ในนั้นและคอยดูดพลังชีวิตไปจากผม
ตอนนี้ผมพยายามผ่อนคลายร่างกายตัวเอง หาอะไรดื่มย้อมใจ แล้วก็ตั้งใจว่าจะนอนให้หลับ
เดี๋ยวผมจะอัปเดตให้หลังกลับมาจากร้านข้าวมันไก่พรุ่งนี้ หลังจากรู้ว่า “เพื่อนจากอีสาน” คนนั้นจะทำอะไรกับผมบ้าง
สุดท้ายนี้ผมไม่ค่อยอยากจะยอมรับเลยว่า ใจหนึ่งผมอยากให้ผู้หญิงที่ร้องครางเมื่อคืนนั้นกลับมาอีก ผมสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์แบบแปลกๆระหว่างเราสอง และผมรู้สึกเหมือน ”เกือบ” ตกหลุม “รัก” กับเธอเข้าให้แล้ว แต่ผมก็อธิบายเป็นคำพูดไม่ค่อยได้หรอกครับ คือมันคล้ายว่ามีแม่เหล็กดึงดูดผมให้เข้าไป และนั่นก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดแล้วในตอนนี้
—
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับ part 2 ใครคิดเห็นอย่างไรลองมาคุยกันได้ครับ เดี๋ยวอีกสักพัก ผมจะพยายามเล่าต่อ part 3 ซึ่งเป็นเหมือนบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดนี้(รึเปล่า) โปรดรอติดตามนะครับ สำหรับคนที่กำลังรอเวอร์ชันแปลไทย
สำหรับตอนนี้ก็ขอขอบคุณอีกเช่นเคยครับที่เข้ามาอ่านกัน
มันอาจเป็นใครก็ได้มั้ง ผมเชื่อว่าอย่างนั้นตอนที่เธอพูดกับผมว่า “เพราะคุณอยู่ที่นั่น”
ทั้งหมดที่ผมต้องการคือได้กลับบ้าน ผมแค่อยากกลับไปอยู่ในที่ที่คุ้นเคย เอาแต่คิดถึงโซฟาของผม เตียงของผม และระเบียงหน้าบ้านของผมเอง
แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าต้องอัปเดตเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้อ่านกัน และนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย
ผมเช่าโรงแรมอยู่ในกรุงเทพฯแล้วตอนนี้ สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ก็คือเฝ้ามองชีพจรของผมที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ
ผมแค่หวังว่ามันจะไม่หยุดเต้นเพื่อที่จะได้อธิบายเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รับรู้
ครั้งล่าสุดที่ผมอัปเดตคือตอนที่ผมได้ไปอยู่ในที่พักแห่งใหม่ซึ่งก็คือรีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเกาะ
ผมคิดว่าผมเป็นอิสระและปลอดภัยแล้ว คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่เพียง “ฝันร้าย”
ผมคิดผิด ผิดมากๆ ผิดอย่างมหันต์
คอมเมนต์สองสามข้อความในโพสต์ที่แล้วคอยเตือนผมไม่ให้กลับไปดื่มอีก ตอนนี้ผมแค่อยากจะขอโทษ ผมควรเชื่อและทำตามสิ่งที่พวกคุณบอก
ตอนนั้นเหมือนยิ่งห้ามก็ยิ่งยุ ผมสูญเสียความยับยั้งชั่งใจไปโดยสิ้นเชิง
ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะดื่มแค่เบียร์สักสองสามขวด แต่นั่นก็เปลี่ยนไปเป็นเครื่องดื่มที่แรงขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้นเองที่ผมควบคุมอะไรไม่ได้เลย ใบหน้าของผู้คนรอบตัวผมเริ่มที่จะเปลี่ยนไป
ทีนี้คุณอาจคิดว่าเหตุการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ล้วนเกิดจากการที่ผม “เมา” และหลอนไปเอง
ผมเมาจริงๆครับ แต่ก็เคยเป็นมาหลายครั้งแล้ว และไม่มีครั้งไหนเลยที่เหมือนกับครั้งนี้
ตอนที่ผมเริ่มดื่มผมก็จะรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมดื่มหนักเข้าไปอีก เพียงแค่หวังว่าจะดื่มให้ลืมทุกอย่าง ดื่มไปเรื่อยๆจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ให้ตายเถอะ นี่มันวันสุดท้ายของสงกรานต์แล้ว ผมควรพักผ่อนและหาความสุขให้กับตัวเอง จริงมั้ย?
แต่ไอ้ความรู้สึกไม่สบายนั้นมันก็ค่อยๆเติบโตขึ้น คอยกัดกินผมจากข้างใน
สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือตรงบาร์ที่ผมอยู่เนี่ย ที่ตอนแรกมีผู้คนมากมาย แต่ตอนนี้มันดูว่างเปล่าอย่างอธิบายไม่ถูก
ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน มันเคยมีผู้คนมากมายมายืนดื่มกัน คุยกัน แต่แล้วก็ไม่เหลือใครเลย
ผมยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่าดนตรีนั้นก็ได้เงียบไปเช่นกัน
ผมหันไปถามเด็กเสิร์ฟว่าทำไมดนตรีถึงหยุดไป แล้วเธอก็บอกว่า “เราไม่ได้เปิดมันตั้งแต่แรกแล้ว”
แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับเด็กเสิร์ฟคนนี้ที่ดูแปลกไป
รูม่านตาของเธอได้ขยายออกจนเป็นจุดขนาดใหญ่ มันนิ่งและเยือกเย็นเหมือนแววตาของหมาป่า… ณ จุดนั้นมันไม่ได้ย่อหรือขยายอีกต่อไปแล้ว มันยังคงความนิ่ง เยือกเย็น และไร้อารมณ์ไว้ดังเดิม เธอไม่ได้ยิ้มตอบผมเลย
จากนั้นเธอก็เดินจากไปแล้วไปคุยกับ “พนักงาน” คนอื่นๆ ผมว่านะ ด้วยเหตุผลบางประการมันดูเหมือนพวกเขากำลังคุยกันเกี่ยวกับผม
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนผมอยู่ในจักรวาลคู่ขนาน เหมือนผมอยู่ในโลกของผมดีๆแล้วทันใดนั้นก็ได้ย้ายไปอยู่อีกโลกนึง
ผมตัดสินใจที่จะลุกขึ้นและเดินออกไป ผมพูดกับเด็กเสิร์ฟคนนั้นว่า “สวัสดีครับ” ที่เป็นภาษาไทยซึ่งหมายความว่า “ลาก่อน” แบบสุภาพ แล้วก็เอามือสองข้างประกบกันเหมือนตอนสวดมนต์เพื่อทำท่า “ไหว้” ก่อนจากลา
แต่เธอก็ยังคงจ้องมาที่ผม… ด้วยดวงตาเยือกเย็นคู่นั้น
ขณะที่ผมเดินอยู่ข้างนอก ผมรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในน้ำ เหมือนกำลังเคลื่อนที่แหวกผ่านของเหลวอะไรสักอย่าง
มีเด็กตัวเล็กๆสามคนวิ่งผ่านผมไป พวกเขามีดวงตาแบบเดียวกับเด็กเสิร์ฟคนนั้นเป๊ะเลย คนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วก็โยนผงแป้งที่มีสีๆใส่ตัวผม แล้วพวกที่เหลือก็ยิงปืดฉีดน้ำใส่ผม แต่ที่แปลกคือใบหน้าพวกเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆอยู่เลย
พวกเขาเหมือนเอเลี่ยนสามตัวที่เพิ่งมาเยือนโลกมนุษย์ แล้วได้เรียนรู้ว่า “นี่สงกรานต์นะ คนไทยเขาทำกันแบบนี้” แล้วพวกเขาก็แค่ทำท่าทางเลียนแบบเฉยๆ จะได้เข้ากับมนุษย์โลกคนอื่นๆ
ผมรู้สึกราวกับว่าโดนทำคุณไสยใส่
หลังจากนั้นผมก็ขึ้นรถสองแถวที่เป็นรถกระบะสีแดง คล้ายแท็กซี่ แต่มีผู้โดยสารหลายคนนั่งอยู่ตรงท้ายกระบะที่มีหลังคาปกคลุม
ตอนผมขึ้นไปมันก็แออัดไปด้วยผู้คนที่นั่งเบียดเสียดกันอยู่ แต่ไม่มีใครคุยกันเลย
ที่นี่คือเกาะที่จัดงานปาร์ตี้รื่นเริง แล้วช่วงนี้ก็เป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ทุกคนบนรถกลับนั่งนิ่งๆ และจ้องมองไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา
พวกเราก็นั่งกันไปอย่างนั้น เงียบๆ จนถึงที่หาดริ้น
เมื่อผมลงจากรถ ผมจึงได้พบว่ามีผู้คนนับพันอยู่บนชายหาด เต้นรำกันอย่างสนุกสนาน มันคืองานปาร์ตี้นั่นเอง
เสียงเพลงเป็นแค่เพียงสิ่งเดียวที่ฟังดูปกติ แต่ใบหน้าของทุกคนที่นั่น มันดู… บิดเบี้ยว
ตอนนี้แหละที่ผมเริ่มเดินไปรอบๆ หันหน้ากลับไปกลับมาท่ามกลางฝูงชน คอยมองหาใครสักคนที่พอจะเข้าใจผม คนที่มองเห็นสิ่งเดียวกับผม
ผมกำลังมองหาคนที่ดูสับสนแบบผม รับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวแบบเดียวกับผม
แต่ผมก็ไม่เจอใคร ทุกคนเอาแต่เต้นอยู่อย่างนั้น ทำไมกัน? ทำไมผมเป็นแค่คนเดียวที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างเลย?
แล้วผมก็มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งจากไกลๆ เธอนั่งอยู่ตรงฟุตบาท… เส้นผมยาวปรกหน้า
อีกครั้ง ด้วยเหตุผลบางอย่าง อารมณ์ความรู้สึกเมื่อคืนก่อนๆมันกลับมาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นครางอยู่นอกห้องผม
ในตอนนั้นเองที่ผมคิดได้ว่าต้องถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เพื่อใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมไม่ได้เห็นมันคนเดียว ว่าสิ่งนี้มันกำลังเกิดขึ้นอยู่จริงๆ
ผมได้ถ่ายรูปนี้เอาไว้ได้: https://imgur.com/n192Rnk
ผู้หญิงคนนี้ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ เหมือนเธอกำลังรอผมอยู่ ผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป
ลึกๆแล้วในตัวผมเหมือนมีบางอย่างที่อยากให้เธอมา “รัก” กับผม รู้สึกได้เลยว่าเพียงแค่ได้เข้าไปคุย เธอก็จะตกหลุมรักผมอย่างแน่นอน
เมื่อผมไปถึงตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น ผมยังคงมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ และทันใดนั้นขณะที่เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วเอามือแหวกเส้นผมออกไปด้านข้าง ความทรงจำทุกสิ่งทุกอย่างของผมก็มืดดับไป
ผมจำอะไรไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
สิ่งต่อมาที่ผมจำได้คือผมกำลังเดินอย่างไร้จุดหมายไปตามถนน
ผมก้มหน้ามองดูนาฬิกาข้อมือ มันเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง!
ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเช้าวันจันทร์ วันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ ผู้คนบางส่วนก็ตื่นขึ้นมาเพื่อมาสาดน้ำใส่กันตั้งแต่เช้า
ผมสำรวจร่างกายตัวเอง พบว่ากระเป๋าตังค์ มือถือ และของทุกอย่างของผมยังอยู่ครบถ้วน
ผมไม่ได้โดนชิงทรัพย์แต่อย่างใด แม้กระทั่งเครื่องรางสองชิ้นที่พระรูปนั้นให้ผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ผมจึงพยายามที่จะไม่คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เก็บซ่อนมันไว้ในใจ แล้วหาทางกลับไปหาเจ้าของร้านข้าวมันไก่ที่บ้านท้องศาลาตามที่เธอได้บอกกับผมไว้
ผมนั่งรถสองแถวอีกรอบ ใช้เวลาไม่นานนัก ประมาณ 15 นาทีผานเนินเขาหลายๆลูกไป
แต่ผมก็มีเวลามากพอที่จะเช็กดูโทรศัพท์ของผม
ผมจำได้ว่ารู้สึกสับสนมึนงงเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เจอเมื่อคืน กับใบหน้าของผู้คนเหล่านั้นที่ดูบิดเบี้ยวและไร้รูปร่าง
ฝูงชนที่มีใบหน้าอันน่าขนลุก ใบหน้าที่เปลี่ยนรูปตลอดเวลา ใบหน้าที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใดๆ
แล้วผมก็ได้รู้ว่าในคืนนั้นผมได้ถ่ายรูปพวกเขาเอาไว้ หวังว่าจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันสิ่งที่ผมได้พบเจอ
แต่รูปส่วนมากที่ผมพบในโทรศัพท์กลับดูเป็น “ปกติ” ดี
พวกมันดูไม่เหมือนสิ่งที่ผมได้เห็นเลย มันก็แค่รูปภาพของผู้คนบนเกาะที่กำลังปาร์ตี้กันตามปกติ
นี่คืออัลบั้มของรูปถ่ายเหล่านั้น: https://imgur.com/gallery/bVyxjqH
จากนั้นผมก็เห็น “เธอ”
มันมีทั้งหมดสองรูปด้วยกัน
ผมนึกไม่ออกเลยว่าผมไปถ่ายมาจากไหน
คือจำไม่ได้เลยว่าเคยถ่ายสองรูปนี้ด้วย
แต่เป็นที่แน่นอนแล้วว่า “เธอ” อยู่ในรูปสองรูปนั้น
มันคือผู้หญิงคนนั้นที่มีเส้นผมปกคลุมใบหน้า
จริงๆผมก็จำหน้าเธอไม่ค่อยได้หรอกครับ แต่ความรู้สึกของผมมันเอาแต่บอกว่านี่คือเธอ
พวกนี้คือรูปถ่ายสองรูปนั้นครับ: https://imgur.com/GiFkeXk | https://imgur.com/iPgEF0f
มันเหมือนกับว่าเธอได้สวมเสื้อตัวใหม่ แต่ผมรู้ด้วยความมั่นใจเต็มร้อยเลยว่านี่แหละคือผู้หญิงคนเดียวกัน
และเธอก็กำลังมองมาทางผม ราวกับยินยอมให้โดนถ่าย ราวกับยินยอมให้ตัวเองถูกพบในรูปภาพพวกนี้ ราวกับเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมต้องเปิดมันขึ้นมาดูในภายหลัง
แล้วทำไมเธอต้องโบกมือให้ผมด้วย?
ณ จุดหนึ่งพวกเราเคยได้อยู่ใกล้ๆกัน
ทำไมผมถึงจำมันไม่ได้ล่ะ?
พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ตอนนั้น?
ความคิดเหล่านี้ต่างวิ่งแข่งกันเข้าหัวผม ผมเอามือกุมขมับแล้วนวดแรงๆพร้อมกับกระทืบเท้าคนเดียวอยู่บนรถสองแถว พยายามที่จะนึกให้ออกว่าช่วงเวลาที่หายไปนั้นผมไปอยู่ที่ไหนมา แต่นึกแค่ไหนก็นึกไม่ออกสักที
พอรู้ตัวอีกทีผมก็ถึงจุดหมายปลายทางเสียแล้ว
เมือไปถึงที่ร้านข้าวมันไก่ ผู้หญิงเจ้าของร้านก็ดูเหมือนกำลังนั่งรอผมอยู่
เธอนั่งอยู่หน้าร้านและเอามือกอดอก
ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะพูดอะไรในตอนที่เธอจ้องตาผมแล้วพูดว่า “เพื่อนจากอีสานเขามาพบคุณไม่ได้ แต่เธอบอกว่าคุณโดนหมายหัวโดยเหล่าวิญญาณ และตอนนี้คุณต้องกลับไปขอขมาที่ภูเขานั่น”
ผมมองหน้าเธออย่างกับว่าเธอเป็นตัวละครในภาพยนตร์แฟนตาซี
ผมต้องกลับไปเพื่อที่จะ “ขอขมาที่ภูเขานั่น” ? ถามจริง?
แน่นอนว่าผมถามเธอว่ามันหมายถึงอะไร แล้วเธอก็บอกว่า “คุณต้องกลับไปที่ภูเขาลูกใหญ่ๆลูกนั้น เขาหรา ปีนขึ้นไปจนถึงยอด เอาเงินให้แล้วจุดธูปขอขมาเหล่าเจ้าป่าเจ้าเขาซะ”
ถ้าคุณอ่านถึงตรงนี้แล้วเริ่มมองบน ผมเข้าใจดี ผมก็เป็นแบบนั้นแหละตอนได้ยินเธอพูด แต่สีหน้าของเธอดูขึงขังและจริงจังมาก
คืองี้ เขาหราคือที่ตั้งของบังกะโลผม มันอยู่ตรงตีนเขาพอดีตามที่เคยบอกไว้
ผมก็เลยรู้ว่าควรจะไปทางไหน
แล้วผมก็รู้มาอีกด้วยว่ามันเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้ และถ้าได้ปีนขึ้นไปจนถึงยอดแล้วเนี่ย มันจะเป็นจุดที่สูงที่สุดบนเกาะ
แต่ประเด็นก็คือผมต้องเตรียมเงินและธูปหอมขึ้นไปจุดบนนั้นนี่สิ
ณ จุดนี้ผมเกือบไม่สนใจอะไรแล้ว
ผมเริ่ม “ใจเย็น” ลงแล้วคิดไปต่างๆนานา ผมอาจถูกมอมยาก็ได้
หรือบางทีผมอาจเป็นเหยื่อของการกระทำมิดีมิร้ายโดยพวกมิจฉาชีพ ใครจะไปรู้
มันอาจมีคำอธิบายอื่นตามหลักเหตุผลสำหรับเรื่องพวกนี้ทั้งหมด
แต่แล้วผมก็ได้ยินเธอพูดว่า “ได้ยินเสียงผู้หญิงในต้นกล้วยใช่มั้ยล่ะ?”
ผมช็อกไปเลย
ผมรู้ทันทีว่าเธอกำลังพูดถึงเสียงผู้หญิงที่ร้องครางนอกห้องผมคืนนั้น
และที่นั่นมันก็มี “ต้นกล้วย” จำนวนไม่น้อยล้อมรอบบังกะโลของผม
ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า “ใช่ๆ ครับ ผมได้ยินเสียงผู้หญิง”
แล้วเธอก็บอกผมว่า “รีบกลับไปได้แล้ว รีบไปทำให้มันเสร็จก่อนค่ำก่อนมืด”
เธอดูเหมือนจะ “ไล่” ผมออกไปหลังจากยัดธูปหอมใส่มือผมสองสามดอก
เป็นอีกครั้งที่ผมเริ่มคิดว่า ช่างมันเถอะ ผมควรกลับไปที่รีสอร์ท เก็บข้าวของแล้วนั่งสปีดโบ๊ทออกไปจากที่นี่
ผมนึกแล้วนึกอีกพลางเดินออกจากร้านข้าวมันไก่อย่างไร้จุดหมาย
แต่แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจทำตามที่เธอบอก
ณ ห้วงนาทีที่ผมนั่งเขียนอยู่นี่ ผมได้แต่หวังว่าผมไม่ได้ทำมันลงไป ได้แต่หวังว่าผมควรรีบออกจากเกาะนั่นตอนที่ยังมีโอกาส ผมควรรีบหนีให้ไกลที่สุด
แต่ก็นะ ผมไปที่ภูเขา เพื่อที่คุณจะเข้าใจว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร คุณควรดูภาพนี้: https://imgur.com/89zvVWd
ผมถ่ายรูปมันก่อนมุ่งหน้าไปยังตีนเขาเพื่อปีนมันขึ้นไป
มันเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนานในการปีน
ผมรู้สึกไม่สบาย ขาดน้ำ เมาค้าง และอ่อนแอมากจากการอดหลับอดนอนทั้งหมดนั่น
แต่หลังจากสามชั่วโมงแห่งความยากลำบาก ผมก็ไปถึงยอดเขาจนได้
ผมใช้เวลาสักพักในการนั่งพักเหนื่อย ชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของที่นั่น
ผมได้ถ่ายรูปนี้เอาไว้: https://imgur.com/Hf43ZbY
แต่แล้ว เมื่อผมหันหลังกลับ ผมเห็นพวกมัน
“เหล่าเจ้าป่าเจ้าเขา”
ผมถ่ายรูปพวกท่านเอาไว้ด้วย: https://imgur.com/KHmCJou
อย่างที่คุณเห็นแหละครับ บนก้อนหินก้อนใหญ่ มีรูปปั้นอยู่สามอัน
พวกมันดูเหมือนอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว
มีเหรียญและธนบัตรใบละ 20 บาทจำนวนมากวางกระจัดกระจายเต็มไปหมด ผู้คนได้นำผ้าผืนเล็กๆมาคาดรูปปั้นเหล่านั้นไว้ รวมไปถึงผ้าหลากสีที่พันอยู่ตรงต้นไม้บริเวณใกล้เคียงอีกด้วย
คุณสามารถมองเห็นก้านธูปเก่าๆปักอยู่มากมาย
ต้องเป็นที่แห่งนี้แน่ๆ ผมคิดในใจ
ผมก็เลยเอาเงินที่เตรียมมาไปวางไว้ตรงนั้นแล้วก็จุดธูป
จากนั้นก็ทำการ ”ไหว้”
แล้วก็กล่าวคำขอขมาพวกเขา
ผมรู้สึกเหมือนเป็นไอ้โง่คนนึงตลอดเวลา
ตอนนั้นก็น่าจะประมาณเกือบบ่ายสามแล้ว และผมก็รู้ตัวดีว่าต้องรีบปีนกลับลงมาก่อนพระอาทิตย์จะตก
แต่ผมก็เลือกที่จะงีบอยู่บนนั้นก่อนสักพักเนื่องจากเหนื่อยล้ามาก
และตอนนี้ผมก็เชื่อว่าการตัดสินใจงีบพักผ่อนในครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตผม
ตอนที่ผมเอนตัวลงแล้วเอาศีรษะไปพาดบนหินก้อนนั้น ผมน่าจะผล็อยหลับไป
เพราะว่าสิ่งถัดมาที่ผมจำได้ก็คือผมลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วมันก็เป็นตอนกลางคืน!
และเชื่อมั้ย ผมรู้สึกเหมือนถูกพันรอบตัวด้วยความสุขทางเพศอย่างเหลือเชื่อ มันเป็นความรู้สึกที่ดีที่สุดที่เคยได้สัมผัสมาในชีวิต
ผมรู้สึกเสียววาบไปทั้งตัว ความต้องการที่จะถึงจุดสุดยอดมันช่างรุนแรงเหลือเกิน ผมไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน ทั้งหมดล้วนมาจากจิตวิญญาณทั้งสิ้น
ในตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเริ่มปล่อยเสียงครางต่ำๆ ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่หลังจากดวงตาผมค่อยๆปรับโฟกัส ผมก็เห็น “เธอ” อยู่บนตัวผม
และยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ตัวเธอช่างดูราวกับว่าเป็นของเหลว
เหมือนเจ้าสิ่งนั้นที่หลุดออกมาจากรูในคืนที่สี่ไม่มีผิด
เธอกำลังขึ้นคร่อมและ “ขย่ม” ไอ้นั่นผมทั้งๆที่ผมยังสวมเสื้อผ้าอยู่
ผมเห็นภาพใบหน้าของเธออยู่แว้บนึง แล้วเส้นผมของเธอก็หล่นลงไปคลุมมันอีกครั้ง เหล่าเส้นผมสีดำสนิทพวกนั้นก็ค่อยๆจางลงกลายเป็นคล้ายๆกับกลุ่มควัน จากนั้นกลุ่มควันดังกล่าวก็เริ่มหนืดขึ้นอย่างช้าๆจนเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ในตอนนั้นเองที่ใบหน้าของเธอได้ “ปรากฏ” ขึ้นมาอีกครั้ง
ช่วงคืนแรกๆผมรู้สึกอยากที่จะ “ยอมแพ้” เพราะทนมันไม่ไหวแล้ว
แต่หลังจากผมได้ยินเสียงเธอครางที่หน้าประตู ผมก็เริ่มรู้สึกอยากจะอยู่กับเธอคนนั้น
และในตอนนี้มันก็ได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้วาดฝันเอาไว้
มันเป็นห้วงเวลาสั้นๆที่ผมไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ผมไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงคือมัน “กำลัง” เกิดขึ้นกับผมตอนนี้
ผมต้องการมัน
แล้วทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากหลายๆจุดรอบตัวผม
เสียงที่เหมือนคนกำลังพึมพำอะไรสักอย่าง มันฟังดูทุ้ม นุ่มลึก และแหบพร่า
พวกเขาพูดคุยกันในแบบเดียวกับกลุ่มชาวอเมริกันอ้วนๆที่ยืนล้อมเตาย่างบาร์บีคิวแล้วคุยกันเรื่องชิ้นเนื้อที่กำลังย่างอยู่
พูดว่า “ไอ้หนุ่ม นี่ต้องอร่อยแน่ๆเมื่อย่างจนสุกแล้ว” จากนั้นก็เอาลิ้นเลียส้อมพร้อมกับเอามือลูบท้อง
เสียงคล้ายๆแบบนี้แหละที่กำลังห้อมล้อมตัวผมอยู่!
และตรงหางตาของผมนั้นเองที่ผมได้พบกับสิ่งที่ผมขอเรียกว่าพวก “มนุษย์แมลง”
ผมกำลังพูดถึงสิ่งที่มีร่างกายเป็นมนุษย์แต่มีศีรษะคล้ายผึ้งหรือแมลงวัน
ผมเห็นพวกมันอยู่แว้บนึง แล้วมันก็วิ่งหายไปจากสายตาผม
แต่ตลอดเวลานั้น ในความมืดมิดรอบตัวผม พวกมันกำลังคุยกัน
ผมเองก็ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ผมได้ยินถ้อยคำภาษาอังกฤษที่พูดประมาณว่า “น่าอร่อยมาก” แล้วก็พวกวลีคล้ายๆ “เดี๋ยวจะกลืนมันเข้าไปทั้งตัวเลย”
ณ จุดนั้นความรู้สึกดีมันก็ยังคงอยู่ แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงความหวาดผวาอยู่ไม่น้อย
ผมรู้สึกราวกับว่าทั้งร่างกายกำลังถึงจุดสุดยอดในขณะเดียวกับที่รู้สึกว่าผมกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆแล้วก็โดนสวาปามโดยพวกมนุษย์แมลงแหล่านั้น
ผมพยายามที่จะผลัก “เธอ” ออกไป แต่ทุกครั้งที่ออกแรง ผมสัมผัสได้ถึงรยางค์เป็นเส้นๆคล้ายหนวดปลาหมึกนับพันที่ยื่นเข้ามาแล้วล็อกตัวผมไว้กับที่
เพียงแต่ตอนนี้ผมอยากหยุดแล้ว อยากให้มันออกไปสักที
ผมเริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “ทำไมคุณต้องทำแบบนี้กับผม? ทำไมต้องเป็นผมด้วย?!”
นั่นคือตอนที่ใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นในลักษณะของเหลวหนืดไร้รูปทรง ว่างเปล่าและมีสีดำทมิฬ มันกำลังบิดตัวมันเองพร้อมหมุนวนเป็นเกลียว เธอพูดกับผมว่า “เพราะคุณอยู่ที่นั่น”
ในตอนนั้นเองที่ ราวกับว่ามีคนกดปิดสวิตช์เหมือนตอนคืนที่สี่อีกครั้ง เธอได้อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา
ผมลุกขึ้นแล้วเริ่มออกวิ่ง
ผมใช้มือคลำไปตามต้นไม้และเถาวัลย์เพื่อช่วยพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม
และผมก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังตามผมมาติดๆ
ผมได้แต่พูดย้ำๆกับตัวเองในใจ “อย่าหันกลับไปมอง อย่าหันกลับไปมอง”
แต่ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ไหว ผมจำเป็นต้องเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังจริงๆ
มันก็เหมือนมีใครบอกคุณว่า “อย่ามองลงบนพื้น” แน่นอนว่าคุณต้องมองลง
“อย่ากดปุ่มสีแดง” แน่นอนว่าคุณต้องกดมัน
และตรงนั้น ตรงบริเวณยอดไม้บนจุดที่ผมวิ่งจากมา มันมีแสงบางอย่าง
แสงสีเหลืองขุ่นๆ ที่กำลังส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งนี้ผมถ่ายรูปมันเอาไว้ได้
มันก็ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก แต่คุณจะเห็นแสงนั่นลอยอยู่แถวยอดไม้จริงๆ: https://imgur.com/vyAG0Wx
หลังจากถ่ายรูปได้ ผมก็เริ่มวิ่งอีกครั้ง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกราวกับว่าทั้งป่ากำลัง “หัวเราะเยาะ” ผม
เหล่าต้นไม้ส่งเสียงหัวเราะ
เหล่าก้อนหินก็ต่างพากันส่งเสียงหัวเราะ
เหล่าแมลง ตุ๊กแก และเหล่าอสรพิษ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่หัวเราะใส่ผม
เสียงมันฟังดูบิดเบี้ยว เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างโทนสูงและต่ำ
ในที่สุดผมก็มาถึงข้างล่าง ผมรีบขึ้นมอไซค์แล้วบิดคันเร่งออกไป มุ่งหน้าไปที่ท่าเรือ
ผมซื้อตั๋วสำหรับสปีดโบ๊ทลำแรกที่จะมาถึง
แล้วผมก็นั่งรออยู่ตรงนั้นเกือบเก้าชั่วโมงได้ ท่ามกลามความร้อนอบอ้าวของค่ำคืนที่นี่ นั่งรอเรือลำนั้นที่กำลังเดินทางมา
สามชั่วโมงหลังขึ้นเรือ ผมก็อยู่สุราษฎร์ธานีแล้ว จากนั้นผมก็ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน
ผมไปถึงกรุงเทพฯ
ผมเช่าห้องในโรงแรมอยู่แล้วก็นอนหลับไป
เมื่อผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมก็พบกับเส้นผมที่กลายเป็นสีเทาซึ่งอยู่โดยรอบศีรษะของผม
ผมไม่เคยมีเส้นผมสีเทาแบบนี้มาก่อนในชีวิต!
นอกจากนั้นผมยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึก “ชา” บริเวณหน้าอกของผม
จริงๆผมใส่นาฬิกาของซัมซุงรุ่นที่สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ เมื่อผมมองที่มัน ผมแทบช็อกไปเลย
ผมจึงได้ถ่ายรูปพวกนี้เอาไว้
ตอนแรกหัวใจผมเต้นด้วยอัตรา 70 ถึง 72 รอบต่อนาทีตลอดเวลา
แต่ในขณะที่ผมจ้องมองมันด้วยความหวาดผวาถึงขีดสุด หัวใจผมกลับเริ่มเต้นช้าลง
และมันยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มันอยูที่ 30 กว่าๆแล้ว เส้นผมที่หงอกเป็นสีเทาเริ่มปรากฏชัดขึ้นต่อหน้าต่อตาผม
ผมกำลังเดินลงไปที่ลอบบี้โรงแรมเพื่อจะไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
แต่ด้วยเหตุผลที่ลึกๆแล้ว ผมรู้อยู่แก่ใจ… มันไม่ได้ผลหรอก
ผมรู้สึกราวกับพลังชีวิตได้ค่อยๆโดนดูดออกไปจนแทบสิ้น
ผมไม่เชื่อว่ามันจะมีเหตุผลอื่นใดนอกจาก “ผมอยู่ที่นั่น” มันคือการอยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เท่านั้นเอง
ผมเป็นเพียงแค่อาหาร เหมือนแมลงวันในสายตาของกบ เหมือนกวางในสายตาของเสือชีตาห์ ผมเป็นได้แค่เพียงอาหารเท่านั้น… ในสายตาของพวกมัน
—
ก็ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็ได้จบลงอย่างบริบูรณ์ครับ ตัวผู้แปลเองไม่ขอออกความเห็นใดๆ เพียงแค่อยากทราบว่าชาวพันทิปคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง ชาวต่างชาติท่านนี้ได้มาเจอสิ่งลี้ลับที่เกาะพะงันจริงๆ หรือเป็นแค่เพียงฤทธิ์ของสารเสพติดบางชนิดกันแน่ ผมไม่อาจทราบได้
ขอให้ทุกท่านได้รับความบันเทิงอย่างเต็มที่สำหรับเรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังนะครับ หากแปลผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ปล. ซึ่งอันที่จริงแล้ว r/nosleep ของเว็บไซต์ reddit นั้นเนี่ย เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย บางคนก็รู้จักมันในฐานะแหล่งรวมเรื่องสยองขวัญที่แต่งได้สมจริงที่สุด สมจริงจนบางเรื่องโด่งดังมากจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในโลกอินเทอร์เน็ตและเป็นที่มาของ creepypasta จำนวนมาก ดังนั้นถ้าผมมีโอกาสจึงอยากจะนำเรื่องราวเหล่านั้นมาแปลให้อ่านกันครับ (แน่นอนว่าผมจะให้เครคิตกับเจ้าของเรื่องทุกครั้ง)
สำหรับค่ำคืนนี้ ผมก็ขอตัวลาไปก่อนครับ สวัสดีครับ