สวัสดีคับสำหรับผู้อ่านทุกๆท่านเลยก่อนอื่นต้องขอบอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจากประการณ์จริงของผมและกลุ่มของผมที่ไปออกทริปด้วยกัน ผ่านมาได้2ปีแล้วคับเข้าเรื่อเลยล้ะกัน พวกผมเรียนอยู่มหาลัยดังย่านบางแสน ช่วงนั้นเป็นช่วงเรียนซัมเมอร์ใกล้จะจบภาคฤดูร้อนเลยชวนกันมานั่งกินนมปั่นที่ร้านแถวๆม. ภายในกลุ่มก็มีผมและเพื่อนอีกรุ่นเดียวกัน2คน สมมุติว่าชื่อ เอกับบี และรุ่นพี่ผู้ชายอีก3คน สมมุติว่าชื่อซี ดี อี คือพวกเราเคยออกค่ายด้วยกันเลยสนิทกัน ก็มานั่งกินนมปั่น จนคุยกันเรื่องสถานที่น่าเที่ยวที่สวยๆ ไม่รู้อะไรดลใจผมเลยพูดขึ้นไปว่า ไปเที่ยวเกาะ….กันไหม ทะเลสวยน้ำใส แถมบรรยากาศส่วนตัว คือเกาะนี้ตั้งอยู่ทางที่ตะวันออก ออกไปทางตราด ซึ่งตอนเด็กๆเคยมีโอกาสได้ไปแล้วประทับใจ ผมก็เล่าให้กับพี่ๆกับเพื่อนๆในกลุ่มฝั่งทุกคนดูสนใจแล้วก็ไม่รอช้า เสิทเนตหาข้อมูลกันเลย แล้วก็ได้จ้อสรุปวันเวลาคืออีกสามวันข้างหน้าซึ่งเป็นวันศุกร์ ที่พวกเราต้องรีบไปเพราะว่าถ้าหลังจากนี้จะเป็นช่วงมรสุมน่ะคับ เกาะจะปิดเรือส่วนใหญ่จะไม่ค่อยวิ่งเข้ามาในข้อมูลบอกว่าเป็นล่องมรสุมผ่าน พวกเราก้จัดแจงจองที่พักเรียบร้อย เมื่อถึงวัดนัดหมายพวกเราก็แบ้คแพคกระเป๋าไปกันโดยมาขึ้นรถตู้ที่ข้าง ม. เพื่อเดินทางไปยังตราดใช้เวลาเดินทางประมาน3-4ชั่วโมง เมื่อมาถึงท่าเรือ พี่ซีก่เดินไปรับตั๋วโดยสารส่วนที่เหลือก็นั่งรอกันไป สักพักเรือสปีดโบ๊ทมาจอดเทียบท่าพวกเราก้จัดเตรียมสัมภาระเดินออกไปยังท่าเรือและก้าวขึ้นเรืออย่างไม่รอช้า คือสภาพแวดล้อมตอนนั้นดีมากครับ อากาศดีทะเลสวย แต่ใครจะคิดล้ะครับว่ามีบางสิ่งบางอย่างรอพวกผมอยู่ข้างหน้าบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พวกผมถึงกับต้องใจเต้นระรัวขนลุกแบบไม่เคยเจอมาก่อน นั่งเรือได้ประมานเกือบ2ชม พวกผมเห็นชายหาดของเกาะเล็กๆอยู่ริบๆ พลางดีใจพี่ซีแกจะเป็นคนห้าวๆหน่อย เปรียบเหมือนหัวหน้ากลุ่มเลย แกก้แซวพวกผม “เห้ย มาย้อนวันวานวัยเด็กของเอ็งเลยนะเนี่ย” พวกผมก้หัวเราะกัน ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายๆค่อนเย็น เรือมาถึงที่เทียบท่าเป็นสะพานไม้ยาวๆๆยื่นออกมาจากฝั่ง มีเหมือนประภาคารอยู่กลางสะพาน บรรยากาศแบบวินเทจสุดๆ เกาะเป็นเกาะเล็กๆปกคลุมไปด้วยป่ากับต้นมะพร้าวซะส่วนใหญ่เมื่อเดินมาถึงฝั่งมัพนักงานต้อนรับมาเซิร์พน้ำให้เรา เค้าก้บอกว่ารอสักครู่นะค้ะเด้วจะมีพนักงานพาไปที่พัก พี่ซีกับดีขอแยกไปถ่ายรูปก่อนฝากสัมภาระไว้ที่พวกผม ผ่านไปครู่เดียวก้มีพนักงานชายวัย40ผิวดำๆ เดินพาพวกไปยังที่พัก คือเดินไกลพอสมควรจากตรงศูนย์บริการ พงกผมก่เริ่มมองหน้ากันจนลุงมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งห่างไกลจากหลังอื่นมากแต่มีบ้านพักหลังอื่นอยู่ถัดออกไปพอสมควร ลุงไขกุญแจให้แล้วยื่นให้กับพี่อี พี่อีพูดเล่นๆกับลุงคนนั้นว่า “ทำไมไกลจังอ่ะคับลุง มีไรรึเปล่าเนี่ย” ลุงก้ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกพวกเราว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับคุณ ถ้ามีอะไรก้ไปเรียกผมได้นะบ้านผมอยู่หลังเกาะ ลุงก้ชี้ทางเดินเล็กๆที่ถัดไปจากบ้านพักของผมเป็นทางที่เดินขึ้นเขา พี่อีกำลังจะเปิดเข้าห้อง ผมจึงรีบบอก “เดี๋ยวคับพี่ เคาะห้องบอกเจ้าของเค้าก่อนไหม” ผมเรยถูกสอนมาให้ทำแบบนี้เวลาไปพักที่ไม่ใช่ที่ของตัวเอง แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคคลลืมบอกคัยบ้านที่พวกเราเป็นบ้านไม้เก่าๆ จัดว่าเก่าเลยคับ เมื่อเปิดเข้าไปมีแต่ฝุ่นคับ เหมือนไม่ค่อยมีคันมาดูแลทำความสะอาดเท่าไหร่ พงกผมเข้าไปก้สำรวจกันอยู่พักนึง จนพี่อีบ่นขึ้นว่า ทำไมไอ้ซีมันไม่เลือกบ้านดีๆกว่านี้ว้ะเลือกซะเก่ายิ้มเลย พวกผมก้ยิ้มเบาๆแต่ก่ไม่ใส่ใจอะไรจนเพื่อนผมไอ้เอมันถามว่า “รู้สึกอะไรรึเปล่าว้ะ”คือผมเป็นคนมีเซ้นนอดหน่อยอะคับแล้วก่พอรู้วิชาบ้างนอดหน่อย ผมก็บอก “ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรนะ” ทุกคนดูสบายใจขึ้นมาทันทีก้จัดที่นอนเสร็จพี่ซีกับพี่ดีก้เดินแบกกล้องกลับเข้ามายังบ้านพัก พวกผมก้เปลี่ยนเสื้อผ้าไปเล่นทะเลจนเย็นก็ขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเสร็จก็ทานอาหารเย็นเรียบร้อย แล้วพวกเราก้สังสรรค์ตรงขายหาดหน้าบ้านพักตามประสาวัยรุ่นมีกีตาร์มีเหล้าเบียร์ พวกเราก็เสียงดังพอสมควรเพราะที่พักของเราจัดว่าแยกออกมาจากโซนอื่นเลย จนถึงดึกพี่ซีแกก็พูดขึ้นพร้ิมกับมองออกไปยังทะเล “เห้ยๆดึกจนาดนี้ยังมีผู้หญิงมาเล่นน้ำอีกหรอว้ะ”พวกผมก็มองพร้อมกัน คือทุกคนเห็นหมดนะคับว่าเปนผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อสีขาวพี่ดีแกก็แซวกับพวกผม”ใส่สีขาวมาไม่กลัวซีทรูหรอว้ะ” “จะเห็นได้ไงพี่ดึกแล้ว”ไอ้บีมือกีตาร์มันก้แซวกลัยพร้อมกับเล่นเพลง เอวเธอออกจะเซ็กซี่ยามที่ อะไรนั่นแหละคับก้หัวเราะกัน สักพักผู้หญิงคนนั้นก้ทำท่าดำน้ำเสียงดังจ๋อม พวกผมก้มองพักใหญ่ๆเลย ผู้หญิงคนนั้นไม่โผล่ขึ้นมาหายใจ คือถ้าคนปกติต้องโผล่ขึ้นมาบ้าง พวกผมเห็นท่าไม่ดี พี่ซีก่ถอดเสื้อเลยหันมาบอกพวกผม “ไปช่วยเค้าเร็วเผื่อเค้าจมน้ำ!” พวกผมก้ตั้งท่าเตรียมจะลง พอดีสบจังหวะลุงคนเดิมแกเดินถือไฟฉายมาพอดี คงเดินมาตรวจความเรียบร้อย แกก็ตะโกนพร้อมกับฉายไฟมา “เห้ย!!หนุ่มจะลงกันอีกเรอะดึกขนาดนี้ พวกผมก่ตะโหนบอกลุง ช่วยด้วยลุงมีคนจมน้ำ ลุงก้เดินมาหาพวกผม เรียกว่าจ้ำมาหาเลยดีกว่า พวกผมตอนนั้นครึ่งขาอยุในทะเลแล้ว ลุงบอก”ขึ้นมาๆ เชื่อลุง ขึ้นมา”ลุงตะโกนพร้อมกับกวักไฟฉาย “มีคนจมน้ำนะลุง”ผมหันไปบอกลุงพร้อมกับชี้ไปยังจุดที่พวกเราเห็นผู้หญิงคนนั้นจมลงไป ลุงสบถกลับมาเสียงดัง “ถ้าไม่อยากตายก็รีบขึ้นมาจากน้ำ ลุงขอล้ะขึ้นมาเถอะ” พวกผมมองหน้ากันพากัน งง แต่ก้เดินขึ้นจากทะเล เมื่อพวกเดินขึ้นมา ลุงบอกกับพวกผมว่า “ไอ้หนุ่มเจออะไรห้ามทัก เจออะไรห้ามตาม ก่อนนอนก็สวดมนตร์ด้วยนะ” พี่อีถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมหรอคับลุง” ลุงตอบกลับทำตามที่ลุงบอกนะ จากท้องฟ้าที่ใสๆดาวระยิบระยับตอนนี้เริ่มมีเมฆทึบเข้ามาปกคลุมแทนที่เสรยงฟ้าเริ่มคำรามแผดร้องเป็นสัญญาณเตือนว่าพายุกำลังจะมา พวกผมรีบเก็บข้าวของเข้าบ้านพักทันที ผ่านไปไม่นานลมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกผมก็ตั้งวงเล่นไพ่พยายามไม่คิดถึงสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ จนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกะแทกกับหลังคา ดัง ปัง! ในใจก่คิดว่าคงเป็นพวกกิ่งไม้มั้ง เพราะข้างบ้านเราติดต้นไม้ แต่เหมือนผมรู้สึกแปลกๆ รู้สึกอึดอัด ผมจึงเปิดกระเป๋าหยิบสายคาดเอว เป็น ตะกรุดกับเบี้ยแก้ ซึ่งย่าให้ติดตัวมานานแล้ว ผมยกขึ้นสวดนิดหน่อยแล้วก้ไปแขวนไว้หน้าประตูด้านในห้องนะคับ ไม่ใช่ด้านนอก จนพี่กับเพื่อนหันมาถาม เอ็งทำไรว้ะ ผมก็ตอบกลับไปเพื่อความอุ่นใจน่ะพี่ กลุ่มผมก้พยักหน้ารับประมานว่าเห็นด้วยเล่นกันไปได้พักใหญ่ๆ มีเสียงเหมือนคนเดินอยู่ในน้ำทะเล ผมก้พยายามฟังว่าอาจจะเป็นเสียงคลื่นรึเปล่า แต่ฟังเท่าไหร่ก้ไม่ใช่ เสียงเหมือนเดินขึ้นมาทางหาดหน้าบ้านผม ผมสะกิดไอ้บีที่นั่งติดกับผมให้ฟังว่าได้ยินไหม มันก่บอกได้ยินมาพักนึงแล้ว ผมก้บอก “เอองั้นเงียบๆไว้ก่อนเด้วคนอื่นตกใจ”เวลาล่วงเลยมาจนถึงตี2กว่า
พอหลังจากนั้น พวกเราก้เริ่มเพลียเลยตัดสินใจแยกย้ายกันล้างหน้าแปรงฟันเพื่อเตรียมเข้านอนคับ มีแต่พี่ดีที่กำลังนั่งเช็ครูปในกล้องอยู่ โดยผมนอนติดริมหน้าต่าง ก่อนอนก็สวดมนตร์ขอเจ้าที่เจ้าทาง เผื่อทำอะไรที่รบกวนท่านโดยเวลาผมออกทริปเดินป่ากับพ่อจะสอนอยู่ตลอดอะคับว่าไปที่หนัยต้องเคารพสถานที่ พอผมสวดมนตร์เสร็จก็ล้มตัวนอน พี่ดีเอื้อมไปปิดไฟเหลือแร่ไฟหน้าบ้านพักที่เปิดทิ้งไว้พอให้เห็นบ้าง พี่ดีแกนอนติดฝั่งห้องน้ำเพราะแกเป็นคนตัวอ้วนคับแกเลยอาสานอนริมเลย พอทุกคนล้มตัวนอนได้สักพักเรียกว่ากำลังเคลิ้มได้ที่ มีเสียงทุบเพดานห้องน้ำดังมากและถี่ เสียงประมาน ปังๆๆๆๆๆ!! พวกเราสะดุ้งตื่นกันหมดโดยเฉพาะพี่ดีที่นอนติดริมห้องน้ำสะดุ้งเป็นคนแรกหลังจากนั้นเสียงก็หายไปพวกเรามองหน้ากันแต่ก้พยายามไม่สนใจทิ้งตัวลงนอนต่อ พอนอนปุ้ย เสียงดังอีก ปังๆๆๆๆๆ!! คราวนี้หนักและรุนแรงกว่าเดิม ทุกคนสะดุ้งอีกรอบ บรรยากาศตอนนั้นวังเวงมาก ทั้งลมพัดทั้งฟ้าร้อง เสียงนกร้องบินกันว่อนเหมือนแตกตื่นอะไรสักอย่าง พี่ซีแกพูดขึ้น “หนูป่าวว้ะ” พอสิ้นสุดเสียง เหมือนมีเสียงผู้หญิงหัวเราะแบบเสียงแหลมมากกเลยคับฟังแล้วเสียดๆหู ตอนนั้นเองพี่ดีกับพี่อีที่นอนฝั่งติดห้องน้ำถีบตัวเข้ามาหาพวกโดยอัตโนมัติ ทุกคนมากองรวมกันที่ฝั่งหน้าต่าง พี่ซียังคงใจเย็นพูดขึ้นว่าอาจจะเป็นเสียงต้นไม้เสียดสีกันก็ได้ พี่อีรีบสวนเลย “ต้นไม้น้องลุงหรอเสียงแบบนั้น” หน้าทุกคนดูแบบกังวลมากโดยเฉพาะไอ้บีเป็นคนจัดได้ว่ากลัวผีขึ้นสมอง สายตาพวกเราจ้องไปทางห้องน้ำ ดีที่ก่อนนอนผมปิดประตูห้องน้ำไว้ สักพักมีเสียงผู้ชายหัวเราะเสียงแบบหนักมากกฟังดูเหมือนฟ้าร้องแต่ถ้าฟังดีๆจะรู้เลยว่าไม่ใช่ฟ้าร้องแน่ๆ เสียงดังมาจากทางหลังบ้านซึ่งติดกับห้องน้ำ พี่ซีรีบบอกผมมันที “เห้ยไปดูดิ้” ผมรีบหันขวับ “โห้เอาจริงหรอพี่!?” “เออ เด้วพี่เดินตามหลัง ห้อยพระไม่ต้องกลัว” นาทีนั้นผมอยากจะยัดพระให้พี่ผมแล้วให้พี่มันไปเปิดดูเองจิงๆคับ พอสักพัก ผมค่อยๆเดินไปที่หน้าประตูห้องน้ำใจนึงก้กลัวว่าถ้าเจออะไรแบบนั้นจะช้อคไหมใจนึงก่เอาว้ะเป็นไงเป็นกัน ผมไม่รอช้าถีบประตูห้องน้ำ ปึง! ประตูห้องน้ำเปิดออกแบบรวดเร็ว แต่ในจังหวะนั้น เหมือนมีเสียงดังหล่นดังตุบจากหลังคา แล้วค่อยๆไต่ตามกำแพงนอกบ้าน ย้ำน้ะคับว่าไต่กำแพงเลย เพราะเสียงที่ได้ยินคือ แคว่กๆๆ เหมือนแมวขูดพวกผนังอ่ะคับ เสียงวนอยู่รอบบ้านพักนึง ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้าน ซึ่งบริเวณหน้าบ้านจะเป็นบรรไดขึ้นมานิดหน่อยบริเวณหน้าบ้านจะเป็นพื้นไม้ พวกเรามองตามเสียงตลอดเลยคับเสียงไปทางหนัยเรามองตามตลอด สักพักเสียเหมือนคนเคาะประตูแบบถี่ๆเลยคับ ปังๆๆๆๆๆๆๆ เคาะดังมาก จากที่เรารวมกันอยู่ฝั่งหน้าต่างก้รีบย้ายมาอยุ่ฝั่งห้องน้ำทันที สายตาจ้องไปที่ประตูที่กำลังสั่นไหวด้วยแรงเคาะ สักพักลูกบอดหมุนเองคับ เหมือนมีคนมาบิด บิดเร็วมากคับ คือตอนนั้นพี้ซีที่ว่าแข็งๆยังจ๋อยเลยคับ ทุกคนเหมือนสติจะหลุดให้ได้ พากันพูดว่าเอาไงดีทำไงดี ผมเลยบอกให้ทุกคนตั้งสติคับ แล้วนั่งลง เสียงยังดังอยู่แบบนั้น พร้อมกับมีเสียงแคว่กๆๆๆรอบบ้านอยู่ตลอด สักพักมีปีนขึ้นหลังคาคับ เคาะบนหลังคาเลย ปึงๆๆๆ ไอ้บีร้องไห้เลยคับ ไอ้เอนี่ไม่ต้องพูดถึงดึงผ้าคลุมโปรง ส่วนพี่อีกสามคนนั่งกอดเข่าหลังพิงกำแพงก้มหน้า มีผมคนเดียวที่ยืนอยู่ในใจนึกโกรธที่เล่นกันแรงแบบนี้ ผมจึงตะโกนออกไป “คนอยู่ส่วนคนผีอยู่ส่วนผีซิว้ะ!! เด้วกูแช่งไม่ให้ผุดไม่ให้เกิดเลยไอ่สั่ด!!”สิ้นเสียงผมเท่านั้นแหละ ไฟดับทันทีคับ พรึ่บบ ทีนี้บ้านเบิ้นนี่มืดหมดทุกคนรีบเปอดำฟโทรศัพท์จากหน้าจอทันทีคับ ตอนนี้ลมพัดแรงกว่าเดิมฟ้าแรงกว่าเดิม เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรอบ หน้าต่างนี่สั่นเลยคับ
หลังจากไฟดับ บรรยากาศเข้าสู่ความมืดมิด มีเพียงแค่แสงไฟจากโทรศัพแค่นั้น ทุกอย่างดูท่าจะแย่ลงไปอ่กเมื่อไอ้บี ดันเป็นหอบกำเริบคับ ยาก้ไม่ได้เอามา พี่ทุกคนเลยรีบเข้าไปดูเพราะมีท่าว่าแย่แล้วหายใจไม่ทัน ต่างบอกให้หายใจลึกๆใจเย็นๆ ข้างนอกก็แย่ข้างในก้หนัก จนผมนึกถึงคาถาต่างๆที่ลุงเคยสอนให้กับผมเวลาผมตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ผมไม่คิดเลยว่าจะมีวะนได้ใช้ เสียงเคาะประตูยังดังอยู่ตลอด เสียงข่วนกำแพงยังดังมาแบบไม่ขาดสาย ทุกคนกดดันมากคับไอ้บีเองก็แย่ เสียงหัวเราะดังมาเป็นพักๆๆ เสียงคลื่นที่ซาดกระทบฝั่งน่ากลัวกว่าเสียงคลื่นหนัยๆที่ผมได้ยิน เพราะทุกครั้งเวลาคลื่นเงียบจะมีเสียง คนหัวเราะแหบๆบ้าง ใหญ่ๆบ้าง ลอยเข้ามาตลอด”กูว่ารีบหนีเถอะว่ะไม่งั้นไอ้บีแย่แน่”พี่อีพูดขึ้นหน้าตาทุกคนเป็นกังวลชัดเจน บียังนอนหายติดๆขัดๆ ผมรีบคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับพนมมือหันหน้าไปทางประตู (ผมขออนุญาติบอกคาถาที่ผมได้ใช้ให้กับทุกท่านที่อ่านน้ะคับเผื่อคัยตกอยู่ในสถานการณ์แบบผมจะได้นำไปใช้ได้) ผมรีบบูชาพระรัตนตรัยก่อนทันที แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขึ้นคาถาใดๆ มีเสียงกรีดกระจกหน้าต่างบานเกร็ด เสียงแสบหูมากคับ เสียงเหมือนบาดจิตรมากคับ กลุ่มของผมต่างพากันสบถด่าสวนกลับไปอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับปฐมพยาบาลไอ้บีไป ผมรีบเอามืออุดหูเลยคับตอนได้ยินเสียงนั้น ไม่มีคัยกล้าเปิดม่านดูแม้แต่น้อยว่าต้นเสียงคืออะไร ผมรีบดึงสติกลับมาทันทีคับ ตั้งสติเริ่มขึ้นคาถา ป้องกันภัย10ทิศ ที่ว่า บูรพารัสมิง พระพุทธคุณนัง ผมสวดมนตร์บ่อยเลยจำได้คับ พอขึ้นเท่านั้นแหละ เสียงกรีดดังขึ้นกว่าเดิมคับ แถมถี่ขึ้นผมพยายามไม่สนใจนึกถึงพระรัตนตรัย สวดแข่งกับเสียง กลุ่มผมได้แต่พนมมือตาม ส่วนไอ้บีเริ่มมีทีท่าว่าดีขึ้นคับ พอจบบท เสียงดังกว่าเดิมคับ ลมพัดเอาอะไรไม่รู้ตกใส่หลังคา เสียงดังตึม! ตอนแรกคิดว่าหลังคาคงพังแน่ๆแต่ไม่พังคับ ไม่จบเพียงเท่านั้นเหมือนพวกมันรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไร มันยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้น ทั้งเสียงหัวเราะทุกสรรพเสียงทุกสรรพสิ่งที่มันจะรบกวนผมได้มันทำหมดคับ เสียงทุบกำแพงจากนอกบ้านตึงๆๆ รอบบ้านเสียงดังไปหมด ทุกโสตสัมผัสของผมตอนนี้ได้ยินเสียงอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ผมพยายามตั้งสมาธิแล้วพูดขึ้น “กลับไปในที่ของคุณเถอะ ผมไม่อยากทำร้ายใครไม่ว่าจะผีหรือคน” แต่เหมือนคำพูดนั้นเป็นเพียงลมเปล่าพวกมันยังไม่หยุดแม้ผมจะพูดดีๆ ผมเลยขึ้นคาถาศักสิทธิ์ที่ผู้อ่านทุกท่านคงคุ้นเคยกันดีว่าด้วย “ชะยาสะนาคะตาพุทธา เชตะวามารังสะวาหะนัง ” ถึงตอนนี้ผู้อ่านคงอ๋อแล้วใช่ไหมคับว่าคือคาถาชินบัญชรนั่นเอง นั่นแหละคับพอผมว่าคาถานั้น ทุกสรรพเสียงยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิมและมากกว่าเดิมรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่พยายามดิ้นรน ท่องไปได้กลางบทผมรู้สึกหนักอึ้งเลยคับ หนักไปหมดเหงื่อออกเวียนหัวถึงตอนนี้ทุกอย่างดูคลี่คายลง ทุกโสตสัมผัสผมไม่ได้รู้สึกถึงเสียงที่อยูข้างนอกนั่น แต่ผมรู้สึกหนักบ่าหนักหลัฃหนักคอไปหมดคับ ผมพยายามคับสวดต่อไปจนจบคาถา เริ่มรู้สึกสบายขึ้น ลืมบอกไปผมนับถือท้าวเวสสุวรรณน่ะคับ ที่หอพักผมจะมีบูชาไว้องค์นึง ทุกอย่างดูคลี่คายลงไปคับ พวกผมพากันปลอบไอ้บีว่า ทุกอย่างโอเคแล้ว ปอดภัยว่าแล้วไม่มีอะไรแล้วมันก้นอนหอบแบบหมดสภาพอะคับ ไอเอค่อยๆกะเทิบตัวไปแง้มม่านดู ถึงกับใจรีบเรียกให้ผมไปดูคับ สายตามองออกไปท้องฟ้าแดงก่ำไม่มีดวงดาวหรือแสงอะไรเลยแม้แต่น้อย ไฟจากสะพานหรือจากห้องพักอื่นๆก้ไม่มีแล้วสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งหนักกว่าไปอีกคือ มีเหมือนไอหมอกหนาลอยปกคลุมทะเลเน้นว่าเฉพาะแถวหาดหน้าบ้านพักผมคับผมก้ปิดม่าน พวกพี่ๆก้ถามจะเอายังงัยกันต่อดี รีบหนีออกจากที่นี่ไหม ไปให้คนช่วย พี่ดีก่สวนกลับขึ้นมาว่า “คัยจะเปิดให้เราว้ะ เด้วเค้าก้หาว่าเราบ้าอีก” ผมเลยพูดขึ้นว่า”พวกเรารวมอยู่ที่นี่จะปลอดภัยกว่านะอย่าออกไปเลยอยู่ที่นี่พวกนั้นเข้ามาไม่ได้หรอก” ทุกคนต่างพากันถามผมว่ามันคืออะไร ผีหรอ แล้วทำไมมาทำแบบนี้มันต้องการอะไร คำถามรัวใส่ผมเป็นชุดๆ ผมเลยพูดขึ้นว่า ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันต้องการอะไร พุ่งนี้เราค่อยหาคำตอบไหม เวลาตอนนั้นตีสี่กว่าๆ พวกเรารู้สึกโล่งใจเพราะมันใกล้จะเช้าแล้ว แต่ความรู้สึกดีใจนั้นแทบพังลงไปเมื่อพวกมันกลับมาอีกคราวนี้ไม่เคาะแต่กระแทกเลย ตึง ตึง ตึง!! ทุกคนรีบกรูเข้ามารวมกันทันทีแต่ยังโชคดีที่ไอ้บีมันหลับไปแล้ว หลับลงได้ไงก้ไม่รู้ “มันเอาไม่เลิกจิงๆว้ะ”พี่ซีพูดขึ้น พร้อมกับมองประตูที่แทบจะพังลงมาทุกครั้งเมื่อกระทบกับบางสิ่ง มีเสียงหัวเราะแบบผู้ชายดังเข้ามาอีก เสียงหัวเราะแบบสะใจอะไรสักอย่าง ผมเลยคุกเข่าลงอีกรอบ คราวนี้สวดบทที่ค่อนข้างจะรุนแรงเลยคับ คือคาถาอัญเชิญท้าวเวสสุวรรณ กับ คาถาพยายม พอขึ้นบทสวดประตูเริ่มดังถี่ขึ้นปรานจะหลุดให้ได้ พอจบคาถาท้าวเวสเท่านั้นแหละคับไม่ต้องรอให้ขึ้นคาถาพยายาม เสียงหายไปในทันที ทั้งลมที่ตอนแรกเริ่มจะพัดหนักขึ้นก่เงียบหายไป เสียงฟ้าร้องที่ดังกังวาลร้องเป็นครั้งสุดท้ายของคืนนั้น ผมรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่เงียบสงบ “ไปจริงๆสักที”ผมพูดขึ้นเบาๆพร้อมกับลืมตา หันไปบอกทุกคนว่าพวกมันไปแล้วล้ะ ไม่กล้ามาแล้ว ทุกคนถอนหายใจยาวๆรับรู้ได้เลยว่าทุกคนโล่งอกเป็นอย่างมา พอเวลาใกล้รุ่งข่วงเช้ามืดทุกคนต่างพากันหลับไม่เป็นที่เป็นทางเลยคับ บางคนพิงกำแพงหลับหนุนตักกันหลับก็มีคงเหนื่อยหันมาทั้งคืน แต่ผมยังนั่งอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้นจึงค่อยๆเอนหลังนอนหลับไป
พอหลังจากผมเอนหลับได้สักพักผมก็ฝันว่าตัวผมยืนอยู่ตรงสะพานไม้ที่ยื่นออกไปกลางทะเล ผมเห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีขาวคอกระเช้านุ่งกระโปรงผ้าซิ่นการแต่งกายคล้ายๆคนแทบภาคอีสาน อายุถ้าให้เดาคงรุ่นๆเดียวกับพวกผมนี่แหละหน้าตาซะสวย ผิวขาวดูเปล่งปลั่ง ผมยืนจ้องได้สักครู่ เค้าเริ่มหันมามองผมแบบช้าๆเมื่อหันมาสบสายตาผม ผมรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ดูหม่นหมองผิดกับหน้าตาเค้าอย่างสิ้นเชิง เธอยิ้มแห้งๆ พลางพูดภาษาอะไรสักอย่างที่ผมไม่คุ้นหู แต่ผมกลับเข้าใจทั้งๆที่ไม่ใช่ภาษาไทย ใจความประมาณว่า ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ ผมเลยถามกล้บว่าเป็นใครมาจากหนัยขอโทดเรื่องอะไรทุกอย่างดูเหมือนจริงราวกับไม่ใช่ฝัน ความรู้สึกสภาพแวดล้อมทุกอย่างมันเหมือนจริงมากคับ เค้าบอกว่าเค้าชื่ออะไร มีคนบังคับพวกเค้ามา พวกเค้าไม่อยากมา ผมถามกลับคัยส่งมา มาทำอะไรแกล้งพวกเราหรอ เธอตอบ ไม่ใช่แกล้งแต่หากหมายเอาชีวิตเลย ผมฟังถึงกับตกใจเลยพูดกลับ กะเอากันถึงตายเลยหรอ พวกผมก่แค่นักศึกษาไม่เคยบาดหมางกับใคร เธอไม่ตอบ นิ่งแล้วจ้องหน้าผม ใบหน้าเธอเศร้าหมองมาก ถ้าคุนกลับถึงฝั่งแล้วทำบุญให้พวกเราได้ไหม ผมรีบตบคำรับทันทีเลยว่า ได้สิ่ เด้วจะทำให้ขอให้คุณไปอยู่ในที่ดีๆก็พอ เธอบอกอีกว่าเธอบาปหนามากเพราะเธอทำร้ายมนุษย์หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เธอสู้พวกพวกผมไม่ไหวเธอเจ็บปวดทุกครั้งเวลาเธอจะเข้ามาทำร้ายแต่กลับเข้าไม่ได้แถมยังปวดแสบปวดร้อนที่ได้ยินผมสวดมนตร์ต่างๆ
หลังจากนั้นผมเห็นผู้ชายร่างใหญ่ผิวดำลอยอยุ่ในน้ำแถวๆใต้สะพานที่พวกเรายืนอยู่ ผมยังจำใบหน้าของหญิงสาวปริศสนาผู้นั้นได้ดี ทุกกิริยาเธอไม่มีทีท่าว่าจะดุร้ายหรือน่ากลัวเลยแม่แต่น้อยแต่ทว่าเมื่อคืนเธอคือผีร้ายดีๆนี่เอง เจ้าของเสียงหัวเราะเจ้าของเสียงขูดกำแพง เธอเล่าให้ผมฟังทั้งน้ำตาอดสงสารไม่ได้ สักพักผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงพี่ ซีปลุกให้ลุกขึ้น มนตอนนั้นเป็นเวลาสายๆ ท้องฟ้าปอดโปร่ง ฟ้าสวยมากคับ พี่กีกับพี่อี เรียกให้พวกเราไปดูรอบๆบ้าน ตะลึงกันยกคณะเลยคับเมื่อภาพที่เห็นคือ ตรงกำแพงมีรอยเป็นเหมือนเศษขี้เถ้าติดเต็มไปหมด บริเวณพื่นไม้หน้าบ้านก่เหมือนกันครับ พวกเราเดินสำรวจกันอยู่พักนึง ก่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะเดินทางกลับทันทีคับ ไอ้บีโทรหาแม่มันตั้งแต่เช้าตอนตื่น ไม่น่าเชื่อคับเมื่อคืนนี้สัญญาณโทรศัพท์ไม่มีแม้แต่ขีดเดียว แต่พอตอนรุ่งสางกลับมี แม่ไอ้บีเค้าเป็นห่วงมากคับ ผมกับเพื่อนก้แอบนอยๆว่าจะรีบโทรบอกทำไม ไม่รอขึ้นกลับบ้านไปก่อนแล้วค่อยบอกแต่ก็เข้าใจความรู้สึกมันอะคับ มันคงขวัญหนีดีฟ่อ พี่ๆผมก่สั่งให้พวกผมรีบเก็บข้าวของ เค้าจะไปคุยกับเจ้าหน้าที่ว่าจะมีเรือเข้ามากี่โมง ตอนแรกที่วางแพลนกันไว้คือ จะเที่ยวที่นี่3วัน2คืน แต่เจอเหตุการณ์แบบนั้นเป็นใครจะอยากอยู่ต่อล้ะคับ พวกผมก็รีบเก็บข้าวของกันเลยคับแล้วก้คุยกันไปพลางๆ พอเวลาผ่านไปสักพัก พี่ๆสามคนเดินกลับด้วยใบหน้าที่เซ็งๆเลยคับ หัวเสียกันทุกคน ผมเลยลองถามขึ้นว่าได้รอบกี่โมงคับพี่ พี่ซีก่ตอบกลับ “เจ้าหน้าที่บอกว่าวันนี้เรือไม่เข้ามา เข้ามาอีกทีพุ่งนี้ ” เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างพวกเราสักเท่าไหร่ ยิ่งไอ้บีนี่หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด “แต่พี่ขอย้ายบ้านพักได้ไปอยู่หลังใหม่ตรงแถวๆหน้าหาด”พี่อีพูดขึ้นทำให้พวกเราคลายกังวลได้บ้าง ไอ้เอยังพูดแซวว่ายังดีที่ยังย้ายได้ถ้าไม่ได้จะว่ายน้ำกลับฝั่งเลย ทุกคนก้หัวเราะกันเล็กน้อย ก่อนจะย้ายข้าวของไปบ้านอีกหลังที่อยู่บริเวณหน้าหาดซึ่งมีบ้านพักหลายๆหลังเรียงติดกันแถมยังมีคนพลุกพล่าน พวกเราสบายใจขึ้นเยอะ บ้านหลังใหม่สวยมากสะอาดและหลังใหญ่กว่าเดิม ที่จริงหลังนี้เจ้าของรีสอร์ทจะเป็นคนเข้ามาพัก แต่พี่ซีแกไปโวยวายใส่ จนท. จนเค้าต้องยอมเปิดหลังนี้ให้ เพราะทุกหลังเต็มหมด หลังจากที่พวกเราจัดของจัดที่นอนเสร็จ ก่เปลี่ยนชุดเตรียมไปดำน้ำกัน วันนี้อากาศจัดได้ว่าดีเลยคับ ทุกคนดูผ่อนคลายขึ้นมาก หลังจากเราดำน้ำพายเรือทำกิจกรรมเสร็จ บังเอิญเห็นลุงคนเดิมแกนั่งตกปลาอยู่แถวๆ ปลายสะพานผมเลยเดินไปคุยกับแกอ่ะคับคาดว่าจะได้คำตอบหรืออะไรบ้างจากสิ่งที่เราเจอเมื่อคืน แกเห็นผมเดินมาแกก็ยิ้มให้แล้วก้อทักขึ้น “เป็นไงบ้างพ่อหนุ่ม เที่ยวสนุกไหม” ผมก็พยักหน้ารับพลางยิ้ม ลุงแกเหมือนรู้ว่าผมจะนั่งแกก้เขยิบกระป๋องเบียร์ออกเพื่อให้มีที่ว่าง “ขอนั่งด้วยคนนะคับลุง” ผมพูดพลางย่อตัวนั่ง “เชิญๆคับ”ลุงแกพูดพร้อมกับส่งบุหรี่ให้ผมมวนนึง แต่ผมไม่ชอบสูบบุหรี่เลยปฏิเสธแกไป ช่วงนั้นเป็นบรรยากาศยามบ่ายแก่ๆเข้าเย็นๆคับ ช่วง4โมงกว่าๆ ฟ้ากำลังสวยได้ที่ พี่ๆผมหลังจากอาบน้ำเสร็จแกก้งัดกล้องจึ้นมาถ่ายภาพไว้กันอย่างมันมือตรงบริเวณสะพาน “ลุงคับ เมื่อคืนพวกผมผี” ผมพูดทันทีหลังจากนั่งลงเสร็จ ลุงก็เหมือนกระตุกตัวเล็กน้อย “วันนี้วันที่เท่าไหร่หรอหนุ่มใช่วันที่15รึเปล่า” ผมก็ส่ายหัวพร้อมกับบอกว่า16 “ตายห่าล้ะ แสดงว่าเมื่อวาข้างแรมอสุรฆาตพวกมันถึงกล้าแผลงฤทธิ์” “อสุรฆาตคืออะไรหรอคับ” ลุงแกก็อธิบายให้ฟังว่า “แถวนี้ติดกับพื้นที่ของเขมรแรมอสุรฆาตคือพวกเขมรแถวนี้เค้าเรียกกันโดยบรรดาพวกหมอผีจะปล่อยบริวารออกมาทำร้ายผู้คนโดยจะเอาชีวิตของคนไปเป็นบริวารเพิ่ม เหมือนกับปลดปล่อยให้บริวารไปทำอะไรก็ได้” ผมรีบสวนขึ้น “แต่ที่ผมเคยบวชเณรมาหลวงตาบอกว่าผีไม่สามารถฆ่าคนได้เค้าเป็นเพียงแค่วิญญาณเท่านั้นนิ่คับ” ลุงแกส่ายหัวพร้อมกับบอกขึ้นว่า “ผีห่าพวกนี้ไม่เหมือนผีหรือสัมภเวสีทั่วไปนะหนุ่ม หมอผียิ้มมันเป่าคาถาอาคมให้พวกมันฟังคำสั่ง เป็นผีที่ดุร้าย ใครจิตอ่อนมีหวังโดนมันกินวิญญานตายได้ทั้งนั้น “ผมนี่ขนลุกเลยคับ ผมเลยเล่าเหตุการณ์ให้ลุงฟังว่าผมทำอะไรลงไปบ้างตอนเจอพวกนั้น ลุงแกหัวเราะเบาๆ “หนุ่มยังนับว่าโชคดีนะที่ตั้งสติได้ยังสวดพุทธมนตร์ไล่มันไป แต่หนุ่มเชื่อเถอะพวกมันไม่กล้ามาทำร้ายพวกหนุ่มแล้วล้ะ หนุ่มจำผู้หญิงที่พวกคุณเจอได้ไหมที่พวกคุนจะลงไปช่วยเค้า?” “จำได้สิ่คับลุงตัวท้อปเลยนะน่ะ เมื่อเช้ายังมาเข้าฝันผมเลย” ลุงเลิกคิ้วนิดหน่อย พลางหันไปสูบบุหรี่ต่อ “หลานลุงเอง” คำพูดนั้นทำผมสะดุ้งรีบหันขวับไปทางลุง สายตาลุงดูเหม่อลอยแววตาเศร้ามากคับ “เรื่องมันเกิดเมื่อสิบปีที่แล้ว ลุงชอบวิชาคาถาอาคม ชอบสายนี้มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น เมื่อก่อนลุงอยู่เขมรเลยไปฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ท่านหนึ่ง แต่แล้วมีไอ่หมอผีชั่วยิ้มมันคิดลองดีเลยเล่นคาถาใส่อาจารย์ผม ผมเลยเล่นคาถาช่วยอาจารย์ มันบาดเจ็บเจียนตาย หนีเข้าป่าไปจนพักหลังๆผมได้ยินว่ามันกลับลงมาในหมู่บ้านและตั้งตนเปิดสำนัก มันมาคราวนี้แกร่งกล้าด้วยคาถาอาคม มันมาปิดบัญชีกับอาจารย์ของผม แต่ด้วยมันแข็งกว่า อาจารย์ผมเป็นฝ่ายแพ้และเป็นศพลอยอยู่ในทะเล ลูกศิษย์ต่างพากันกลัวเลยไปเข้ากับมันหมดเหลือแต่ผมที่ยังไม่ยอมอ่อนข้อ มันเลยให้คนไปจับหลานสาวผม มันขืนใจหลานสาวผม หลังจากนั้นมันฆ่าทิ้งแล้วสะกดวิญญานมาเป็นบริวาร” ถึงตอนนี้ผมน้ำตาคลอเบ้าเลยคับ นึกสงสารอย่างมาก เด้วมาต่อนะคับ จุดพีคยังไม่หมดขอเรียกลุงแกว่า ลุงสนล้ะกันคับ ลุงสนจะมาคลี่คลายสถานการณ์ให้พวกเราได้เข้าใจมากขึ้นคับ
ขอแทรกนอดนึงนะคับพอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมเล่าไปช่วงนึงคือตอนที่ลุงสนบอกอะคับว่าทำไมพวกเราถึงโดนเพราะพวกเราดันไปทักเข้าอะคับ จิงๆเค้ากะจะเล่นพวกเราตอนเราลงไปทะเลแต่ลุงสนแกมาเห็นก่อนเลยรอดไปคับ คราวนี้เลยยกแก๊งกันมาเล่นงานเราเลย ต่อนะคับ ลุงสนบอกว่าตัวแกเองชีวิตไม่เหลืออะไรไม่มีญาติพี่น้องที่หนัย เลยมาสมัครทำงานบนเกาะนี้อ่ะคับ แต่ทว่ายังไม่พ้นเงื้อมือหมอผีเลวทรามที่จ้องแต่จะใช้วิชาต่ำๆเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยปกติชาวบ้านแถวนี้จะรู้กันดีเมื่อถึงแรมอสุรฆาตเมื่อไหร่จะรีบปิดบ้านอยู่แต่ในบ้านกันไม่มีใครออกไปหนัยหรอกคับ ผมนั่งสนทนากับลุงสักพักเวลานั้นก็เริ่มโพล้เพล้แล้วแสงอาทิตย์เริ่มลับขอบทะเลความืดเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมมาทุกขณะลุงบอกว่าจะพาพวกเราไปไหว้ศาลตายายอะคับเพราะไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ใหนอีกยิ่งผมไปประทะกับเหล่าบริวารของพวกมันมาด้วย ผมเลยไปตามพี่ๆกับเพื่อนผมพากันไปที่ศาลตายายหลังเล็กๆซึ่งอยุแถวบ้านพักหลังใหม่ของผมคับ ลุงสนกำธูป15ดอกพลางจุดธูปสักพักไฟก้ลุกไหม้บริเวณปลายธูปควันธูปลอยตลบอบอวน ฝรั่งที่เดินผ่านไปผ่านมาพากันเหลียวมองคงคิดว่าพวกยูทำอะไรกัน ลุงสนแกก็นำสวดขอให้นากับยายคุ้มครองปกป้องพวกผม สวดเสร็จก็ปักลงในกระถาง พวกผมก็ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูศาลตายายเนื่องจากศาลมีสภาพเก่าเลยคับ พอหลังจากนั้นลุงสนแกก็พูดกับพวกเราว่า”ไม่ต้องเป็นห่วงนะไม่มีใครมาทำอะไรพวกเราได้หรอกตากับยายท่านจะคุ้มครอง คงไม่มีอะไรแล้วล้ะ”ลุงสนพูดจบก็หันมายิ้มให้กับพวกเราคับก่อนจะขอตัวกลับที่พักของแก พวกเราสบายใจกันขึ้นมากคับ พากันไปกินข้าวแล้วก็นั่งเล่นอยู่ชานบ้านอะคับ มองสาวฝรั่งเดินผ่านไปผ่านมาอย่างเพลินตาเลนทีเดียว ตอนนี้กำลังใจทุกคนดีขึ้นมากคับ ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลย ผมนั่งอยู่เก้าอี้ตรงชานบ้าน ในใจก็ยังนึกถึงผู้หญิงคนนั้น นึกถึงนะคับไม่ได้คิดถึงอย่าพึ่งเข้าใจผิด อดสงสารไม่ได้ พอบรรยากาศเริ่มดึก แขกที่มาพักก็ปิดบ้านกันแล้วคับแต่มีป้าคนนึงสามีแกเป็นชาวฝรั่งอะคับ แกพักอยู่แถวๆบ้านหลังเก่าที่ผมพักแกเดินผ่านมา ก็หันมายิ้มให้กับพวกแล้วทักขึ้นว่า “คืนนี้อย่าแกล้งขังเพื่อนไว้นอกบ้านอีกล้ะ สงสารเห็นเคาะทั้งคืนเลย” สิ้นสุดคำทักทายของเจ๊วัย50 ผมนี่สะดุ้งเลยแล้วก็หันมามองหน้าพวกพี่ๆกับเพื่อนผม “คับๆไม่แกล้งแล้วคับ” พี่ซีบอกพลางยิ้มๆ เจ๊แกก้ยิ้มๆแล้วเดินไปกับสามีฝรั่งขิงแก “เชี่ยเจ๊ยิ้มจะพูดทำไมว้ะ คนยิ่งไม่อยากนึกถึง” พี่ซีหันมาพูดอย่างหัวเสียเลยคับ พวกผมก็เออ ออ กัน ว่าไม่น่าพูดเลย พวกผมเลยเข้าบ้านกันเลยคับไปตั้งวงกันในบ้านแทน เปิดแอร์เย็นสบายกันเลยคับ รู้ตัวอีกทีก็ดึกมากแล้ว สักพักคับ พวกเราทุกคนได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบรรได้ กึกๆๆๆๆ เสียงลงเท้าเน้นทุกจังหวะ พวกเรามองหน้ากันเชิงว่าใครว้ะ ผมรีบคว้าตะกรุดกับเบี้ยแก้เลยคับเตรียมวิ่งไปแขวนไว้ที่ประตู ป๊อกๆๆ เสียงเคาะอีกแล้วคับ ผมรีบแขวนไว้ตรงบูกบิดทันทีเลยคับ ทุกคนเริ่มมองหน้ากัน “เอาอีกแล้วหรอว้ะ”พี่อีเริ่มหงุดหงิด ป๊อกๆๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีก ผมยืนอยู่หน้าประตูเลยคับ แต่กลับได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้ามา “หนุ่มเอ้ยยนี่ลุงเอง” ผมหันไปมองหน้ากลุ่มของผมเชิงว่าเอาไงดี “เห้ยคงเป็นลุงสนมั้ง เปิดดีไหม” ไอ้เอถามพวกพี่ๆส่วนไอ้บียืนหลบหลังพี่ซีคับ “แล้วถ้าไม่ใช่ลุงสนล้ะ”ผมหันกลับไปถามแล้วรีบหันมามองที่ประตูต่อ “ไอ้หนุ่มนี่ลุงเอง” ป๊อกๆๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีก ผมเลยหันไปบอกให้พวกพี่ผมแกล้งคุยถ่วงไว้ก่อนว่ามีอะไร ส่วนตัวผมเดินอ้อมไปทางห้องนอนซึ่งเป็นกระจกบานเลื่อน พี่ผมพยายามห้ามว่าอย่าออกไปเลย คือผมจะออกไปแอบดูว่าเป็นลุงสนจิงไหมๆ ผมสวดคาถาพระพุทธเจ้าชนะมารไว้คุ้มครองตัวเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผมค่อยๆแง้มประตูออกให้เบาที่สุดในใจนี่เต้นระรัวเลยคับ คิดในใจเอาว้ะเป็นไงเป็นถ้าเป็นผีผมสู้ยิบตา ถ้าเป็นไอ้พวกหมอผีเชี่ยๆพ่อจะขอหวดให้หัวทิ่มเลยผีๆก็ผีคนก็คนๆว้ะ ผมค่อยปีนข้ามที่กั้นซึ่งเป็นเหมือนระเบียงไว้ใช้ชมวิวเพราะมองเห็นวิวทะเล ผมค่อยๆปีลงมาจนเท้าแตะพื้นท่ามกลางสายตาของพี่ผมที่มองด้วยความกังวล ผมเจอไม้ท่อนนึงพอดีคงโดนลมพัดหักลงมา ไม้ขนาดพอดีมือ ผมคว้าหมับ พลางเป่าคาถาที่ไว้ใช้เสกพวกหวายที่ไว้ใช้ตีผี ผมได้คสถานี้มาตอนเดินป่าแถวแม่ฮ่องสอน เจ้าหน้าที่ป่าไม้เค้ามักใช้เสกปืนไว้ใช้ยิงเผื่อเจอผีป่าหรือพวกเสือสมิงอะคับ (แต่ผมไม่ใช่หมอผีนะคับแต่เรื่องพวกนี้ชอบวิ่งมาหาตัว) ผมค่อยๆย่องไปมองที่มุมบ้าน เห็นเป็นลุงสนยืนเคาะอยู่คับผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นลุงสนๆจิงหรือเปล่า ผมรีบสาวเท้าวิ่งเข้าหาเลยคับ ลุงสนแกตกใจเห็นผมถือไม้วิ่งมา “เห้ยๆๆ ลุงเอง คนไม่ใช่โจร” ลุงแกรีบตะโกนบอกเมื่อเห็นผมกระโดดข้ามรั้วกน้าบ้านเข้ามา “โจรผมไม่กลัวหรอก”ผมยืนห่างจากลุงแค่ไม่กี่ก้าวใจเต้นตึกตัก มือกำไม้แน่นเลยคับ พวกพี่ผมก็เปิดประตูในมือกำตะกรุดของผมไว้แน่นเลย ลุงสนหัวเราะเบาๆ “นี่ลุงเอง ลุงแค่จะเอาของมาให้ ลุงสนแกหิ้วย่ามขาวมาด้วยอะคับเป็นพวกตะกรุด เก่าๆหน่อย ผมว่าคนแน่ๆเลยเชิญลุงเข้าห้อง ลุงแกก็บอกไม่เป็นไรลุงมาแปปเดียว แกก็ยื่นให้ผม “ลุงเห็นว่าพรุ่งนี้พวกหนุ่มๆก็จะกลับกันแล้วเลยแวะเอาของมาให้จะได้ปลอดภัยกัน” พวกผมก็ยกมือขอบคุณแกคับ แกก็ยกมือรับไหว้ ยังไม่ทันที่ลุงจะหันหลังกลับ จู่ๆลมพัดแบบแรงมากคับ เสียงดังวูบบบบ วูบบบบบ ลุงสนหันขึ้นมองบนฟ้าซึ่งเริ่มแดงก่ำเหมือนเมื่อคืน เสียงนกเริ่มแตกตื่นอีกรอบ แว้กๆๆ เสียงนกบินหนีออกจากรังพลันส่งเสียงร้อง “รีบเข้าบ้านเร็ว!” ไม่ต้องรอให้ลุงสั่งซ้ำสองพวกผมรีบเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว เหลือแต่ลุงสนที่ยังยืนจับจ้องไปยังท้องฟ้า พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ ลุงแกเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับปิดประตูล็อคกลอน พลางยกมือสวดพรึมพำพร้อมกับเป่าไปที่ประตู พวกผมมารวมกันอยู่กลางบ้าน “มันมาอีกแล้วหรอลุง” พวกผมรัวคำถามใส่ลุงสนที่ยังยืนอยู่ตรงประตู “ใช่ครั้งนี้มันมาหนักกว่าเดิม” พวกผมถึงกับเซ็งกันเลยครับ ตกลงนี่พวกเรามาเที่ยวหรือมาผจญกับพวกผีว้ะเนี่ย “แต่พวกหนุ่มไม่ต้องกังวลมันทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก ตากับยายท่านปกป้องอยู่ ลุงขออยู่ที่นี่สักพักนะพอสงบลุงจะกลับ” “ลุงค้างกับพวกผมเลยก็ได้ครับ ไม่ต้องกลับหรอกลุง” พวกผมรู้สึกอุ่นใจคับถ้าลุงสนแกอยู่เพราะแกก็มีวิชาอยู่พอตัว “หึหึหึ!” เสียงฟ้าร้องแต่คล้ายเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกรอบ ปึงๆๆ เสียงเหมือนอะไรกระแทกดังขึ้น แต่ไม่ใด้มาจากบ้านผม เสียงเหมือนไกลออกไป จับทิศทางดูดีๆเสียงดังมาจากศาลตากับยายคับ ปุกปักๆๆๆ เสียงเหมือนพลุคับดังมาก ผมเห็นวัยรุ่นฝรั่งสองคนที่อยู่บ้านถัดไปเปิดประตูออกมาดู แล้วก็ผลุบกลับเข้าไป เสียงยังดังต่อเนื่อง ฝนเริ่มโหมกระหน่ำลงมาแบบไม่ขาดสายสลับกับเสียงฟ้าร้อง แต่ครั้งนี้ไม่มีเสียงหัวเราะของเธอคนนั้น ลมพัดแรงมากคับ “ลุงแกก็นั่งสมาธิ” ผมก็ได้แต่นั่งสวดมนตร์ไปเรื่อยๆ จนมาสวดบทพระไตรปิฏก ผทเสิทเนตในโทรศัพดูเอาอะคับในใจก็คิดขอให้ สิ่งศักสิทธิ บุญบารมีของหลวงพ่อที่ผมนับถือ รวมถึงพระพุทธเจ้า ช่วยให้พวกผมปลอดภัย รอดพ้นจากอัตราย ครึ้มมมมมมมม ครึ้มมมม เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกรอบแต่ครั้งนี้เสียงไม่เหมือนที่ผมได้ยินเมื่อคืนคับ มันรับรู้ได้อะคับว่ามันไม่ใช่ ผมเริ่มสวดแผ่เมตตา และพูดขึ้นว่า บุญใดๆที่ผมเคยได้กระทำทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ผมขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรรวมถึงสัมภเวสีที่ตกทุกได้ยากให้ผลบุญกุศลที่ผมได้อุทิศให้เป็นแสงสว่างนำทางไปสู่ความพ้นทุกข์พ้นจากบ่วงกรรมที่เหนี่ยวรั้ง อย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปบุญใดๆที่ผมได้อุทิศให้ของให้พวกท่านได้รับด้วยเถิด สิ้นสุดคำพูดผมก็วกมือขึ้นสาธุ ผ่านไปสักพัก เสียงฟ้าร้องแผดขึ้นดังมากกกกกคับ หลังจากนั้นฝนเริ่มซาลงคับ ลุงสนลืมตาขึ้นพลางพูดว่า “พวกเค้าไปดีแล้วล้ะ” ผมหันมายิ้ม ร่างกายรู้สึกล้าเต็มทน จัดว่าเพลียเลยคับเพราะอะไรก้ไม่ทราบ ฝนเริ่มหยุด เสียงน้ำกระทบหลังคาเริ่มเบาลง ผมหลับไปตอนหนัยก็ไม่ทราบ พวกพี่ๆบอกว่าพอผมสวดมนตร์เสร็จได้สักพักก็หลับไปเลย คราวนี้ฝันอีกฝันว่า เห็นเธอคนเดินยืนอยู่ตรงสะพานที่เดิม เธอหันมาพูดกับผม ประมานว่า”ขอบคุนนนะที่ช่วยพวกเรา”และหลังจากนั้นผมเห็นเงามัวๆยืนอยู่ข้างหลังเธอเต็มไปหมด มันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แต่ผมจำใบหน้าของเธอได้ แววตาของเธอไม่เศร้าหมองแล้วคับ ผมรับรู้ได้ถึงความอิ่มใจสุขใจ รู้สึกสบายใจแบบบอกไม่ถูก”อย่าลืม สัญญานะ” เสียงนั้นลอยมาเข้าหูผมครั้งสุดท้ายก่อนผมจะค่อยๆลืมตาขึ้น เสียงคลื่นซัดกระซบฝั่ง ไอแดดที่เริ่มส่องเข้ามารับรู้ได้ถึงความรู้สึกร้อนนิดๆ รับรู้ถึงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างกระทบตัว มันช่างเย็นสบายครับ ผมค่อยๆลุกขึ้นเห็นบีนั่งเล่นกรตาร์อยุ่กับเอ ส่วนพี่ๆออกไปหามุมถ่ายรูป ผมมองนาฬิกา เวลาบอกประมาน10โมง “ตื่นล้ะหรอว้ะ จะปลุกอยู่พอดีเรือจะมารับ11โมง” ผมกระเทิบตัวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูนาฬิกาแต่ เจอมิสคอลที่มีชื่อว่าแม่โทรมาประมาน6สายมั้งคับถ้าจำไม่ผิด ผมเลยลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่าเก็บของจึงโทรกลับไปหาแม่ แม่บอกว่าเป็นห่วงผมแปลกๆดลยโทรมา “ลูกโอเคไหม ไม่เป็นอะไรใช่ไหมแม่แค่เป็นห่วงเลยโทรมาหา” คำพูดของแม่ในครั้งนี้ทำให้ผมชื่นใจแปลกๆ ผมไม่เคยคิดถึงแม่ขนาดนี้เลย อยากกลับไปกอดท่านมากๆ “ผมไม่เป็นไรครับแม่ กลับไปขอกอดแม่หน่อยนะ” ผมอ้อนแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็จำไม่ได้เหมือนกันแต่ครั้งนี้มันชื่นใจกว้าครั้งใหนๆ พอคุยกับแม่เสร็จพวกเราก็ขนของไปรอที่ท่าเรือก่อนกลับพวกเราไม่ลืมที่จะไปลาและขอบคุนลุงสนและไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ศาลตายาย เพราะตอนเรามาเราไม่ได้ยกมือไหว้ท่าน เรือเริ่มเข้าเทียบท่า พวกเราก็ขนของลงเรือ จนเรือกลับถึงฝั่ง พวกเราเลยแวะวัดๆวัดนึงที่เราผ่าน ก็ถวายสังฆทานกันครับ ก่อนกลับหลวงพ่อทาานก็พูดกับเราประโยคนึงแต่สายตามองมาที่ผม “บุญกุศลที่โยมทำน่ะยิ่งใหญ่มากนะ ขอให้พวกโยมเดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะ” พวกเราก้กราบลาท่านครับ ทริปครั้งนี้มีเรื่องเล่ามากมายครับ จนผมกลายเป็นเหมือนหมอผีประจำกลุ่มไปโดยปริยาย เพื่อนเจออะไรจะมาบอกตลอด เพื่อนๆที่อ่านบางท่านอาจจะคิดว่า เว่อไปไหม หรือแต่ขึ้นรึเปล่า ผมคงไม่สามารถบังคับให้ท่านเชื่อได้ วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ทุกสิ่ง แต่เชื่ออเถอะครับว่าไม่ใช่ทุกเรื่อง ขนาดผมเรียนด้านวิทยาศาสตร์ผมยังมีข้อโต้แย้งมากมายกับประโยคนี้ ทุกท่านอยากรู้ไหมคับว่าผมสัญญาอะไรกับพวกเค้าไว้ เมื่อกลับถึงบ้าน ผมบอกแม่ว่าผมอยากบวชอุปสมบท ให้กับพ่อแม่แล้วก้เจ้ากรรมนายเวร รวมถึงอุทิศให้กับพวกเค้าด้วยคับ พ่อกับแม่ก็ตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ขัดข้อง จนได้ฤกษ์ยามพอถึงวันบวชพระ ผมก้าวเดินออกจากโบสถ์สายตาเห็นญาติพี่น้องรวมถึงเพื่อนฝูงที่มาร่วมงานบุญยืนกันอยู่ข้างหน้าเพื่อรอรับเหรียญทาน สายตาผมสังเกตุเห็นเธอครับ เธอยืนอยู่ด้านหลังสุด เธอยิ้มมาที่ผม ผมเลยยิ้มกลับพลางคิดในใจ อาตมาทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วนะ ไปสู่สุขตินะโยมทั้งหลาย เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้