จากลูกพระนเรศ

เมื่อปี 2557 ผมได้เขียนกระทู้หนึ่งที่มีชื่อว่า ‘อีกเรื่องเล่า…จากลูกพระนเรศ’ เพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมและคนรอบข้างในช่วงเวลานั้น ในครั้งแรกที่เขียนผมยังไม่ได้คิดอะไรมากแค่อยากเล่า เอาสนุก จนเวลาผ่านไปหลายปีผมยังคงเขียนต่อมาเรื่อยๆ จนมันค่อยๆตกผลึกในความคิดของผมเองว่า ผมอยากเขียนใหม่ เพราะเรื่องราวบางส่วนตกหล่นขาดหายไปค่อนข้างเยอะเพราะไม่ได้ใส่ใจ และไม่ได้สอบถามจากพี่ๆที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆมาอย่างละเอียด อีกอย่างตอนนั้นผมสมมติตัวผมขึ้นมาเป็น บุคคลที่ 3 ไม่ได้ใช้ตัวเองในการเล่าเรื่อง ภาษาที่ใช้ก็ยังไม่เอาอ่าวใดๆ วันนี้ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาใหม่ ด้วยความตั้งใจอย่างแท้จริง เพื่อคงไว้ซึ่งพระนามแห่งท่านในอีกแง่มุมหนึ่ง จึงเลือกวันนี้ที่เป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยนเรศวร และเป็นวันคล้ายวันครบรอบการขึ้นครองราชย์ขององค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในอดีต
          ใครที่เคยได้อ่านกระทู้ก่อนหน้านี้มาแล้ว ไม่ต้องกลัวครับ กระทู้นี้มีหลายๆส่วนที่กระทู้นั้นไม่มี เรียกได้ว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกท่านแน่ๆ ถ้าถามว่า ผมแต่งเพิ่มรึเปล่า… ไม่ใช่ครับผมแค่กลับมาเรียบเรียงความคิดและเหตุการณ์ สัมภาษณ์ทุกคนในเหตุการณ์ถึงสิ่งที่ตกหล่นไปเท่านั้น
ปล.เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล หากท่านใดมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
…………………………………………………………….
นะมามิ สิระสา พิมพัง
พุทธะ ญานะ นเรศวร
สัพพะ ทุกขะ สเมตารัง
สันติทัง สุขขะทัง สะทาติ
…………………………………………………………….
           เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ผมเรียนอยู่ชั้นปี 1 โดยตอนนั้นผมใช้รหัสนิสิตขึ้นต้นด้วย 56 ตามปีที่ใช้ในการสอบเข้า ตอนนี้ผมจบจากมหาวิทยาลัยแห่งนั้นมาได้ประมาณหนึ่งปีเศษแล้ว แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นทุกคนทุกเหตุการณ์ยังคงชัดใจในความคิดของผมเรื่อยมา เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไปโดยสิ้นเชิง
          คำว่า ลูกพระนเรศ ไม่ได้หมายความถึง บุตรและธิดาในองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่เป็นคำที่ใช้เรียกแทนนิสิตในมหาวิทยาลัยนเรศวรซึ่งถวายตัวเป็นลูกหลานเพื่อขอให้ท่านช่วยดูแลคุ้มครองและเป็นนัยถึงการขออาศัยพระนามท่านตลอดการศึกษา โดยทุกๆปีจะมีพิธีถวายตัวสำหรับนิสิตใหม่อยู่เสมอ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยได้เข้าร่วมในพิธีนั้นเช่นกัน
          อาจจะต้องเกริ่นก่อนนิดหนึ่งว่าผมเองเกิดมาพร้อม ความผิดปกติ อย่างหนึ่ง หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่าพวกเห็นผี แต่ผมอาจจะมากไปกว่านั้นสักเล็กน้อยเพราะนอกจากมองเห็นแล้วผมยังสามารถพูดคุยและรับฟังเสียงของพวกเขาได้ในบางเวลา ผมผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะพอสมควรสำหรับตัวผมเอง หลายๆคนอาจเคยได้อ่านกันบ้างแล้วในกระทู้อื่นๆ ผมมีความสามารถพิเศษอีกอย่างคือ ดูดวง ทำให้หลายๆคนเข้ามาหาผมเพราะเรื่องนี้เช่นกัน
          เรื่องนี้เมื่อมาทบทวนดูดีๆแล้วมันเริ่มต้นจากเรื่องราวเล็กๆที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะสร้างความวุ่นวายให้คนหลายคน คืนนั้นผมถูก พี่มุก เรียกให้เข้ามาพบที่ภาควิชาในช่วงหัวค่ำเพราะเพื่อนๆของพี่มุกอยากดูดวงกันหลังจากที่พี่เขาได้เอาผมไปโฆษณาหลอกล่อเพื่อนๆเอาไว้หลายอย่าง
          ผมกับเพื่อนสองคนที่ผมมักจะดึงตัวมันไว้ทุกครั้งที่ต้องออกมาข้างนอกมาถึงที่จอดรถของภาควิชาในช่วงค่ำ เวลานี้ตึกเรียนมีแต่ความเงียบและแสงสีส้มของลานจอดรถ สนามฟุตบอลขนาดใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งถนนมีคนพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นดูน่ารักดี แต่หากมองเลยไปอีกนิดจะมีแต่ทิวไม้และความวังเวง คืนนั้นมืดมากไม่มีแสงจันทร์และแสงดาวช่วยให้ความสว่างแม้แต่น้อย
          เราเดินผ่านโต๊ะยามที่ตอนนั้นว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ ทันทีที่ผ่านประตูเข้ามาก็ต้องหยุดชะงักเพราะทั่วทั้งตึกนั้นมืดสนิทไม่มีแม้ไฟสักดวงเปิดเอาไว้ พวกผมที่เป็นเด็กใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่จึงไม่รู้ว่าสวิทซ์ไฟนั้นอยู่ตรงไหน เราเลือกที่จะเดินผ่านความมืดไปยังอีกฝั่งของตึกภาควิชาที่มีโถงกว้างและอ่างปลาล้อมรอบกั้นเอาไว้
          แฟลชมือถือคือเครื่องนำทางที่ดีที่สุดในเวลานั้น เราเดินมาจนสุดโถงกว้างก่อนจะถึงทางเชื่อมแคบๆออกไปยังโรงอาหารของคณะ ทางเดินตรงนั้นเป็นช่องแคบกว้างประมาณ 4- 5 เมตร สองข้างทางเป็นห้องปฏิบัติการไม่มีหน้าตาที่ตรงนั้นจึงมืดสนิทมีเพียงแสงไฟสลัวๆจากระตูทางเชื่อมที่อยู่สุดทางเดินเท่านั้น
          เรายืนมองหน้ากันอย่างหวาดๆเพราะวันนั้นไม่มีใครอยู่ในตึกเลยสักคนเดียวนอกจากเราสามคน อีกอย่างเราก็ไม่รู้ด้วยว่า ห้องชมรมที่พี่มุกบอกเราไว้มันอยู่ตรงไหนของตึกเรียนแห่งนี้ เพื่อนผมสาดไฟฉายสองไปมาใกล้ๆกับกำแพงห้องน้ำเพื่อมองหาสวิทซ์ไฟทางเดิน
‘อย่าเปิดนะ’
          พวกเราสะดุ้งสุดตัวแทบจะหัวใจวายหลายจากได้ยินเสียงของพี่ส้มที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำใกล้ๆตรงที่พวกผมยืนอยู่ พี่ส้มเห็นว่าเรากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดไฟทางเดินจึงรีบห้ามเพราะเป็นนโยบายประหยัดไฟของทางภาควิชา หลังเวลาเลิกเรียนให้งดใช้ไฟที่ไม่จำเป็น เปิดได้เฉพาะในห้องปฏิบัติการเท่านั้น
          พี่ส้มที่เป็นเพื่อนของพี่มุกซึ่งผมเคยเจอมาก่อนแล้วสองสามครั้งเดินนำพวกเราไปตามทางเดินอย่างคล่องแคล่ว อาจเพราะพี่เขาอยู่ที่นี่มาเกินกว่า 5 ปีแล้วก็เป็นได้ เราเดินตรงมาได้ประมาณครึ่งหนึ่งของทางเดินยาวก็เห็นห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่มีประตูสองชั้นกั้นเอาไว้อีกทั้งตรงส่วนที่เป็นกระจกของประตูยังมีกะดาษและฟิวเจอร์บอดร์ดปิดเอาไว้ทั้งแผ่น ไม่แปลกที่เราจะไม่เห็นแสงสว่างจากห้องนี้เลย
          ผมเดินเข้ามาในประตูของห้องที่มีป้ายไม้เล็กๆติดเอาไว้หนือวงกบว่า ‘ชมรมเคมี’ ผ่านประตูไม้ชั้นแรกจะมีประตูกะจกอีกหนึ่งบานก่อนเข้าไปในห้อง ด้านในเป็นห้องเล็กๆมีโต๊ะเก้าอี้และโซฟาประมาหนึ่งตามมุมห้องมีชั้นหนังสือเอาไว้เก็บหนังสือเรียนและวิทยานิพนธ์ของรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
          ภายในห้องนั้นตกแต่งด้วยสีขาวทั้งหมด วันนั้นมีพี่ๆ ป.โท มานั่งรอผมอยู่ประมาณ 6-7 คนรวมพี่มุกและพี่ส้มที่เพิ่งนำทางมา แต่ผมกลับสะดุดตากับรุ่นพี่คนหนึ่งที่ผมยังไม่ทราบชื่อในตอนนั้น พี่เขานั่งอยู่ที่มุมในสุดของห้องสายตาที่เขามองมาที่ผมนั้นไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ มันแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่พอใจที่มี
‘กรุกลับแล้วนะ’
          ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากทักทายพี่ๆในห้องพี่คนนั้นก็ลุกเดินออกจากห้องผ่านตัวผมไปโดยที่ไม่มองหน้ากันเลยสักนิด ตอนที่พี่เขาเดินผ่านผมไปนั้นผมรู้สึกเย็นสันหลังวาบขนลุกชูชันไปจนถึงต้นคอ ด้วยความตกใจจึงหันตามไปมองพี่เขาที่ตอนนี้แผ่นหลังเพิ่งพ้นประตูหน้าห้องไป แล้วภาพที่เห็นก็ทำให้ผมต้องขนลุกอีกครั้งเพราะพี่คนที่เพิ่งเดินออกไปนั้นมีเงาดำแปลกๆเดินตามเขาไปด้วย
          ผมเดินไปตรงประตูทางออกยื่นหน้ามองตามพี่เขาบนทางเดิน แม้จะเป็นแค่ชั่วแวบเดียวที่ได้เห็นแต่ภาพนั้นก็ติดตา เบื้องหลังของรุ่นพี่ที่เพิ่งเดินออกไปนั้นมีเงาร่างดำทะมึนของชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินตามติดด้วยระยะห่างไม่ถึงครึ่งเมตร ชายคนนั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้าช่วงล่างเป็นผ้าโจงกระเบนเก่าๆมัดเอาไว้อย่างลวกๆ ตามเนื้อตัวมีรอยสักเป็นอักขระยันต์หลายแห่ง แต่ที่น่าขนลุกที่สุดคือแอกไม้ขนาดใหญ่ที่ล่ามมือทั้งสองข้างให้อยู่สูงขึ้นมาในระดับเดียวกับหัว
           หลังจากตกใจและได้สติกลับมาภาพตรงหน้านั้นก็หายไปเหลือเพียงเสียงฝีเท้าของรุ่นพี่ที่เดินผ่านความมืดออกไปยังหน้าตึกภาควิชา ตัวผมเองเดินกลับเข้ามาสนทนากับพี่คนอื่นๆที่ยังเหลืออยู่ในห้องเล็กๆนั้น
          พี่มุกบอกกับผมว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาถึงนั้น พี่วิท ที่เพิ่งเดินออกไปเป็นคนหนึ่งที่อยากดูดวงกับผมเป็นอย่างมากและค่อนข้างตื่นเต้นตั้งแต่วันที่พี่มุกได้คุยให้ฟังก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะเหยียบเข้ามาในห้องนี้พี่เขาเองยังคงพูดคุยกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน ยังพูดอยู่เลยว่าจะถามเรื่องนั้นเรื่องนี้
‘เพื่อนพี่มันเป็นอะไรรึเปล่า’ พี่มุกถามเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง
‘จะว่ามีมันก็คงมีแหละครับ พี่เขาดูแปลกๆ’ ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไปอย่างชัดเจนในตอนนั้น
          เราเปลี่ยนหัวข้อสนทนากันก่อนชั่วคราวเป็นเรื่องของพี่ๆที่นั่งอยู่ในห้องนั้นแทนจนเวลาล่วงเลยไปเกือบครึ่งคืน ก่อนจะกลับพี่มุกกับเพื่อนๆวนเข้ามาถามถึงพี่วิทอีกครั้ง ผมไม่ได้มีข้อสรุปใดๆให้ เพียงแต่บอกเล่าในสิ่งที่เห็นเท่านั้น ผมสังเกตได้นิดหนึ่งว่าสีหน้าของทุกคนในห้องดูไม่ประหลาดใจนักเหมือนกับคาดการณ์กันไว้อยู่ก่อนแล้วว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้
          ด้วยความสงสัยผมจึงถามกลับไปว่า ‘มีอะไรหรือเปล่า’ แต่พี่มุกก็ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังบอกไว้แต่ว่า ‘แล้วจะบอกอีกที’ แต่ตอนนี้พี่มุกต้องการทางออกเพื่อช่วยเหลือและเพื่อพิสูจน์ว่า ตอนนี้มันมีสิ่งผิดปกติเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเพื่อนของพวกเขาจริงๆแล้วหรือไม่
          ทางออกที่ผมแนะนำคือการ ไปเอาน้ำมนต์จากวัดใหญ่มาให้พี่วิทดื่ม เพราะโดยปกติแล้วน้ำมนต์ที่ผ่านการสวดทำวัตรมาอย่างยาวนานจะมีพุทธคุณมากพอที่จะขับไล่สิ่งไม่ดีให้ออกไปจากคนนั้นๆได้ แต่ถ้าไม่ได้มีอะไรเกาะกุมอยู่ก็จะเป็นเพียงการดื่มน้ำธรรมดาๆเท่านั้น หากเกิดอาการใดๆขึ้นมาเราอาจจะพอสรุปได้อย่างคร่าวๆว่า มันไม่ปกติ
          วันรุ่งขึ้นพี่มุกและเพื่อนๆนัดกันว่าจะไปเอาน้ำมนต์ตามที่ผมบอกในช่วงเช้าเพราะผมกำชับไว้ว่าควรจะเป็นช่วงเวลาก่อนเพลจะดีที่สุด แต่แผนที่วางไว้ก็กลับตาลปัตรทั้งหมดเพราะทุกคนติดต่อกันไม่ได้ ไม่ว่าใครจะโทรหากันก็โทรไม่ติดเหมือนสัญญาณไม่ดีหรือไม่ก็โทรศัพท์พัง แปลกที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน เมื่อติดต่อกันไม่ได้ก็ยังไม่มีใครเคลื่อนตัวออกจากหอพัก กลัวว่าจะคลาดกันไปมา
          พี่ส้มที่เป็นเจ้าของรถยนต์ร้อนใจกลัวว่าจะมาไม่ทันตรงกับที่พี่มุกก็คิดเช่นนั้น พี่มุกตัดสินใจขี่รถมอเตอร์ไซด์ออกจากหามาที่หอพักของพี่ส้มทั้งที่ไม่สามารถติดต่อกันได้ เมื่อมาถึงก็พบว่าพี่ส้มได้มายืนรออยู่ที่จอดรถด้วยอาการกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว
          หลังจากทั้งสองคนได้เจอกันนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาว่ามันเกือบๆจะสิบโมงแล้ว ทั้งสองตัดสินใจขับรถยนต์ออกจากหอโดยจะวนไปจอดที่หอพักของเพื่อนๆทุกคนที่นัดไว้ ถ้าเจอก็เจอ ถ้าไม่เจอก็จะไปกันสองคนทั้งอย่างนี้ ทุกวินาทีที่นั่งอยู่บนรถพี่มุกพยายามกดโทรศัพท์โทรหาเพื่อนทุกคนสลับกันแต่มันก็ยังไม่ได้ผลเช่นเดิม แม้จะเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ของพี่ส้มก็ให้ผลไม่ต่างกัน
          โชคดีเป็นของทุกคน เพราะเมื่อรถยนต์ของพี่ส้มเคลื่อนตัวมาถึงหน้าปากซอยก่อนจะเข้าสู่ถนนใหญ่รอบมหาวิทยาลัย พวกเพื่อนคนอื่นๆก็วนรถมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่หน้าซอยนั้นพอดิบพอดี ทุกคนรีบเอารถไปเก็บที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆก่อนจะขึ้นรถมาด้วยอาการกระวนกระวายไม่แพ้กัน
          บนรถทุกคนพูดขึ้นมาพร้อมๆกันว่า ‘ทำไมเราโทรหากันไม่ติด’ ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้แต่ทุกคนก็คิดเหมือนกันๆว่าจะเสี่ยงดวงเอาเลยขี่รถออกมาแล้วก็โชคดีที่ทั้งหมดมาเจอกันตรงหน้าปากซอยโดยบังเอิญ เรื่องแปลกๆยังไม่หมดแค่นั้นตลอดทางจากมหาวิทยาลัยไปถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุนั้นเป็นตัวเลขประมาณ 10 กิโล ทั้งที่พี่ส้มขับรถยนต์จนชินมือแล้วแต่วันนั้นรถกลับกระตุกเหมือนจะดับอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีรถใหญ่อย่างรถทัวร์รถบรรทุกคอยเบียบดและแซงอย่างหน้าหวาดเสียวอีกหลายครั้งจนคนในรถกรี๊ดตกใจกันไปตามๆกัน
          การเดินทางที่แข่งกับเวลาทำให้คนขับรถเริ่มเครียด แต่ก็ต้องพยายามประคองตัวเองให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด เมื่อมาถึงที่วัดก็ยังต้องเสียงเวลาวนรถหาที่จอดอีกพักหนึ่งเวลาที่เหลือเริ่มน้อยลงเรื่อยๆจนพี่มุกบอกว่าจะลงจากรถไปก่อนเพื่อวิ่งไปยังวิหารก่อนแล้วค่อยให้เพื่อนๆตามมาทีหลัง
          เมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้นพี่ส้มก็ได้ที่จอดรถในทันที ทุกคนเลือกที่จะวิ่งแทนที่จะค่อยๆเดิน ที่ทางเข้าด้านข้างวิหารทุกคนพยายามมองหาถังน้ำมนต์ที่ผมบอกเพราะไม่เคยมากันเอง ตรงนั้นมีพระรูปหนึ่งยืนกวาดลานวัดอยู่ใกล้ๆ พระรูปนั้นเห็นพวกพี่ๆก็ยิ้มเรียกให้เข้ามาหาแล้วถามว่า ‘มาเอาน้ำมนต์กันเหรอโยม ทางนี้ๆ’

พระรูปนั้นชี้นิ้วไปทางประตูเล็กๆข้างวิหารจะเห็นถังน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่มีสายสิญจน์โยง ด้วยความไม่รู้อีกเช่นกันพวกพี่ๆไม่มีภาชนะมารองน้ำมนต์กลับไปเพราะคิดว่าที่วัดจะจัดเตรียมใส่ขวดไว้แล้วให้มาบูชา พี่มุกขอรบกวนพระรูปนั้นอีกครั้งหนึ่งเรื่องภาชนะที่จะเอามาใส่น้ำมนต์กลับ
          พระท่านเดินหายเข้าไปตรงที่นั่งพักใต้ต้นไม้ใกล้ๆนั้นแล้วกลับมาพร้อมขวดพลาสติกในมือ พี่มุกรีบวิ่งไปกรอกน้ำมนต์ลงขวดอย่างรวดเร็ว และก็เป็นเรื่องแปลกเพราะทันทีที่น้ำมนต์เต็มขวดปิดฝาเรียบร้อย เสียงกลองเพลดังก้องให้สัญญาไปทั่วทั้งวัด ก่อนกลับพวกพี่ๆเข้าไปกราบลาพระท่านอีกครั้งและขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้
‘หมดเคราะห์หมดโศกนะโยมนะ’
          พวกพี่ๆกลับมาถึง ม. ได้อย่างปลอดภัยตลอดทางขากลับรถยนต์ไม่แสดงอาการกระตุกเหมือนตอนขาไปเลยแม้สักนิด พี่มุกกับเพื่อนๆนัดเจอกันอีกครั้งในช่วงเย็นของวันเพราะพี่วิทยังติดงานกับอาจารย์อยู่ในช่วงบ่าย
          ช่วงเย็นเวลาประมาณ 5 โมงพี่มุกเข้ามาที่ตึกพร้อมกับขวดน้ำมนต์ในมือโดยที่มีเพื่อนคนอื่นๆนั่งรอตรงม้านั่งข้างหน้าภาควิชาอยู่ก่อนแล้ว พี่มุกมองไปรอบๆหาตัวเพื่อนสนิทอย่างพี่วิทแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมาถึงแล้ว พวกพี่ๆนั่งรอพี่วิทต่ออีกสักประมาครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลา
          พี่วิทเดินออกมาจากตึกภาคด้วยสีหน้างุนงงว่าเพื่อนมาทำไมกันเยอะแยะพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ พี่มุกเป็นคนเอ่ยปากทักทำเป็นชวนคุยแล้วก็หลอกจะให้กินน้ำมนต์แต่มันก็ไม่เนียนสักเท่าไหร่ ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่วิทสังเกตได้ด้วยตัวเองหรือใครบางคนรับรู้ว่าน้ำในขวดนั้นไม่ใช้น้ำธรรมดาอย่างที่พี่มุกอ้าง

ยิ้ม

จะเอาอะไรให้กรุกิน’ พี่วิทเสียงแข็งมองหน้าเพื่อนที่กำลังยื่นน้ำให้
‘ก็น้ำไง ทำงานมาเหนื่อยๆ กินน้ำ’ พี่มุกยังพยายามคะยั้นคะยอต่อไป
          หลังจากใช้เวลาชักชวนเชิงบังคับอยู่นานพี่วิทก็ยอมรับน้ำไปดื่ม น้ำที่แบ่งไปนั้นเป็นแก้วเล็กๆไม่เยอะมากดื่มทีเดียวก็หมดแต่พี่วิทก็เลือกที่จะจิบๆเอาเท่านั้น ทันทีที่จิบน้ำมนต์ไปแล้วพี่วิทก็เดินออกไปที่ทางข้างตึกไม่พูดไม่จา สักครู่เพื่อนก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังอาเจียน
          พี่มุกวิ่งตามไปดูเห็นพี่วิทกำลังพยายามจะอาเจียนเอาน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา ‘อย่าอ้วกนะ!’ พี่มุกตะโกนห้ามแต่ก็เหมือนจะไม่ฟัง พี่มุกจึงเดินเข้าไปลากแขนเพื่อนออกมาจากตรงนั้นด้วยตัวเอง แล้วบอกให้เพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มไปส่งพี่วิทที่หอพักในทันที
          พี่มุกกับพี่วิทยืนรอเพื่อนเอารถมารับอยู่ตรงฟุตปาธหน้าตึก พี่วิทดูเงียบมากกว่าปกติไม่พูดไม่จายืนเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เพื่อนที่ไปเอารถก็ยังไม่มาสักทีจนพี่มุกตะโกนไปถาม เพื่อนก็ตะโกนตอบกลับมาว่า สตาร์ทไม่ติด ทำอย่างไรก็ไม่ติด
          สุดท้ายเพื่อนเลือกที่จะเข็นรถมาจอดเทียบข้างทางที่ทั้งสองคนยืนอยู่แทนเพื่อให้เพื่อนๆมาช่วยกันสตาร์ทรถ หลังจากพยายามอยู่นานรถก็ยังไม่ติด จนพี่มุกคิดเอาเองในใจแล้วว่ามันคงไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปอย่างแน่นอน พี่มุกพนมมือท่วมหัวสวดมนต์แผ่เมตตาให้กับรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่
          ตอนที่ผมได้ฟังเรื่องนี้ผมก็รู้สึกว่ามันดูตลกอยู่เหมือนกันแต่มันก็แปลกที่หลังจากจบบทสวดมนต์รถก็ติดขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือสีหน้าของพี่วิทที่ตอนนี้ฉายแววไม่พอใจเป็นอย่างมาก พี่วิทขึ้นคร่อมซ้อนที่ด้านหลังให้เพื่อนเป็นคนขับออกไป รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากที่ตรงนั้นอย่างช้าๆโดยที่มีพี่วิทเหลียวหน้าหันมามองพี่มุกด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างชัดเจนจนรถลับสายตาไป
          หลังจากเพื่อนคนนั้นเอาพี่วิทไปส่งไว้ที่หอแล้วพี่มุกกับเพื่อนๆก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจกังวลว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่าจึงตัดสินใจกันว่า คืนนี้ทุกคนจะไปนอนเป็นเพื่อนพี่วิท
          ทุกคนแยกย้ายกันกลับบหอพักเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวมาเจอกันในช่วงค่ำๆตามที่นัดกันไว้ เรื่องแปลกๆก็เกิดขึ้นอีกในตอนที่พี่มุกและพี่ส้มกำลังอาบน้ำอยู่ ระหว่างหลับตาก็ปรากฏภาพของชายร่างใหญ่นุ่งโจงกระเบนสีแดงเข้มเด่นชัด ชายคนนั้นยืมมองด้วยสีหน้าและดวงตาของความไม่พอใจ ทั้งสองคนตกใจกับสิ่งที่เห็นจนเกือบจะเป็นลม
          พี่ส้มออกจากห้องน้ำมารีบกดโทรศัพท์หาพี่มุกเพราะกลัวสิ่งที่เห็น และมันก็ตรงกันกับที่พี่มุกเห็นพอดีทั้งสองคนคิดเอาเองว่าอาจเป็นเพราะเรื่องไปเอาน้ำมนต์เมื่อเช้า เพราะพี่มุกกับพี่ส้มเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องนี้ ทั้งสองคนจะบอกกันว่าให้รีบแต่งตัวแล้วออกมาเจอกันที่ร้านข้าวใกล้ๆแล้วกัน
          ยังไม่ทันที่จะได้แต่งตัวเก็บข้าวของให้เสร็จ พี่มุกก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนคนที่ไปส่งพี่วิทกลับหอ ใจความนั้นทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก ‘พี่วิทหายไป’
          พี่คนนี้เป็นผู้ชายจึงใช้เวลาเตรียมตัวไม่นานเลยออกมาจากหอก่อนเพื่อนๆเมื่อไปถึงหอพักของพี่วิทก็เคาะประตูอยู่นานไม่มีคนเปิด จึงลองบิดลูกบิดประตูดู
          ห้องไม่ได้ล๊อคเอาไว้ ข้าวของในห้องยังอยู่ตามปกติแม้กระทั่งไฟและพัดลมก็เปิดไว้ที่มากไปกว่านั้นคือรองเท้าของพี่วิทก็ยังอยู่ในห้องตามปกติ แต่เมื่อเดินไปเปิดประตูห้องน้ำดูก็ไม่พบตัวของเจ้าของห้อง เมื่อลองโทรเข้าโทรศัพท์ก็พบว่ามันถูกทิ้งเอาไว้ในห้องอีกเช่นกันรวมถึงกระเป๋าตังค์ที่วางไว้ข้างๆกัน
          เพื่อนๆรีบมารวมตัวกันที่หอของพี่วิทโดยเร็วที่สุดบางคนก็ออกไปขี่รถวนหาดูก็ไม่พบจนถึงช่วงหัวค่ำพี่วิทก็เดินกลับเข้ามาที่หน้าหอพัก เพื่อนๆเดินเข้าไปถามว่าไปไหนมาก็ได้คำตอบว่า ไปที่ลานสมเด็จมา ถามว่าไปยังไง เดินไป ไปกับใคร ไปคนเดียว แล้วทำไมไม่ใส่รองเท้า ไม่รู้ ไปทำไม ไม่รู้
          ท่าทางของพี่วิทดูไม่ค่อยอยากสนทนากับเพื่อนสักเท่าไหร่ดูไม่พอใจและค่อนข้างจะรำคาญ สุดท้ายพี่วิทก็ขอแยกตัวกลับขึ้นไปบนห้องก่อนทั้งๆอย่างนั้น
          พี่แม็กเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มถูกทิ้งให้อยู่เป็นเพื่อนพี่วิทเพราะทุกๆคนยังไม่ได้กินข้าวก็ต้องรีบมาก่อนเลยออกไปซื้อข้าวเข้ามากินกัน
          ช่วงที่พี่แม็กอยู่เฝ้าพี่วิทในห้องนั้นพี่แม็กไม่ได้รู้มาก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างเพราะก่อนหน้านี้พี่เขาติดสอนพิเศษเกือบตลอดเลยไม่ได้มารับรู้ด้วย พี่แม็กบอกแค่เพียงว่าวิทดูเงียบๆไม่ชวนคุยก็นึกว่าแค่ง่วงเพราะเห็นเอาแต่นอนผ้าห่มคลุมหัวอยู่บนเตียง
          ไม่นานเพื่อนทุกคนก็กลับมากันครบพร้อมกับข้าวในมือ ระหว่างนั่งกินข้าวกันพี่วิทก็ไม่ยอมลุกมากินด้วยบอกว่าไม่หิว ตลอดเวลาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในผ้าห่มหันหลังให้เพื่อนๆ
‘วิท 

ยิ้ม

ยังใส่พระอยู่ป่าว’ อยู่ดีๆพี่มุกก็ถามขึ้นมา
‘วิท ได้ยินกรุไหมเนี่ย’ พี่มุกถามซ้ำหลังจากที่ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา
           พี่วิทยังคงไม่ตอบซึ่งมันผิดปกติ เพื่อนๆมองหน้ากันก่อนจะมีคนลุกไปจับพี่วิทพลิกตัวกลับมาเพื่อบังคับให้สนทนากัน พอพี่วิทหันมาก็ให้คำตอบว่า ‘ไม่ได้ใส่’ สร้อยที่แม่ให้พี่วิทมาพกติดตัวตอนนี้ถูกวางไว้บนหัวนอนซึ่งปกติแล้วเขาจะใส่อยู่ตลอดไม่เคยเห็นถอดเลยสักครั้ง
‘ทำไมไม่ใส่’ พี่มุกถาม
‘เกะกะ อึดอัด รำคาญ’
          คำตอบที่ได้ยินทำให้เพื่อนๆรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลัง พี่มุกและเพื่อนๆพยายามบังคับให้พี่วิทใส่พระอีกครั้งแต่แน่นอนว่าพี่วิทเองไม่ยินยอม พี่มุกพยายามคะยั้นคะยอก็แล้วก็ไม่ได้ผล เพื่อนๆทุกคนก็ช่วยกัน จากการขอให้ใส่พระกลายเป็นช่วยกันสวดมนต์ เพราะคิดว่าคงจะช่วยได้บ้าง
          พี่มุกที่สวดมนต์อยู่เป็นประจำเป็นคนนำสวดแล้วให้เพื่อนคนอื่นๆจับตัวจับมือพี่วิทลุกขึ้นมานั่งสวด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่คาดไว้มาก นอกจากพี่วิทจะปฏิเสธแล้วพี่วิทก็เริ่มร้องไห้สะอดสะอื้นพร้อมกับพูดประโยคเดิมๆวนไปวนมา
‘พวก

ยิ้ม

จะทำอะไรกรุ’
          ทุกคนหยุดมองเพื่อนที่ตอนนี้นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่บนเตียงพร้อมกับผ้าห่มที่ยังคลุมสูงจนถึงใบหน้า ภาพที่เห็นนั้นยิ่งตอกย้ำความผิดปกติของเพื่อนที่รู้จักกันมานานกว่า 7 ปี
          เพื่อนๆในห้องตัดสินใจบังคับให้พี่วิทใส่สร้อยพระด้วยการขึ้นไปนั่งคร่อมกดให้นอนลงกับเตียง เพื่อนๆช่วยกันจับแขนและขาไว้ ในช่วงแรกพี่วิทยังร้องไห้น่าสงสารเฝ้าถามแต่ว่า ‘พวก

ยิ้ม

จะทำอะไรกรุ’ น้ำเสียงและท่าทางนั้นทำให้เพื่อนเริ่มสงสารและใจอื่น จึงผ่อนแรงที่มือลงจนพี่วิทดิ้นหลุดจากสภาพนั้น

พอรู้สึกตัวทุกคนก็รีบกดพี่วิทไว้ดังเดิมโดยมีพี่แม็กเป็นคนนั่งคร่อมหยิบเอาสร้อยบนหัวเตียงมาคล้องคอเพื่อนตรงหน้าอย่างทุลักทุเล พี่วิทพยายามดิ้น เพื่อนๆก็พยายามกด พี่แม็กพยายามสอดห่วงคล้องของสร้อยคอให้ลงล๊อคเพื่อสวมสร้อย
‘ได้แล้ว!’
          พี่แม็กตะโกนลั่นห้องหลังจากพยายามอยู่นาน แต่ตอนที่กำลังจะลุกลงจากตัวเพื่อนนั้นสร้อยที่คอมันก็เด้งหลุดออกจากกันลงมากองบนเตียงอย่างน่าประหลาด ทุกคนหน้าซีดมองหน้ากันแล้วพ้อมใจกันออกแรกกดให้มากกว่าเดิม พี่แม็กที่ยังนั่งคร่อมอยู่พยายามสอดสร้อยนั้นเข้าห่วงอีกครั้ง
          ครั้งแล้วครั้งเล่าที่สร้อยถูกสอดคล้องเข้าที่ห่วงล๊อค แต่ก็หลุดออกลงมากองที่ที่เตียงทุกครั้งไป พี่ส้มบอกให้พี่แม็กลองเปลี่ยนที่กันดู พี่ส้มใช้ความพยายามอย่างมากเช่นกัน ด้วยความทุลักทุเลใส่เข้าจนหลุดออกอยู่หลายครั้ง ในที่สุดพี่ส้มก็สามารถใส่สร้อยพระลงบนคอพี่วิทได้ในท่านั่งคร่อมอย่างนั้น
          ทันทีที่สร้อยพระถูกใส่ลงบนคอเรียบร้อยไม่มีทีท่าว่าจะหลุดออกอีกพี่วิทก็สงบลงนอนหมดแรงอยู่บนเตียงอย่างนั้นเมื่อทุกคนแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นมาอาละวาดหรือถอดสร้อยออกอีกจึงค่อยๆปล่อยทยอยลงจากเตียงมานั่งเฝ้าเพื่อนคนนี้อยู่กับพื้นห้องแทน พี่มุกคิดแล้วว่าเรื่องมันเริ่มบานปลายใหญ่โตจะปล่อยไว้อย่างนี้ก็คงจะไม่ไหวเสียแล้ว
          ตัดภาพมาที่ผมในวันเดียวกันนั้นตัวผมเองมีกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยที่ต้องเข้าร่วมคือ Freshy night เป็นกิจกรรมที่นิสิตใหม่ทุกคนต่างรอคอยยิ่งในปีนั้นคอนเสิร์ตที่จัดภายในยังเป็นวงที่ผมชื่นชอบเอามากๆอย่าง Sweet Mullet กิจกรรมเป็นไปอย่างสนุกสนานตลอดตั้งแต่ช่วงบ่ายไปจนถึงช่วงกลางคืน
          ก่อนงานคอนเสิร์ตจะมีการประกวดคัดเลือกดาวเดือนมหาวิทยาลัยซึ่งก็สนุกสนานไม่แพ้กัน ผมได้รับสายโทรศัพท์จากพี่มุกตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่งแต่ตอนนั้นผมยังสนุกกับงานข้างในอยู่จึงรับสายแล้วตอบปัดๆไปก่อนว่า ‘เดี๋ยวโทรกลับครับ ยังไม่ว่าง’
          พี่มุกเงียบหายไปรอการติดต่อกลับจากผมแต่ผมคิดเอาไว้ว่าจะโทรกลับหาพี่เขาหลังงานเลิก พี่มุกโทรมาหลายครั้งจนต้องกดรับสายแล้วตอบกลับไปอีกครั้งว่า ‘ยังไม่ว่างครับ’ บวกกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มทั่วฮอลทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงของพี่มุกเลยแม้แต่น้อย ผมกดวางสายในทันที
          ผ่านไปไม่นานพี่มุกก็กดโทรศัพท์มาหาผมซ้ำอีกหลายครั้งโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องโทรมาติดๆกันอย่างนี้ แต่แล้วโทรศัพท์ของผมก็แบตหมดเอาเสียดื้อๆคงเพราะผมนั่งเล่นมันมาทั้งวันตั้งแต่เข้ามาในฮอลกิจกรรมนี้ ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรคิดว่าเลิกงานค่อยยืมโทรศัพท์ของเพื่อนโทรกลับไปหาเอา
          เพียงเวลาไม่กี่นาทีหลังจากที่โทรศัพท์ของผมแบตหมดไปแล้ว ต้อม เพื่อนของผมที่อยู่อีกมุมหนึ่งของแถวที่นั่งก็เดินข้ามมาหาผมหน้าตาตื่นๆพร้อมยื่นโทรศัพท์ให้บอกว่า ‘พี่มุกโทรมา’
‘ฮัลโหลครับพี่’ ผมต้องตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีและคนดู
‘แกปิดเครื่องหนีพี่หรอวะ’ พี่มุกตะโกนกลับมา ผมต้องอุดหูอีกข้างจึงจะพอได้ยิน
‘เปล่าพี่ แบตมันหมด เลิกงานโทรหาได้ไหม’
‘แกออกมาตอนนี้เลยได้ไหม วิทมันแย่แล้ว’
          ผมได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาแต่ก็ไม่สามารถจะออกไปจากในงานได้เพราะเป็นกิจกรรมบังคับของทางมหาวิทยาลัย จึงได้แต่บอกไปว่ารอให้งานเลิกก่อนแล้วกัน อีกอย่างผมก็ยังสนุกอยู่กับวงดนตรีด้วย
          พองานเลิกผมเดินออกมาพร้อมกับเพื่อนอีกสามสี่คนตกลงกันว่าจะแวะไปหาอะไรกินกันก่อนกลับเข้าหอพัก แต่ว่าก่อนหน้านั้นคงต้องตามผมไปหาพี่มุกที่รออยู่ก่อน ตอนนั้นผมไม่ได้บอกเพื่อนว่าการไปหาพี่มุกนั้นมีจุดประสงค์อะไรบอกไว้แค่ว่า มีธุระ
          ผมยืมโทรศัพท์ต้อมโทรกลับหาพี่มุกเพื่อถามทาง พี่เขารับสายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดคงเป็นเพราะรอผมอยู่หลายชั่วโมงแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ก็คนมันไม่ว่างจะให้ทำอย่างไร ผมยื่นกุญแจมอเตอร์ไซด์ให้เพื่อนขี่เพราะผมต้องคุยเรื่องเส้นทางกับพี่มุก
          พอออกประตูสี่ใกล้กับคณะวิศวะเลี้ยวเข้าซอยมืดๆมาจนสุดซอยจะเจอกับทางตันซึ่งมีหอพักตั้งอยู่ใกล้ๆนั้นมีต้นโพธิ์ใหญ่ครึ้มสูงตั้งตระหงาดอยู่เช่นกัน บรรยากาศภายในซอยนั้นเปลี่ยวและเงียบสนิท วังเวงจนน่าขนลุก เพื่อนๆที่ขี่รถตามกันมาเร่งเครื่องให้เข้ามาเกาะกลุ่มกันมากขึ้น
          ระหว่างทางพี่มุกมารอรับที่หน้า 7-11 หน้าปากซอยแล้วนำทางพวกเราไป เมื่อมาจนถึงหอพักของพี่วิทพวกเราจอดรถกันตรงรั้วติดกับถนน พี่มุกเดินนำไปนั่งที่ศาลาของหอพักสีหน้าของพี่มุกดูไม่สู้ดีนักยิ่งทำให้สถานการณ์มันชัดเจนขึ้นว่าเรื่องที่เรากำลังจะต้องเจออยู่นั้นไม่ใช่เล่นๆแล้ว
          ผมขอให้พี่มุกเล่าเรื่องราวให้ฟังทั้งหมดอีกครั้งอย่างเร่งรีบรวมถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดและสาเหตุว่าทำไมจึงต้องเรียกให้ผมเข้ามาภายในคืนนี้อย่างกะทันหัน พี่มุกสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พวกผมทั้งหมดฟังพร้อมๆกันอีกครั้ง
‘เป็นไง แก้ได้ไหม’ พี่มุกที่สงบสติอารมณ์ลงได้แล้วหันมามองหน้าผม
          ผมยังไม่ได้ตอบขอใช้เวลานิ่งๆต่ออีกสักหน่อยเพื่อสื่อสารกับใครก็ตามที่อยู่บริเวณนี้ ผมหลับตาลงท่ามกลางคนล้อมรอบตัวตั้งจิตให้สงบเพื่อรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น หากชายผู้นี้ยังมีบุญวาสนา หากชายผู้นี้เป็นผู้ถูกกระทำขอให้ท่านทั้งหลายช่วยเปิดทาง บุญกุศลใดๆที่เขาได้สร้างขอให้หนุนนำชักจูงพวกเราเดินไปทางสว่างสู่ทางออกในที่สุด
          เมื่อเสร็จสิ้นการอธิฐานจิตภาพในหัวของผมก็ปรากฏเป็นแบงค์ยี่สิบเก่าๆใบหนึ่งลอยเด่นชัดในความมืด บนผืนกระดาษนั้นมีอักขระที่ผมไม่รู้จักเขียนเอาไว้เต็มไปหมด
‘พี่มุก พี่วิทเขาพกยันต์อะไรติดตัวบ้างไหม’
‘ไม่มีนะ ไม่เคยเห็นมันพูดถึงเลย’
‘ผมว่ามีครับ พี่มุกช่วยบอกให้ใครก็ได้ไปค้นกระเป๋าตังค์พี่เขาดู ถ้าเจอ เอามาให้ผมตอนนี้เลย’
          พี่มุกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนที่อยู่ข้างบนถ่ายทอดข้อความตามที่ผมบอกครบถ้วนทุกพยางค์ จากนั้นเราก็ทำได้เพียงแค่ รอ เท่านั้น
          หลังจากพี่แม็กได้รับสายโทรศัพท์จากพี่มุกถึงเรื่องแบ็งค์ยี่สิบนั้นพี่เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งว่าจะแอบหยิบออกมาอย่างไรให้เจ้าตัวไม่สงสัย และอีกอย่างสภาพของพี่วิทตอนนี้ก็น่ากลัวเสียเหลือเกินเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่มานั่งเฝ้าด้วยกันก็เริ่มน้ำตาคลอเบ้าแล้วด้วย
          พี่แม็กค่อยๆกระซิบบอกเพื่อนที่นั่งใกล้เตียงที่สุดให้มองหากระเป๋าตังค์ของพี่วิทที่น่าจะอยู่หัวเตียงใกล้ๆกับโทรศัพท์ พี่คนที่นั่งใกล้สุดเห็นสิ่งที่ต้องการแล้วค่อยๆหยิบมันมาไว้ในมือซ่อนเอาไว้ข้างหลังเงียบๆ สะกิดให้เพื่อนที่นั่งติดกันส่งต่อกันมาเรื่อยๆจนถึงมือพี่แม็กที่นั่งอยู่นอกสุดติดประตู
‘เห้ย พวก

ยิ้ม

 แม่โทรมาว่ะ ออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะ’
          ทันทีที่ได้กระเป๋าตังค์มาเก็บไว้ในมือพี่แม็กก็ปลีกตัวออกมานอกห้องเพื่อค้นกระเป๋าตังค์ในมือตามคำบอกเล่าของพี่มุก
          พวกผมนั่งรออยู่ข้างล่างได้สักครู่หนึ่งพี่แม็กก็เดินกึ่งวิ่งลงมาจากชั้นบนหน้าตาตื่น ในมือชูของบางอย่างห่างจากตัวอย่างเด่นชัด ในมือของพี่แม็กคือแบ็งค์ยี่สิบเก่าๆจนเกือบจะเปื่อยยับยู่ยี่ บนนั้นมียันต์อักขระเขียนเอาไว้เต็มไปหมดรวมถึงทองคำเปลวหลุดลอกออกมาจนเหลือเพียงเศษเล็กๆ
          ผมรับมันมาไว้ในมือเพื่อพิจารณาดูว่ามันคืออะไร สิ่งที่ถูกเขียนอยู่บนนั้นไม่ใช่อักขระทางพุทธคุณที่ผมคุ้นเคยแต่มันเป็นเหมือนกับอักษรในอีกภาษาหนึ่งที่ผมไม่เคยเห็น แต่ที่แน่ๆมันคงไม่ใช่ของดีเพราะทันทีที่หยิบมันมาไว้ในมือผมก็รู้สึกเวียนหัวและอยากอาเจียน
‘เอามันไปทิ้งใต้ต้นโพธิ์เลยครับ อย่าไปเสียดายมัน’
          ผมยื่นคืนให้พี่แม็กแต่พี่เขาก็ดูกล้าๆกลัวๆไม่อยากจะแตะต้องมันอีกผมจึงหันไปยื่นให้ต้อมที่ผมดูแล้วว่าดวงแข็งมากพอที่จะทนทานกับสิ่งไม่ดีเหล่านี้ได้มากไปกว่านั้นต้อมเองก็มีใครบางคนคอยคุ้มครองอยู่เสมอการจะเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากมากนัก

‘ไปครับ ขึ้นไปข้างบนกัน’
          ผมและเพื่อนๆเดินตามพี่มุกขึ้นมาข้างบนพร้อมๆกับพี่แม็ก ผมจำไม่ได้แล้วว่าห้องพักของพี่วิทนั้นอยู่ชั้นอะไรจำได้แค่ว่าหอพักนั้นค่อนข้างเก่าและมีท่อน้ำอยู่นอกกำแพงไม่ได้ฝังเอาไว้อย่างหอสมัยใหม่ ไฟที่มีค่อนข้างสลัวและติดๆดับๆ พี่มุกหันมาบอกกับพวกเราว่า พี่วิทอยู่หอนี้มาตั้งแต่ ป.ตรี จนตอนนี้ป.โทแล้ว พี่เขาเองก็ไปมาหาสู่กับเพื่อนตลอด ยังไม่เคยรู้สึกว่ามันวังเวงเท่าครั้งนี้มาก่อน
          ผมยังไม่ทันจะได้ถามว่าห้องพักของพี่วิทคือห้องไหนก็มีคนให้คำตอบกับผมแทน หมาจจัดที่วิ่งไปมาอยู่แถวๆหอผลัดกันหอนรับเป็นจังหวะ เสียงเย็นเยียบของพวกมันทำเอาคคนหมู่มากอย่างพวกผมขยับเข้ามาใกล้กันอย่างพร้อมเพรียง
          ผมมองไปยังประตูห้องเบื้องหน้าที่ตอนนี้มีพี่มุกมองหน้าผมเหมือนเป็นเชิงถามว่าพร้อมหรือยัง ผมพะยักหน้าให้นิดหนึ่งก่อนที่พี่มุกจะบิดลูกบิดเข้าไปข้างใน ทันทีที่ประตูถูกเปิดผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นที่คุ้นเคยลอยมาปะทะหน้าด้วยน้ำหนักประมาณหนึ่ง
          ผมใช้เวลาครู่หนึ่งหลับตา สวดบทอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพและคอยดูแลผมอยู่เสมอมา จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าแล้วก้าวเท้าตามพี่มุกเข้าไปในห้องนั้น
          ในห้องมีพี่ๆป.โทคนอื่นๆอยู่อีกหลายคน ทุกคนนั่งอยู่บนพื้นที่มุมห้องห่างจากเตียงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สายตาที่พวกพี่ๆมองผมนั้นยากที่จะแปลความหมาย เหมือนมีคำถามเหมือนมีข้อสงสัยหลายอย่างส่งผ่านมันออกมาแต่ที่ชัดเจนที่สุดก็คงจะเป็นพี่วิท
          ชายผิวคล้ำร่างผอมแห้งแต่สูงโปร่งนั่งคุดคู้คลุมโปงอยู่บนเตียงในห้องที่ไม่ได้เปิดแอร์ ผ้านวมหนาๆห่มคลุมตัวเขาอย่างไม่กลัวว่าจะร้อนหรือเป็นลมไป สายตาที่จับจ้องมายังผมนั้นดุดันและแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้สบตากันซึ่งๆหน้าอย่างนี้

ยิ้ม

เอามันมาทำไม กรุเกลียดมัน’ เสียงทุ้มต่ำของพี่วิทลอดผ่านผ้านวมออกมา
‘อะไรของ

ยิ้ม

 เพิ่งจะเจอกันไปเกลียดอะไรน้อง’
          ผมเดินเข้าไปนั่งที่กลางห้องโดยไม่สนใจคำด่าทอของเจ้าของห้อง นั่งมองหน้าเขาอย่างสงสัยและอยากรู้ ใครกันที่เข้ามาแฝงอยู่ในกายนี้ ใครกันที่ต้องการจะทำร้ายชายคนนี้ อะไรที่ทำให้คนเราเลือกใช้ คุณไสยที่รุนแรงขนาดนี้กับใครสักคนหนึ่งได้ลงคอ
‘ปล่อยเขาเถอะครับ พูดไปก็ไม่ฟังหรอก หาน้ำให้ผมสักขวดสิครับ’
          พี่คนหนึ่งในกลุ่มเปิดตู้เย็นส่งน้ำที่ยังไม่ได้แกะพลาสติกให้ผม ในตอนนั้นผมต้องการจะทำน้ำมนต์อีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่น้ำมนต์อย่างในวัด พวกผมเรียกมันง่ายๆว่าเป็นน้ำมนต์ล้างอาถรรพ์ มันไม่ได้มีพุทธคุณด้านดีๆเหมือนอย่างน้ำมนต์จากพระหรือวัดแต่มันมีสรรพคุณในการชะล้างสิ่งไม่ดีโดยตรง
          ระหว่างที่ผมทำน้ำมนต์ตามความรู้ที่มีพี่วิทก็ถามถึงของในกระเป๋าตังค์ของตัวเอง ‘ใครเอาอะไรของกรุไปไหน’ ผมเหลือบตามามองพี่เขานิดหนึ่ง แต่พี่แม็กที่เป็นคนหยิบมันออกมาตกใจจับเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เป็นไปไม่ได้ที่คนนอนอยู่ในห้องจะรู้ว่าคนนอกห้องทำอะไรบ้างในเวลานั้น
          หลังจากทำน้ำมนต์เสร็จผมก็ให้พี่ๆเขาเอาไปให้พี่วิทกิน แน่นอนว่าเขาไม่ยอมกิน แม้ว่าเสียงของพี่วิทจะง่วนอยู่กับกาปฏิเสธเพื่อนๆตรงหน้าแต่สายตาคู่นั้นไม่เคยละไปจากผมเลยแม้สักวินาที
          หลังจากการบอกแกมบังคับพวกพี่ๆก็สามารถกรอกน้ำมนต์ใส่ปากของพี่วิทได้ ภาพที่เห็นนั้นเหมือนเด็กที่กำลังโกรธไม่ยอมกินข้าวเขาอมน้ำไว้อย่างนั้นไม่ยอมกลืนจนถึงขั้นที่เพื่อนต้องใช้มือมาช่วยปิดปากกว่าจะกลืนลงไปได้
          เพียงอึกเดียวชายร่างผอมแห้งคนนั้นก็ล้มตัวลงนอนกับเตียงด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ไม่ใช่เพราะน้ำมนต์ที่ผมทำนั้นรุนแรงอะไร แต่มันเป็นเพราะคุณไสยหรือวิญญาณใดๆก็ตามที่แฝงอยู่ในกายเนื้อนั้นมีฤทธิ์มาก การต่อต้านความไม่เข้ากันของกระแสบวกและลบจะยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น ร่างกายที่เป็นของมนุษย์ธรรมดาจึงเป็นเรื่องยากที่จะทานทนความรุนแรงนั้นได้ หากคิดภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงภาพเวลาเราราดน้ำลงไปบนน้ำมันร้อนๆ นั่นแหละครับ คล้ายๆกัน
          พี่วิทแม้จะลงไปนอนกับเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรงแล้วสายตาของพี่เขายังของแข็งกร้าวดังเดิม สายตาที่มีแต่ความโกรธความเกลียด ตลอดเวลาก็บ่นพึมพำในลำคอว่า ‘กรุเกลียดมัน’
          ผมเรียกหาน้ำอีกสักแกลลอนหนึ่งอย่างจะให้มีเก็บไว้เพื่อให้พี่วิทไว้ใช้ดื่มกินอีกสักพักใหญ่และอยากจะแจกจ่ายให้พี่ๆคนอื่นๆเก็บไว้ด้วยเพราะทุกคนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวในเรื่องนี้มีสิทธิ์ที่จะไม่ปลอดภัยเช่นกัน
          ตลอดเวลาในการทำน้ำมนต์เพิ่มดวงตาคู่นั้นจ้องผมจนมันแห้งและแดงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งของพวกพี่ๆตอนนี้นั่งน้ำตาไหลเพราะความกลัวอยู่ด้านหลังสุดแล้ว เมื่อผมทำมันเสร็จผมยื่นให้กับพี่มุกเก็บเอาไว้โดยกำชับไว้ว่า ‘เก็บไว้ให้ดี นอนเฝ้าเลยยิ่งดี กลางคืนอาจจะมีคนมาแย่งเอาไป ไม่ก็ทำให้หกจนหมด ส่วนพรุ่งนี้พาพี่วิทมาทำบุญที่ภาคให้ได้ จะลากถูยังไงก็ต้องเอามาให้ได้ คืนนี้ทำได้แค่นี้ ต้องรอพรุ่งนี้เช้า’
          ผมลุกขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่ามันจบลงแล้ว พี่ๆคนอื่นๆเดินตามออกมาส่งพวกผมทั้งหมด ผมคิดว่าพวกพี่เขาคงกลัวที่จะนั่งอยู่ในนั้นมากกว่า ก่อนจะออกจากห้องไปผมหันไปสบตากับ ‘ใครบางคน’ ที่ผมเชื่อสนิทใจว่านั่นไม่ใช่ พี่วิทของทุกคนอย่างแน่นอน สายตาที่จ้องกลับมายังคงแดงก่ำและเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
          เมื่อลงมาถึงด้านล่างพี่คนที่เป็นขับรถมาส่งพี่วิทก็พูดขึ้นมาว่า อย่าเพิ่งไปจะเล่าอะไรให้ฟัง
          ในตอนที่พี่แม็กออกจากห้องและลงเอาของมาให้ผมข้างล่างนั้นเพื่อนๆในห้องพยายามจะชวนพี่วิทคุยเพื่อนคลายบรรยากาศให้กลับมาเป็นปกติ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น พี่วิทไม่ยอมพูดคุยและไม่ตอบโต้ใดๆ เพื่อนๆเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการถามแทน โดยถามถึงเรื่องทั่วๆไปที่พวกพี่เขารู้กันดี
‘กรุไม่รู้’
          ไม่ว่าจะถามอะไรออกไปคำตอบของพี่วิทก็มีเพียงประโยคเดียวสั้นๆจนทำให้เพื่อนๆเริ่มเอะใจและว่ามันไม่น่าจะใช่แค่ความรำคาญไม่อยากพูดคุย ด้วยเหตุนี้เพื่อนๆจึงลองถามต่อไปอีก

ยิ้ม

ชื่ออะไร’
‘วิท’
‘กรุชื่ออะไร’ คนถามชี้หน้าตัวเอง
‘…’
‘คนนี้ชื่ออะไร’ คนถามชี้ไปที่เพื่อนอีกคน
‘…’
‘แม่

ยิ้ม

ชื่ออะไร’
‘กรุไม่รู้’
‘บ้าน

ยิ้ม

อยู่ที่ไหน’
‘กรุไม่รู้’
          ตอนนี้เพื่อนๆแน่ใจแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาไม่ใช่เพื่อนที่เขารู้จักอีกต่อไป แต่เป็นใคบางคนที่เข้ามาแฝงมาแทรกแทรกร่างของคนคนนี้
          พวกเราลาพี่ๆและแยกย้ายกันกลับหอพัก ต้อมเป็นเพื่อนที่อยู่หอห้องตรงข้ามกับผมพอดีรู้สึกกลัวกับสิ่งที่เพิ่งได้พบเจอเป็นครั้งแรกจึงขอมานั่งเล่นในห้องผมสักพักก่อนจะกลับเข้าไปนอนพักในห้องของตัวเอง
          ระหว่างที่อยู่ในห้องพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมากมายนัก เรายังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นแม้ว่าต้อมอยากจะถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรวมถึงสิ่งที่ผมเป็น แต่มันคงยังไม่ใช่โอกาส เราต่างคนต่างเล่นโทรศัพท์ของตัวเองเพราะยังนอนไม่หลับ

ก๊อก ก๊อก
          เสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง ต้อมที่อยู่ใกล้ๆกำลังจะลุกไปเปิดให้ ‘เดี๋ยว’ ผมห้ามไว้ก่อนเพราะรุ้สึกว่ามันแปลกๆ ผมหยิบนาฬิกาตอนนี้ก็ปาไปดึกดื่นค่อนคืนใครจะมาเคาะเรียกในเวลานี้ ผมบอกให้เขารออีกนิดหนึ่งก่อนถ้าเป็นคนจริงอย่างไรก็ต้องเคาะซ้ำ
ก๊อก ก๊อก
          เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ต้อมลุกขึ้นไปเปิดด้วยความมั่นใจแต่พร้อมๆกับตอนที่ต้อมจับลูกบิดประตูเสียงเคาะดังขึ้นเป็นครั้งที่สามแต่คราวนี้ต้อมปล่อยมือจากมันอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งมานั่งใกล้ๆผม
‘มีเสียงเคาะแต่ประตูมันไม่สั่นเลยว่ะ’
          เวลาเราเคาะประตูมือที่กระทบกับไม้หรือกระจกจะให้น้ำหนักและมีการสั่นของบานประตูทุกครั้ง ไม่เชื่อก็ลองทำดูได้ครับ
‘กรุบอก

ยิ้ม

แล้ว’
          พวกเรานั่งกันอยู่เงียบๆในห้องเพื่อรอดูว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปโดยที่ในมือผมก็ควานหาพระที่ใส่ไว้ในกล่องตรงหัวนอนมาไว้ในมือเช่นกัน คราวนี้เสียงมันไม่ได้จบอยู่แค่ประตูหน้าห้อง เสียงเดินตึงตังเหมือนคนกระทืบพื้นดังมาจากเพดาน ดังไปทั่วๆเหมือนคนวิ่ง และยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็มีอีกเสียงหนึ่งแทกขึ้นมาในอากาศ
ก๊อก ก๊อก
          คราวนี้เป็นเสียงเคาะประตูกระจกตรงระเบียงหลังห้องที่ไม่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ผมหันไปมองประตูเลื่อนบานนั้นที่ไม่ได้ปิดม่านเอาไว้ ไฟจากถนนยังส่องสว่างทำให้เห็นระเบียงข้างนอกได้อย่างชัดเจน ที่ตรงนั้นไม่มีใคร ไม่มีนก ไม่มีหนู มีแต่ความว่างเปล่า แต่เสียงเคาะนั้นก็ดังซ้ำอยู่อีกหลายที
          เกือบครึ่งชั่วโมงที่เสียงเคาะดังอยู่อย่างนั้นจนเงียบไปในที่สุด เรายังนั่งถ่างตากันต่ออีกพักหนึ่งก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเพลีย
          ในตอนเช้าเราต้องรีบเข้ามาที่ถาควิชาก่อนคนอื่นๆเพราะเด็กปีหนึ่งอย่างพวกผมมีหน้าที่จัดเตรียมสถานที่ทุกครั้งเวลามีงานกิจกรรมใดๆก็ตามภายในภาควิชา วันนั้นเป็นวันทำบุญใหญ่ของภาคที่จัดขึ้นทุกปี ผมที่ได้รับมอบหมายดูแลเรื่องไฟและเสียงยังง่วนอยู่กับลำโพงที่ติดตั้งไม่ได้สักที

ยิ้ม

ๆ พี่มุกเขาถามหา รออยู่ข้างนอก’ เพื่อนผมคนหนึ่งเดินมาเรียก
          ผมเดินออกไปหาพี่มุกที่หน้าตึกภาค สีหน้าของพี่มุกไม่ได้ดีขึ้นเลยตั้งแต่เมื่อคืน อาจเรียกได้ว่ามันแย่ลงไปอีกเสียด้วยซ้ำ
‘วิทมันไม่ยอมมา’
          ประโยคเดียวสั้นๆก็เข้าใจว่าทำไมพี่มุกถึงเครียดขนาดนี้ แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก ตอนนี้พี่วิทเก็บตัวอยู่ในห้องล๊อคประตูเพื่อนที่ไปเคาะเรียกก็ไม่สามารถจะเปิดเข้าไปได้ เลยมาถามผมว่าพอจะมีวิธีไหม ในตอนนั้นผมคิดออกแค่วิธีเดียว
          ผมเดินไปเรียกเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆให้พาออกไปข้างนอกหน่อยเพื่อจะไปหาซื้อธูป พอผมกลับมาผมก็เดินออกไปกลางแจ้งที่หน้าภาคจุดธูปเรียกให้พี่วิทเข้ามาร่วมงาน วิธีนี้คล้ายๆกับการจุดธูปเรียกคนเป็นเวลามีคนหายหรือไม่ยอมกลับบ้านนานๆ
          ผมออกแรงจุดไฟแช็กอยู่หลายครั้งมันก็ไม่ติดมีแต่เสียง แชะ แชะ น้ายามที่ยืนอยู่ใกล้ๆเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้ามาหายื่นไฟแช็กอันใหม่แกะกล่องของตัวเองให้ผมใช้ ผมแกะพลาสติกเองกับมือ แต่มันก็เหมือนเดิมจุดเท่าไหร่ก็ไม่ติด คราวนี้ผมลองเริ่มสวดมนต์ดูบ้าง
          ไฟแช็กจุดติดเปลวไฟสูงแรงอย่างที่คิดแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำเอาเพื่อนของผมที่ยืนช่วยอยู่ใกล้ๆตาค้าง ปลายธูปนั้นจมอยู่ในเปลวไฟอย่างชะเจน แต่กลับไม่มีรอยไหม้เลยแม้แต่น้อย ผมจ่อไฟอยู่อย่างนั้นเป็นนาทีจนรู้สึกร้อนมือ แต่มันก็ยังไม่ติด เพื่อนคนนั้นเรียกคนอื่นๆมายืนล้อมเพื่อบังลม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
          ผมพักมือเพราะว่าร้อนมาก ก่อนจะจุดมันใหม่อีกครั้ง คราวนี้มันไม่ใช่ไม่ติด แต่มันแตกกระจายออกเป็นชิ้นๆคามือผมเลย คราวนี้ผมคงไม่ได้เล่นกับของเบาๆเสียแล้ว เพื่อนที่มายืนล้อมก็งุนงงกันไปตามๆกัน ครั้งนี้ผมคงต้องอาศัยสิ่งที่มีอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
          การยืนนิ่งๆกำหนดจิตดูเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่เรื่อยๆในช่วงนี้ การอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอบารมีท่านทั้งหลายมาคุ้มครองก็เช่นกัน หลังจากทำดังนั้นเสร็จ ผมก็เดินไปหาของที่จะมาจุดไฟได้แทน โดยที่คราวนี้ได้มาเป็นไม้ขีดไฟตราพญานาคที่คุ้นหูคุ้นตากันดี
‘จะได้หรอวะ ออกไปซื้อไฟแช็กใหม่ไหม’
          เพื่อนที่ยืนดูอยู่ตลอดเริ่มไม่มั่นใจถึงสิ่งที่เห็นแล้ว ผมบอกว่าต้องลองดูจึงหยิบไม้ขีดออกมาอันหนึ่งแล้วจุดมันขึ้นมา ผมกระชับธูปในมือให้เข้าที่แล้วจ่อลงไปบนไฟเปลวเล็กๆของไม้ขีด ไม่เชื่อก็คงต้องเชื่อ เพราะคราวนี้แค่ไฟดวงเล็กๆจากไม้ขีดทำเอาธูปในมือลุกติดไฟจนท่วมได้อย่างง่ายดาย
          เพื่อนที่ยืนดูอยู่ตอนนี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก ผมเดินเอาธูปนั้นไปปักกลางแจ้งใกล้ๆกับต้นโพธิ์เจ้าที่ของภาควิชา ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองคนในภาคคนนี้ให้พ้นภัย ในเวลาต่อมาต้นโพธิ์ต้นนี้กลายเป็นที่พึ่งทางใจและทุกคนจะต้องมาไหว้บอกกล่าวทุกครั้งก่อนจะจัดงานอะไรจนทุกวันนี้
          ผมเดินกลับเข้ามาข้างในตึกที่มีพี่มุกรออยู่ โทรศัพท์ของพี่มุกดังขึ้นพร้อมกับที่ปลายสายบอกว่า พาพี่วิทมาได้แล้ว ระหว่างรอพี่วิทมาพี่มุกก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนพวกเพื่อนๆมานอนเฝ้าพี่วิทกันในห้องนั้นแกลลอนน้ำมนต์ที่ผมทิ้งไว้ให้พี่มุกเป็นคนนอนกอดไว้ทั้งคืน แล้วมันก็จริงอย่างที่ผมว่าไว้ ในช่วงค่อนคืนพี่มุกรู้สึกถึงแรงดึงที่มีต่อขวดน้ำ
          พี่มุกไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่ตื่นตัวรับรู้ทุกอย่างด้วยสติครบครับ แรงดึงขวดน้ำนั้นมีจริงและยังพยายามดึงอยู่ พี่มุกหลับตาปี๋กอดขวดน้ำไว้แน่น ภายหลังได้มาฟังจากพี่ส้มที่นอนเฝ้าด้วยอีกคนว่าเขาตื่นมาช่วงค่อนคืนคาดว่าน่าจะเป็นช่วงเดียวกับพี่มุก ในความมืดสลัวๆนั้นพี่ส้มเห็นเงาร่างของผู้หญิงคนหนึ่งดำทะมึนนั่งยองๆอยู่บนหัวยื่นมือไปทางพี่มุก พอเห็นอย่างนั้นก็รีบหลับตาหนีทันที
          แม้ว่าพี่วิทจะยอมมาเข้าร่วมงานแต่เขาก็ไม่ยอมเข้าไปข้างในพิธีการ เอาแต่นั่งรออยู่ข้างนอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ งานดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้ายที่หลวงพ่อท่านจะเดินพรมน้ำมนต์ให้กับทุกคน
          หลวงพ่อเดินมาจนถึงตัวพี่วิทก็พรมน้ำมนต์ให้ตามปกติ แต่ในตอนที่กำลังจะเดินผ่านไปท่านก็ย้อนกลับมาที่เดิมพรมน้ำมนต์ซ้ำอยู่อย่างนั้นเอามัดหวายที่ใช้พรมเคาะหัวพี่วิทเบาๆอยู่หลายที
          หลวงพ่อเดินต่อมาจนถึงผมก็มองหน้าแล้วพรมน้ำมนต์ให้ตามปกติ ‘จะทำอะไรก็รีบๆทำนะ เขาเอาหนัก เอาถึงชีวิต แต่มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ จะเข้าไปยุ่งก็ใช่ที่’
          ผมกราบท่านด้วยความซาบซึ้งในความห่วงใยที่มีต่อพวกเรา เมื่อเสร็จพิธีทุกอย่างพี่มุกยังนั่งรอผมอยู่ที่หน้าตึกภาคโดยที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่วิทแอบกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
‘เอายังไงต่อดี’ พี่มุกถามผมเพราะรู้ดีว่าเพื่อนยังไม่หาย
‘คงต้องใช้น้ำล้างเท้าแม่ครับ เอามาให้พี่เขาอาบเขากิน น่าจะหาย แม่อยู่ไหน มาได้ไหม’
‘มาไม่ได้สิ อยู่สระแก้วนู่นเลย’
          พี่มุกทำหน้าเครียดๆแล้วขอแยกตัวไปคุยโทศัพท์ไม่นานก็เดินกลับมาบอกกับผมว่า ‘คืนนี้เจอกัน 3 ทุ่มนะ ไปสระแก้วกัน’
          ผมยังงุนงงและตกใจกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ โดยสรุปคือพี่มุกรู้จักกับแม่ของพี่วิทอยู่แล้วจึงโทรไปปรึกษาอยากจะให้มาหาที่นี่ แต่กลายเป็นว่าแม่พี่วิทก็ฝันไม่ดีเช่นกันกำลังรู้สึกเป็นห่วงลูกชายอยู่พอดี จึงขอให้ทุกคนช่วยพาพี่วิทกลับมาที่บ้านแทนที่แม่จะเป็นคนเดินทางมาเองแทน ด้วยเหตุนี้พี่มุกจึงตกปากรับคำแล้วมามัดมือชกให้ผมต้องเดินทางไปด้วยในคืนนั้น
          ผมที่ไม่มีทางเลือกให้ตัดสินใจนอกจากคำว่า ไป บวกกับความกังวลในใจลึกๆว่าตัวเองจะสามารถช่วยเหลือผู้ชายคนนี้ได้จริงๆหรือไม่ จะสามารถต่อกรกับสิ่งที่มองไม่เห็นระดับนี้ได้หรือไม่ ที่พึ่งทางใจหนึ่งเดียวที่ผมมีคือ ‘ปู่’
          ปู่ คือคนที่เรียกได้ว่าเป็นทั้งอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ที่คอยชี้ทางและช่วยชีวิตผมกลับมาในวันที่มันดิ่งลงเหวจนถึงจุดต่ำสุด ปู่คอยสอนคอยเตือนผมอยู่เสมอด้วยความห่วงใยและจริงใจ ผมกดโทรศัพท์หาปู่เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังเพื่อขอคำแนะนำยกเว้นเรื่องที่จะต้องเดินทางไกล เพราะกลัวว่าปู่จะไปบอกแม่
‘ของเขาแรงจริงนะครั้งนี้ ของเขมร เขาเอาถึงตาย อย่าไปทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า อย่าเดินทางตอนกลางคืน อันตราย’เหมือนปู่รู้ว่าผมกำลังปิดบังอะไรอยู่ แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกเช่นกันเพราะฉะนั้นทางออกเดียวคงจะเป็นการเดินทางไปอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด เท่านั้น
          ก่อนกลับผมเดินไปหาต้อมเพื่อขอให้มันไปเป็นเพื่อนในการเดินทางครั้งนี้ โดยที่ถามความสมัครใจของมันก่อนเพราะผมก็ไม่รู้ว่ามันจะอันตรายรึเปล่า แต่โชคดีที่มันตอบรับไม่ปล่อยให้ผมไปคนเดียวโดยที่มันไปชวนเพื่อนสนิทอีกคนให้ไปด้วยกันด้วย คือ บอย
          เมื่อกลับมาถึงหอพักผมนั่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน ทำสมาธิอยู่นานเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมจะต้องทำอะไรอย่างนี้ อย่างจริงจังมากกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา มันอันตรายและมันก็เหมือนกับผมกำลังแบกชีวิตคนอื่นๆเอาไว้ด้วย
          ในตอนค่ำผมออกมาเจอเพื่อนตามเวลานัดก่อนจะไปรวมตัวกับกลุ่มของพี่มุก โดยที่ผมถามว่าเพื่อนทั้งสองมีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ขององค์สมเด็จพระนเรศวรติดตัวบ้างไหม ซึ่งจริงๆแล้วพวกเราจะได้รับติ้งขององค์ท่านแต่ว่าตอนนั้นเรายังไม่พ้นกิจกรรมรับติ้งเลยยังไม่มีใช้กัน ผมเลยให้เข็มกลัดของท่านที่เป็นสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนมัธยมของผมไว้กับเพื่อนทั้งสองแทน
          เมื่อมาถึงที่ตึกภาควิชาผมก็เห็นว่าพวกพี่ๆนั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงรีบเอารถมอเตอร์ไซด์เข้าไปจอดที่ลานจอดรถในทันที ผมมองไปรอบๆนับจำนวนคนก็พบว่ามีคนหนึ่งหายไปนั่นคือพี่วิทนั่นเอง ผมเดินเข้าไปถามพี่มุกด้วยความร้อนใจ คำตอบคือพี่เขาขึ้นไปนั่งรออยู่บนรถก่อนแล้วเพราะไม่พอใจและไม่อยากจะพบเจอหรือคุยกับใคร
‘พวกพี่มีอะไรที่เป็นสมเด็จท่านติดตัวกันไหมครับ’
          ผมถามทุกคนในที่นั้นด้วยคำถามเดียวกับเพื่อนก่อนหน้านี้เพราะผมแน่ใจว่าท่านจะช่วยคุ้มครองให้เราเดินทางได้อย่างปลอดภัย ปรากฏว่าพี่ๆทุกคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันในวันนั้นมีเหรียญของท่านที่ได้รับมาในวันงานถวายตัวเข้าเป็นนิสิตตอน ป.ตรี ปีหนึ่ง เหรียญนั้นผลิตและจัดทำเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น รุ่นต่อมาก็ไม่มีใครได้มันมาอีกเลย
          ก่อนออกจากจากมหาวิทยาลัยผมขอให้ทุกคนแวะลงที่ลานสมเด็จก่อนเพื่อนขอพรท่านก่อนจะออกเดินทาง ลานสมเด็จคือชื่อสั้นๆที่นิสิตเอาไว้เรียนที่ประดิษฐานพระรูปขององค์สมเด็จพระนเรศวรตัวลานปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนกินพื้นที่กว้างรอบข้างเป็นสวนหย่อมและสระน้ำมีไว้เพื่อจัดพิธีสำคัญๆและเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในมหาวิทยาลัย
          ผมเชื่อว่านิสิตทุกคนต้องเคยมานั่งเล่นนอนเล่นดูดาวยาวค่ำคืนที่ลานแห่งนี้ และคงต้องเคยมาบนบานขอพรให้ท่านช่วยเหลือในที่ต่างๆ สำหรับคนที่นี่แล้วหลายๆคนคงยกให้ท่านเป็นที่พึ่งทางใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เช่นกันกับตัวผม
          รถตู้จอดเทียบข้างทางที่วันนี้มืดสนิทไม่มีรถมอเตอร์ไซด์จอดเรียงเหมือนในทุกๆวัน พวกเราค่อยๆทยอยลงจากรถโดยที่มีพี่วิทเป็นคนสุดท้าย
          ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นผมยังจำได้ติดตา ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งของพี่วิทแตะลงที่พื้น หมาที่นอนเรียงรายอยู่บริเวณนั้นก็วิ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่วิทแล้วพร้อมใจกันหอนรับเป็นทอดๆด้วยเสียงโหยหวน จำนวนหมามากกว่าสิบตัวในเวลานั้นทุกตัวไม่เดินไปไหนเอาแต่ยืนล้อมพี่วิทที่อยู่ตรงหน้ารถตู้
           พี่วิทยืนมองหมาพวกนั้นนิ่งๆเหมือนไม่สนใจแล้วค่อยๆเดินผ่านตรงนั้นไปช้าๆ พวกเราได้แต่ยืนขาแข็งงุนงงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เมื่อเดินมาถึงทางขึ้นลานพระบรมรูป ผมและคนอื่นๆก็เดินขึ้นไปกันเว้นแต่พี่วิทที่ยืนอยู่ริมถนนตรงทางลาดนั้นไม่ยอมขึ้นมา แม้ว่าเพื่อนจะเรียกหลายครั้งแล้วก็ตาม
          พี่วิทขยับตัวเดินหลบรถเข้ามาใกล้ลานพระรูปจนขาข้างหนึ่งเหยียบเข้ามาในบริเวณหมาที่ยืนล้อมพี่วิทอยู่ก็ขยับตามมาเช่นกัน แต่คราวหน้าหมาจากอีกฝั่งของลานสมเด็จคือฝั่งโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่มีจำนวนพอๆกันก็พร้อมใจกันหอนรอบอย่างพร้อมเพรียง
         ในคืนนั้นเราเดินอยู่บนลานที่ปราศจากผู้คนท่ามกลางเสียงเห่าหอนของหมาจรจัดร่วมยี่สิบตัว เสียงของพวกมันโหยหวนและดูทรมาน แม้จะมองไม่เห็นหมาที่อีกฝั่งแต่ฝั่งนี้พวกเราเห็นกันอย่างชัดเจน พวกมันยังคงยืนล้อมพี่วิทเอาไว้และตั้งใจหอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
           ผมเดินไปบอกให้ทุกๆคนจุดธูปสักการะท่านเพื่อขอพร อย่าเพิ่งไปสนใจเสียงหมาหอนในตอนนี้ ผมหยิบธูปออกมาจำนวนหนึ่งที่มากกว่าบนป้ายแสดงบอกไว้ด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ผมหลับตานั่งนิ่งตั้งจิตให้เงียบสงบที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ในชีวิตนี้
          ในใจผมเฝ้าภาวนาแต่เพียงว่า ท่าน จะช่วยคุ้มครองพวกเราไปจนถึงที่หมายและกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงเท่านั้นผมก็ได้ยินเสียงหนึ่งลอยก้องอยู่ในอากาศ คงเป็นเสียงที่ผมได้ยินเพียงคนเดียวในคืนนั้น
‘เราจะดูแลเอง’
          เพียงเท่านั้นผมก็รู้สึกใจชื้นและปลาบปลื้มเป็นอย่างมากแล้วที่ท่านรับรู้ถึงคำขอร้องของพวกผม ผมยื่นมือเอากำธูปในมือไปปักที่กระถางใหญ่หน้าพระบรมรูป เมื่อก้านธูปปักจมลงในทรายที่เตรียมไว้ หมาทั้งสองฝั่งที่เคยหอนอย่างโหยหวนก็พ้อมใจกันเงียบกริบ เหลือไว้เพียงเสียงแมลงยามค่ำคืนเพียงเท่านั้น
          พวกเรากลับมาที่รถพร้อมจะออกเดินทางไปยังจังหวัดสระแก้วตามที่ตั้งใจไว้ โดยครั้งนี้พี่มุกเป็นคนจัดแจงที่นั่งให้เหมาะสมด้วยเหตุผลอะไรของพี่เขาผมก็ไม่เข้าใจ
          เพื่อนของผมสองคนนั่งข้างหลังสุด พี่มุกกับพี่ส้มนั่งถัดมาอีกแถว ผมนั่งตรงเบาะเดี่ยวข้างประตูโดยสารมีทางเดินเล็กๆกั้น และที่ติดกับทางเดินนั้นคือพี่วิทข้างๆกันนั้นติดหน้าต่างคือพี่แม็ก
          เพื่อจัดเรียงที่นั่งกันได้เรียบร้อยพวกเราก็เคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยในเวลาเกือบห้าทุ่มรถตู้รับจ้างๆค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากมหาวิทยาลัยวิ่งเข้าสู่ถนนสายหลักเส้นใหญ่ของพิษณุโลก ในวันนั้นรถไม่ได้เยอะมาทำให้พวกเรานั่งกันได้อย่างบายใจ คนอื่นๆค่อยๆทยอยหลับลงไปทีละคนยกเว้นผมที่ไม่สามารถหลับลงได้ในสถานการณ์นั้น
          ที่นั่งถัดจากผมไปมีร่างผอมบางของรุ่นพี่ป.โทนั่งอยู่เขานั่งในท่ากึ่งนอนตะแคงตัวมาทางผม ผ้าห่มผืนเล็กๆที่พี่เขาเอาติดตัวมาด้วยมันยังคลุมตัวเขาอยู่จนถึงใบหน้า ด้วงตาคู่นั้นลอดผ่านผ้าห่มออกมาจดจ้องผมไม่วางตาตั้งแต่เราออกจากมหาวิทยาลัยมาถึงตอนนี้
          ผมพยายามข่มตาหลับเอาหูฟังใส่ไว้ทั้งสองข้างเอียงตัวออกไปมองนอกหน้าต่าง ไม่นานผมก็ค่อยๆเคลิ้มหลับไปในที่สุด
          ไม่นานผมก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแตรรถที่บีบลากยาวดังอยู่ใกล้ๆตัว พอลืมตาข้มมาภาพที่เห็นผ่านกระจกหน้ารถคือไฟสองดวงสว่างจ้าสาดเข้ามาในระยะประชิด
‘เห้ย!’
          ผมตะโกนเสียงดังอย่างลืมตัวจนคนอื่นๆในรถตื่นขึ้นมาตามๆกัน รถเสียงหลักเทไปข้างหนึ่งจนพวกเราเซออกจากที่นั่งแต่โชคดีที่ไม่มีการปะทะ หรือตกลงข้างทาง ท่ามกลางความตกใจนั้นมีเพียงพี่วิทที่นอนนิ่งๆจ้องมามองที่ผมเหมือนอย่างเคย
          หลังจากนั้นผมก็หลับไม่ลงอีกไปตลอดทาง เหตุการณ์คล้ายๆเดิมเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ทั้งรถบรรทุกและรถส่วนตัววิ่งสวนทางเข้ามาใกล้จนเกือบชนทั้งเสียงแตรและแสงไฟจากหน้ารถทำให้พี่คนขับต้องหักหลบอย่างกะทันหันอยู่หลายครั้ง
          ผ่านไปได้สักสองชั่วโมงพวกเราก็แวะพักกันที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ผมกลับมาที่รถหลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อยเห็นพี่คนขับยืนสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกลท่าทางเครียดๆ บวกกับความไม่สบายใจของผมว่าพี่เขาอยู่ในสภาวะปกติดีหรือเปล่า อาจจะเมาหรือหลับในจึงเข้าไปชวนคุย
‘ไหวไหมพี่’ ผมถามพร้อมยื่นกาแฟกระป๋องให้พี่เขา
‘น้อง พี่ถามจริงๆเลยนะ ในรถเราเนี่ยมีใครโดนของหรือมีผีตามอะไรบ้างไหม’
          ประโยคที่พี่คนขับตอบกลับมาทำเอาผมหน้าซีดตอบไม่ถูก ผมถามต่อว่าทำไมพี่ถึงคิดอย่างนั้น พี่เขาบอกกับผมว่าพี่เขาไม่ได้หลับในตลอดทางที่ขับมาทุกครั้งที่มีรถเบี่ยงเข้ามาจะชนนั้นพี่เขาไม่เห็นเลย มันมีแต่ถนนโล่งๆ พี่ขับของพี่มาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีมันก็เข้ามาประชิดแล้ว จึงต้องหักหลบอย่างนั้นไปตลอดทาง
          แต่มันก็แปลกนะที่เรารอดมาได้ทุกครั้ง มีหลายครั้งที่พี่คิดว่ามัน ชนแน่ๆ ไม่รอดแน่ๆ เพราะมันใกล้มากแต่สุดท้ายก็หักหลบได้ทันโดยไม่ขีดขูดกันสักนิด คงเป็นเพราะเราไปไหวสมเด็จท่านก่อนออกมาจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่รอดกันหมด
‘พี่ก็นับถือท่านเหรอครับ’
          นับถือสิครับ พี่เขาตอบพลางชี้เข้าไปในรถตรองคอนโซลหน้า ตรงนั้นมีรูปเสมือนองค์เล็กๆวางไว้อยู่ใกล้ๆกับกระจก พี่เกิดและโตที่พิษณุโลกก็คงไม่มีใครไม่นับถือท่านหรอกน้อง อีกอย่างเราก็ได้เห็นแล้วว่าท่านคุ้มครอง จะให้พี่คิดอย่างไร
          เราคุยกันได้ไม่นานทุกคนก็กลับมาพร้อมกันที่รถเพื่อออกเดินทางต่อ ก่อนที่ผมจะเดินไปขึ้นรถพี่คนขับก็เดินมากระซิบผมเบาๆว่า ‘อีกอย่างนะน้องตลอดทางที่ขับมาพี่ได้ยินเสียงผู้หญิงคราง อือๆ ในลำคอตลอดเวลาเลย น้องได้ยินบ้างไหม’
          ผมไม่ได้ยินสิ่งที่พี่เขาพูดถึง แต่มันก็มีเค้าลางใกล้เคียงกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รถตู้เคลื่อนตัวออกจากปั๊มกลัวสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ผมเคลิ้มหลับไปอย่างรวดเร็วคงเพราะความเพลียที่เริ่มสะสมมาเป็นเวลานาน
          ระหว่างทางยังมีเสียงแตรรถและแสงไฟจ้าสาดเข้ามาอีกหลายครั้งจนผมสะดุ้งตื่นเป็นช่วงๆ แต่ทุกครั้งเราก็ปลอดภัยดีไม่มีแม้รอดขีดข่วนเว้นเสียแต่ว่า มันเริ่มมีเสียงแปลกๆดังอยู่รอดๆคันรถของเรา เสียงนั้นคล้ายกับมีคนมาเคาะ กุกกัก บางครั้งแรงจนถึงขนาดทุบให้เกิดเสียงดัง ปัง พวกเราสะดุ้งกันอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครกล้าทักและถามอะไร
          ช่วงที่ผมกำลังเคลิ้มๆหลับไปนั้นผมพลิกตัวหันหน้ากลับมาจากทางตรงเป็นตะแคงซ้ายเพื่อหนีพี่วิท ชั่วเสี้ยววิยาทีนั้นผมมองเห็นพี่วิทเป็นคนอื่น ตรงเบาะที่นั่งข้างผมเป็นร่างของหญิงสาวผอมบางคนหนึ่งผมของเธอยาวแต่ดูสกปรกลงมาปกคลุมใบหน้า ดวงตาของเธอจ้องมองมาที่ผมอย่างอาฆาตแค้น แม้ว่าผมจะไม่เคยเห็นเธอ แต่ดวงตาคู่นี้ผมได้เห็นมามันแล้วหลายครั้ง ในช่วงสุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับไปหูของผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าที่วิ่งควบอยู่ข้างๆรถของเรา
          ผมตื่นมาอีกครั้งในช่วงเช้าตรู่ด้วยเสียงปลุกของพี่มุก เพราะว่าเรามาถึงที่หมายแล้ว รถค่อยๆเลี้ยวเข้าตัวเมืองสระแก้วผ่านถนนซอกซอยที่ผมไม่คุ้นตามาจนถึงตลอดใหญ่ๆตลาดหนึ่ง ผมจำชื่อไม่ได้ แต่เราขับอ้อมไปที่ด้านหลังตลาดเพื่อจอดรถ พี่มุกพยายามเรียกให้พี่วิทลงมาเพื่อไปพบกับแม่ของพี่วิทที่ตอนนี้มาขายของในตอนเช้าอยู่
          แปลกที่พี่วิทไม่ยอมลงมาจากรถทั้งๆที่เป็นการไปพบหน้าแม่ตัวเอง พี่มุกที่เริ่มหงุดหงิดเลยตัดสินใจเดินเข้าไปในตลาดด้วยตัวเอง ดีที่พี่มุกรู้จักกับแม่ของพี่วิทอยู่ก่อนแล้วจึงสามารถเข้าไปพบได้ด้วยตัวเอง
          ไม่นานพี่มุกก็กลับมาที่รถพร้อมกับอาหารในมือหลายถุง แม่พี่วิทยังขายของอยู่ปิดร้านไม่ได้เพราะว่าเป็นของสดเลยบอกให้ทุกคนกลับมาที่บ้านก่อนแล้วแม่จะตามมาทีหลัง
          พวกเรามาถึงบ้านพี่วิทที่อยู่แถวขอบเมืองเกือบจะหลุดจากความเจริญ บ้านนั้นหลังใหญ่พอสมควรตามแบบฉบับของบ้านคนสมัยก่อน มีพื้นที่โล่งกว้างเป็นลานหน้าบ้านที่อีกฝั่งเป็นอาคารยกเอาไว้เลี้ยงสัตว์
          หลังจากกินอาหารเช้ากันเรียบร้อยผมก็ขอตัวนอนพักเพราะยังรู้สึกเหมือนกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่แม่พี่วิทกลับมาแล้ว ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าพี่วิทหายไปไหนจึงเหลือแต่เพียงพวกเราที่นั่งคุยกันอยู่เท่านั้น
          พี่มุกเปิดประเด็นถามแม่ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับแม่หรือเปล่าทำไมจึงเรียกให้พวกเรากลับมาอย่างกะทันหัน แม่เล่าให้ฟังว่าปกติแล้วแม่จะตื่นมาเตรียมของไปขายที่ตลาดช่วงตีสามตีสี่ คืนนั้นก็เหมือนกันแม่กำลังเตรียมข้าวของไปขายแต่อยู่ดีๆแม่ก็ได้กลิ่นน้ำพริกผัดซึ่งเป็นอาหารโปรดของแม่ กลิ่นมันชัดเจนมากโดยไม่ใช่การลอยมาตามลมแต่เหมือนกับการเอาถ้วยน้ำพริกมาจ่อจมูกแม่อยู่ตรงหน้า
          ละแวกบ้านแม่มีเพื่อนบ้านก็จริงแต่ก็ไกลพอสมควรมีที่นากั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีบ้านไหนผัดน้ำพริกจนกลิ่นโชยมาในเวลานี้ คืนต่อมาระหว่างที่นอนอยู่แม่ก็ได้ยินเสียงของตกมาจากชั้นล่าง จากน้ำเสียงแล้วแม่คิดว่ามันต้องเป็นของชิ้นใหญ่มาก ในความคิดตอนนั้นของชิ้นเดียวที่น่าจะเป็นไปได้คือ ทีวี
          แม่ปลุกน้องชายของพี่วิทให้ลงมาดูข้างล่างเป็นเพื่อนพร้อมกับไม้ในมือเพราะคิดว่าเป็นโจร แต่เมื่อลงมาถึงด้านล่างเปิดไฟให้สว่างก็พบว่าที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลยสักคนเดียวทีวีเองก็ยังวางตั้งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนไม่มีสิ่งของอะไรตกลงสักชิ้น
‘แม่ ดูนี่’
          น้องชายของพี่วิทเรียกแม่ให้มาดูสิ่งแปลกปลอมที่ร่วงเกลื่อนอยู่ที่มุมหนึ่งของพื้น แม่ก้มลงไปดูก็ถึงกับขาอ่อนแทบจะเป็นลมล้มลงไป ตรงนั้นมีเส้นผมยาวๆร่วงอยู่หลายเส้นและรอบๆนั้นยังมีเถ้าของอะไรบางอย่างที่ไหม้จนเป็นผงแล้ววางอยู่ด้วยเช่นกัน
          คืนสุดท้ายก่อนที่จะได้คุยกับพี่มุก แม่กำลังอาบน้ำอยู่ก่อนจะออกไปขายของแม่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกแม่ด้วยชื่อของแม่เอง เสียงนั้นดังอยู่อีกฝั่งกำแพงนอกบ้านซึ่งถ้านับรถยะห่างก็คงจะไม่ถึงหนึ่งเมตรเพราะตอนนั้นแม่ยืนอยู่ชิดกับกำแพงพอดี เสียงนั้นหวานและดูอายุน้อย แต่ด้วยความที่แม่เป็นคนโบราณจึงตัดสินใจไม่ตอบรับอะไรกลับไปเพราะคิดว่าคงจะเป็นการมาเยือนของสิ่งไม่ดีอย่างแน่นอนหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดผมก็ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นความเชื่อมโยงที่ค่อนข้างชัดเจน อีกอย่างหนึ่งคือข้อยืนยันจาก คนแก่ ของบ้านหรือที่เราเรียกกันว่า เจ้าที่
          ผมตัดสินใจให้คำตอบทั้งหมดกับทุกคนที่นั่งฟังอยู่ตรงนั้น เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวพี่วิทหรือคนที่ต้องการทำร้ายพี่วิท แต่ทุกอย่างนั้นมุ่งตรงมาที่แม่ของพิ่วิท
          ทั้งคุณไสยและสิ่งไม่ดีต่างๆมันเริ่มขึ้นที่ตัวแม่ก่อน แต่ด้วยความที่แม่ดวงแข็งกว่าพี่วิทมากและยังรู้วิธีป้องกันตัวเวลาที่สิ่งเหล่านี้มากระทบ คนอื่นในบ้านอย่างพี่วิทที่จิตอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่อีกทั้งช่วงนั้นมีเรื่องให้จิตตกอยู่พอสมควรทำให้ของเหล่านั้นไปตกลงที่ลูกชายคนโตของบ้าน และของทั้งหมดนั้นเป็น ของเขมร
          พอแม่ได้ยินคำว่าเขมรก็มีท่าทีสะอึกเหมือนรู้อะไรบางอย่างพวกเรามองแม่นิ่งๆเป็นเชิงบอกให้เขาเล่าเรื่องทุกอย่างออกมา แม่สูดลมหายใจครั้งหนึ่งก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องราวให้พวกเราฟัง
          ก่อนหน้านี้พ่อของพี่วิทมีหญิงสาวชาวเขมรมายุ่งวุ่นวายติดพันธ์จนถึงขั้นไปอยู่กินกันในที่สุด ผมก็เพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่ผมยังไม่เห็นพ่อของพี่วิทเลย
          เรื่องราวในวันวานค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อย จากแรกเริ่มที่พ่อไม่ค่อยกลับบ้านไปติดสาวที่ร้านอาหารข้างนอก ทุกครั้งที่กลับมาบ้านจะดูอารมณ์เสียและหงุดหงิดอึดอัดและพยายามจะออกจากบ้านให้ได้ แต่ในบางครั้งก็เหมือนกับเป็นคนละคนทั้งใจดีและพูดง่ายเหมือนที่ผ่านๆมา
          ด้วยความกังวลแม่จึงไปดูดวงกับร่างทรงตามตำหนักรวมถึงพระหลายรูปและทุกๆคนก็ให้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าพ่อโดนทำเสน่ห์ จึงมีอาการอย่างที่กล่าวมา
          แม่พาพ่อไปอาบน้ำมนต์ที่วัดและมันก็ได้ผล พ่อหายจากอาการอารมณ์ร้อนอยู่ติดบ้านเหมือนแต่ก่อน แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นพ่อบอกว่าจำไม่ค่อยได้มันเบลอๆเลือนลางเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์อะไรบางอย่าง แต่เมื่อหลุดออกมาได้ก็รู้สึกโล่งและสบายตัวเป็นที่สุด
          แต่เรื่องร้ายๆก็ไม่ได้จบลงแค่นั้นเพราะพ่อกลับไปติดต่อกับหญิงสาวคนนั้นอีกและถูกคุณไสยกลับมาเช่นกัน อาการของพ่อเริ่มผิดปกติไปอีกครั้ง แม่ที่เคยเจอเรื่องราวมาแล้วครั้งหนึ่งจึงรีบพาพ่อไปอาบน้ำมนต์เอาของไม่ดีออกจากตัวให้เร็วที่สุด แล้วพ่อก็หายเป็นปกติ
          เรื่องราววันเวียนเป็นวงจรอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง เป็นแล้วหาย หายแล้วเป็น จนสุขภาพของพ่อค่อยๆย่ำแย่ลงเรื่อยๆร่างกายซูบผอมผิวหนังและใบหน้าหมองคล้ำจนคนรอบๆตัวก็สังเกตได้
          นอกจากเรื่องของอวิชาคุณไสยแล้วยังมีเรื่องของความขัดแย้งในครอบครัวที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆปากเสียงในบ้านเริ่มเกินระดับที่รับได้ไม่มีความเห็นใจหรือสนใจใดๆกันอีก วันเวลาดำเนินไปจนมาถึงจุดแตกหัก
          ครั้งสุดท้ายที่แม่ตัดสินใจพาพ่อไปถอนคุณไสยออกจากตัวหลวงพ่อที่ทำให้เตือนกลับมาว่า ร่างกายของพ่อเริ่มจะไม่ไหวแล้วนะเป็นๆหายๆซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้ ของมันกินตัวแล้ว ถ้ามีอีกครั้งกลัวว่าจะไม่รอด แม่คิดหนักแต่ก็ต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้ลูกๆที่ยังเรียนอยู่
          เรื่องราววนกลับมาที่จุดเดิม พ่อกลับไปติดพันกับหญิงสาวคนเดิมจนโดนของกลับมาอีกคราวนี้แม่เลือกที่จะ ปล่อย เพราะนอกจากจะห่วงสุขภาพของพ่อแล้ว ใจแม่เองยังคิดด้วยว่า หากเขาไม่ได้มีใจหรือใส่ใจที่จะอยู่กลับครอบครัว เขาก็คงไม่กลับไปหาอีก เมื่อหายในครั้งที่สองที่สามก็ควรจะหยุดได้เสียที เรื่องนี้คงไม่ใช่ความเลวร้ายของคุณไสยเท่านั้น มันคงมีความเกี่ยวพันทางโลกๆเข้ามาด้วย
          แม่ปล่อยให้ทั้งสองคนไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามที่ต้องการตามคำประกาศของพ่อว่า จะออกจากบ้านหลังนี้ แม่กลับมาอยู่กับลูกทั้งสองคน ครอบครัวเล็กลงจากสี่เป็นสาม เรื่องรางควรจะจบลงด้วยความสูญเสียและการจากไปของคนเป็นพ่อ แต่เปล่าเลย เมื่อหญิงสาวชาวเขมรคนนั้นไม่ได้พอใจแค่การได้พ่อมาครอบครัว เธอต้องการทุกๆอย่างที่พ่อเคยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ
          จากตัวคนกลายเป็นบ้านลามไปถึงกิจการ เธออยากได้ทั้งหมดนั้นมาไว้ในครอบครัว บ้านหลังใหญ่มีที่ดินกว้างมีกิจการเขียงหมูรายใหญ่อยู่ในตลาด เทียบกับหญิงสาวต่างด้าวที่เป็นแค่เด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารก็คงเทียบกันไม่ได้
          ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพ่อก็เริ่มกลับมาติดต่อและถามหาสิทธิ์ในการแบ่งทรัพย์สมบัติทั้งๆที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างใดๆ การเจรจาทั้งโลกไม่สัมฤทธิ์ผลจึงเป็นที่มาของการใช้คุณไสยทำร้ายคนในบ้านเพื่อให้ ตายตกกันไปข้างหนึ่งแล้วหลังจากนั้นเธอก็คงจะได้สิ่งที่ต้องการมาไว้ในกำมือ
          แม่เคยพลาดท่าโดยของไม่ดีเล่นงานอยู่สองสามครั้งแต่ก็ดีที่รู้ตัวทันเพราะมีภูมิความรู้ของคนโบราณอยู่พอสมควร ทันทีที่มีอาการก็จะรีบไปหาทางแก้ไขและรักษาตัวให้ถูกต้อง จนรอดพ้นมาได้ทุกครั้งจนครั้งนี้ไม่คิดว่ามันจะไปตกลงอยู่ที่ลูกชายของตนแทน
‘แล้วแม่จะเอาอย่างไรครับ’
          ผมถามแม่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว คำตอบของแม่คือแม่อยากให้ไปพบร่างทรงท่านหนึ่งก่อนเป็นคนที่รู้จักและนับถือกันมานาน ผมเข้าใจดีว่าการที่แม่จะมาเชื่อผมในทันทีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ด้วยอายุของผมในตอนนั้น
          ก่อนออกจากบ้านผมขอแยกตัวออกมาก่อนที่จะขึ้นรถ ผมเดินตรงไปที่ศาลพระภูมิของบ้านเพื่อคุยกับ เจ้าที่ คนเดียวกับที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผมฟังอีกทางหนึ่ง คำถามของผมคือ ทำไมถึงปล่อยให้มีของไม่ดีเข้ามาในบ้านได้
          เจ้าที่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ บ้านนี้ไม่ค่อยดูแลเจ้าที่เลยปล่อยให้รกร้ายสกปรกเขาจะไปเอาเรี่ยวเอาแรงจากไหนมาปกป้องคุ้มครองในเมื่อคนในบ้านยังไม่ศรัทธาในตัวเขาเลยสักนิด เหมือนมีไว้อย่างนั้น จะมีมาไหว้บ้างก็แค่เพราะอยากขายของได้ตามธรรมเนียมผมรับปากว่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับคนในบ้านให้อย่างแน่นอน เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าที่คนนั้นชี้ไปที่ลานดินโล่งๆหน้าบ้านแล้วบอกว่า ตรงนั้นมีของที่เขาฝังไว้อยู่อีกชิ้นหนึ่ง ไปเอาออกเสียจะได้เบาลง
          ผมเดินไปเรียกต้อมกับบอยออกมาจากบ้านให้ลงมือขุดดินตามตำแหน่งที่เจ้าที่เป็นคนบอก  ไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัดเราก็เจอของที่ตามหา มันเป็นเศษไม้เล็กๆแต่เมื่อพลิกดูจะเห็นว่ามันมีอักขระเขียนซ่อนเอาไว้ที่มุมหนึ่งด้านใน ผมหยิบมันขึ้นมาจุดไฟเผาโดยไม่ลังเล ก่อนจะโยนมันทิ้งลงในถังขยะที่ทำจากปั๊บสังกะสี
          ผม พี่วิท และแม่ ออกมากันสามคนเพราะคิดว่าคงไม่นาน เรากลับมาที่ตลาดเดิมกับเมื่อเช้าแต่ว่าจะเลยเข้าไปลึกกว่าเดิมสักหน่อย ที่ตรงนั้นเป็นซอยเล็กๆสำหรับอยู่อาศัย เราต้องจอดรถไว้ด้านนอกแล้วเดินเท้าเข้าไปข้างในจนถึงช่วงกลางๆซอยแม่ก็เลี้ยวเข้าไปในร้านขายของชำร้านหนึ่ง
          ถ้ามองจากหน้าร้านอาคารหลังนั้นไม่ต่างจากร้านขายของชำทั่วๆไป เมื่อเดินเข้าไปข้างในก็พบกันคบแก่สองสามคนนั่งอยู่บนแคร่ไม้มีใบตองวางเกลื่อนกลาด ที่ขันโตกข้างๆมีบายศรีวางเรียงราย บ้านนี้คงมีอาชีพอีกอย่างคือการทำบายศรีขายเป็นแน่
‘ขึ้นไปเลย ปู่นั่งรออยู่ข้างบน’
          คุณยายคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะรู้จักกับแม่ของพี่วิทเป็นอย่างดีบอกทางให้เราขึ้นไปด้วยบันไกไม้เก่าๆที่อยู่ตรงหลังบ้าน พวกผมเดินตามขึ้นไปเงียบๆโดยที่ตอนนี้พี่วิทยังคงนิ่งเงียบอยู่แต่สายตาไม่ได้ดุดันก้าวร้าวเหมือนอย่างเคย
          ข้างบนนั้นเป็นบ้านไม้แบบโบราณมีลานกว้างตรงกลางมีห้องแบ่งอีกสามห้องที่ตรงกลางนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่อายุน่าจะไล่เลี่ยกับพี่วิท เธอหันหลังให้พวกเราที่ตรงหน้าของเธออีกทีหนึ่งมีหิ้งพระตั้งอยู่บนนั้นมีเศียรพ่อแก่เด่นเป็นประธานและพระพุทธรูปอีกหลายองค์
‘มากันแล้วเหรอ นั่งสิ’
          ผู้หญิงตรงหน้าเชิญให้พวกเรานั่งพร้อมๆกับที่เธอหันกลับมาทางเรา หากดูผิวเผินแล้วเธอก็คงจะเป็นแค่ผู้หญิงห้าวๆคนหนึ่งแต่ดวงตาของเธอสุกสกาวมีชีวิตชีวามากกว่าคนทั่วๆไป เธอหันหลังกลับไปอีกครั้งก่อนจะหยิบธูปขึ้นมาจุดถวายสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้งนั้น
          หลังจากนั้นเธอนั่งสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาในท่าทีที่เปลี่ยนไป จากหญิงสาวกลายเป็นผู้ชายดูแก่ลงน้ำเสียงเข้มทุ่มต่ำ รอยยิ้มนั้นเหมือนกับคุณตาเวลาที่ผมกลับไปเยี่ยมท่านเลยทีเดียว
‘ก็รอดกันมาได้นะพวกเอ็ง’ ชายแก่ในร่างนั้นเอ่ยปากถาม
          ประโยคนั้นจะดูไม่มีน้ำหนักเท่าไหร่ถ้าเราไม่ได้พบเจอเรื่องราววุ่นวายมาก่อนหน้านี้
‘อ้อ มีของดีมากด้วยนี่นา แล้วทำไมเอ็งไม่ช่วยเขาเสียเองเลยล่ะ มาทำไมตั้งไกล’
          ผมได้แต่ยิ้มเพราะตัวเองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้เช่นกัน
‘ดีแล้วที่มีคนคุ้มหัวมา ไม่อย่างนั้นคงไม่รอดกันจริงๆ’
‘ใครครับ’
          ผมถามกลับเพราะอยากได้ยินว่าสิ่งที่ผมรับรู้นั้นไม่ผิด ร่างตรงหน้ายิ้มก่อนจะให้คำตอบกลับมาอย่างชัดเจน ‘ไปไหว้ใครมาล่ะ วีรกษัตริย์ยอดบัลลังก์องค์ดำนั่นไง’ เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้ยินอย่างนั้น น้ำตาของผมก็รื้นขึ้นมาคลออยู่จนหยดลงมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ หากไม่มีท่านผมคงไม่รอดแล้วจริงๆ
          เรากลับมาเข้าเรื่องเดิมกันอีกครั้ง พ่อปู่ตามชื่อที่คนในละแวกใช้เรียกกันนั่งหลับตาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะถอนหายใจ
‘ทำกันหนักจริงๆนะคนเรา จะเอาให้ถึงตาย แต่ครั้งนี้คงต้องขอก่อนนะ ร่างมันรับไม่ไหว ค่อยไปหาร่างอีกคนหนึ่งแทนก็แล้วกัน’
           คนตรงหน้าหันหลังกลับไปก้มกราบที่หิ้งพระแล้วหันกลับมาอีกครั้งบุคลิกท่าทางที่มีกลับมาเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม พี่คนนั้นดูเหนื่อยหอบและเหมือนจะเป็นลมหยิบเอายาดมข้างๆขึ้นมาดมทันที พร้อมกับส่ายหัวแล้วหัวเราะ ‘ไม่ไหวๆ’
          เรากลับมารับคนอื่นๆที่บ้านเพื่อจะได้ออกมาพร้อมกัน รถตู้วิ่งออกสู่ถนนใหญ่อีกครั้งคราวนี้เป็นเส้นทางที่ผมไม่คุ้นเคย ถนนนั้นเหมือนตัดผ่านภูเขาต้องขึ้นลงเนินอยู่หลายครั้ง อยู่ดีๆรถกระบะที่นำหน้าอยู่ก็เลี้ยวลงข้างทาง พี่คนขับรถตู้หยุดชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะค่อยๆหักเลี้ยวตามลงไป
          รถสองคันขับตามกันไปบนถนนเลาะคันนา ตลอดทางไม่มีถนนคอนกรีตหรือราดยางมีแต่หินกรวดที่เหมือนคนแถวนั้นจะเอามาโรยไว้ทำถนนเอง
          สักพักหนึ่งเราก็เข้ามาโผล่บนถนนดินลูกกรังสีแดงๆสภาพดีกว่าทางที่เราผ่านมาพอสมควร เมื่อมาถึงสถานที่ดังกล่าวสิ่งที่เห็นคือบ้านทรงสูงเหมือนตามชนบทที่ผมเคยเห็น ข้างบนทำจากไม้มีเสาสูงและบันดาดขึ้นอีกด้าน ช้างล่างน่าจะเคยเป็นใต้ถุนมาก่อนที่มาต่อเติมก่อกำแพงให้เป็นบ้านทีหลัง
          ที่ด้านหน้าบ้านมีรูปปั้นขนาดเท่าคนจริงของชายแก่คนหนึ่งตั้งอยู่ รูปปั้นนั้นแต่งกายด้วยชุดขาวมีประคำคล้องบนมือมีไม้เท้าแต่ที่น่าสนใจกว่าคือรูปปั้นพญานาคสามเศียรที่พาดอยู่บนคอของรูปปั้น สีเขียนสดนั้นตัดกับสีขาวของเสื้ออย่างสวยงามจนผมเผลอมองอยู่นานสองนาน
‘มาแล้วก็ไปเก็บดอกไม้มา จะได้รีบๆขึ้นไป ปู่รออยู่ข้างบน’
          คุณยายคนที่นั่งพูดคุยกับพี่ร่างทรงคนนั้นตะโกนมาบอกพวกเรา พี่ร่างทรงที่นำทางเรามาเข้าไปคุยทักทายอย่างสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานานดอกไม้ที่คุณยายพูดถึงคือดอกอะไรผมจำไม่ได้แต่มันถูกปลูกไว้ที่หน้าบ้านเป็นไม้เลื้อยห้อยระย้าลงมาตามรั้วดูสวยงาม โดยที่ต้องใช้ดอกอ่อนเท่านั้น และจำนวนดอกในแต่ละวันนั้นจะมีเพียงพอสำหรับคนที่จะได้ดูหรือมาดูเท่านั้น หนึ่งคนจะต้องใช้ เก้าดอก ถ้าผมจำไม่ผิด
           ผมไม่ได้เข้าไปเก็บดอกไม้กับพวกคนอื่นๆเพราะไม่มีคำถามอะไรที่อยากรู้ เลยนั่งรออยู่ตรงม้านั่งใกล้ๆคุณยายที่เห็นผมนั่งว่างๆเลยไล่ให้ผมไปจุดธูปไหว้รูปสักการะที่หน้าบ้านแทนจะได้ไม่เสียเวลา
          พอเดินเข้ามาดูใกล้ๆก็เห็นว่ารูปปั้นนั้นไม่ได้สวยมากไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากมายแต่กลับดูมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด หลังจากจุดธูปวางลงในกระถางทรายผมเอื้อมมือไปจับรูปปั้นดูด้วยความสงสัย แต่ผมก็ต้องรีบชักมือกลับเพราะความรู้สึกที่สัมผัสได้นั้นมันเย็นและลื่น ไม่เหมือนกับปูนปั้น และที่ชัดเจนที่สุดคือสัมผัสของเกล็ด
          ผมตกใจยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นแล้วก็ได้ยินเสียงเรียกให้ขึ้นไปข้างบนหลังจากที่ทุกคนเก็บดอกไม้ตลบแล้ว พอเดินเข้ามาในบ้านก็เป็นอย่างที่คิดมันเป็นโถงโล่งๆที่ต่อเติมมาภายหลังมีทีวีตู้เย็นตามปกติ บันไดบ้านทำจากไม้ที่ค่อนข้างเก่า
          ข้างบนเป็นลานกว้างๆกว่าบ้านแรกที่ผมไปเยี่ยม มีห้องนอนพียงห้องเดียว ตรงกลางลานโล่งนั้นมีโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่ตั้งอยู่บนนั้นมีพุทธรูปหลายองค์และมีเศียรพ่อแก่และพญานาคหลายอัน รอบๆนั้นมีบายศรีที่จัดพับเป็นรูปพญานาคอยู่เช่นกัน
          คนที่เรามาพบนั้นนั่งรออยู่ที่กลางห้องเป็นผู้หญิงในชุดสีขาวล้วนท่าทางสุภาพอายุจากการคาดการณ์ด้วยสายตาน่าจะราวๆ 50 60 ปี ผมขอเรียกเขาว่าคุณป้าก็แล้วกันนะครับ
          คุณป้าเรียกให้พี่ร่างทรงมานั่งใกล้ๆคงจะเป็นศิษย์อาจารย์กันส่วนพวกเรานั่งลงบนพื้นห่างออกมานิดหนึ่ง คุณป้าของเวลาเล็กน้อยหันกลับไปจุดธูปก่อนจะหันกลับมาในท่าทางที่ต่างออกไปเหมือนกับพี่ร่างทรงคนนั้น
          เมื่อใครบางคนลงมาประทับที่ร่างนั้นตามความเชื่อของผู้คน เขาคนนั้นก็เรียกให้พี่วิทเข้ามาใกล้ๆเพื่อตรวจดูดวงชะตาและหาทางออก โดยต้องถวายดอกไม้ในมือเป็นค่าขันครูเสียก่อน
‘เอ้า ส่งมาให้ปู่สิลูก’
          คนในร่างนั้นบอกให้พี่วิทส่งดอกไม้ในมือวางลงบนมือของเขา แต่พี่วิทไม่ทำตามยังนั่งนิ่งๆเหมือนพยายามจะขัดขืน ปู่เรียกซ้ำอีกครั้งเพื่อให้พี่วิทส่งดอกไม้มา
          สุดท้ายพี่วิทไม่ทำตามจนแม่กับพี่มุกต้องเข้าไปช่วยประคองมือเชิงบังคับจนในที่สุดก็สามารถยื่นดอกไม้ในมือต่อให้ร่างตรงหน้าได้สำเร็จ
          ร่างนั้นรับดอกไม้ไปแล้วถอนหายใจ ‘หนักเลยนะลูก ต้องขอบคุณท่านนะที่คุ้มครองมาจนถึงที่นี่ได้ กลับไปก็ไปไหว้ขอบคุณท่านด้วยนะ’ ร่างนั้นลุกขึ้นเดินไปหยิบของมาเพื่อใช้ในการประกอบพิธี
         สิ่งที่ต้องใช้นั้นไม่มีอะไรมากมีเพียงขันน้ำมนต์เทียนขี้ผึ้งและเส้นด้ายกำหนึ่งเท่านั้น ระหว่างที่ทำน้ำมนต์มือของร่างนั้นกุมมือของพี่วิทไว้ตลอด เมื่อมองไปทางพี่วิทก็เห็นได้ชัดว่ามีอาการสั่นค่อนข้างเยอะแต่ขยับตัวไปไหนไม่ได้ ร่างนั้นหันมาชวนคนอื่นๆคุยด้วยการดูดวงตามความต้องการของผู้ที่มาเยือน
          ร่างนั้นไล่ทักและตอบคำถามของคนอื่นๆไปเรื่อยๆจนว่ามาถึงตัวผมที่ไม่ได้เด็ดดอกไม้มาเหมือนอย่างคนอื่นๆ ประโยคสั้นๆแต่ก็ยืนยันสิ่งที่อยู่ในใจให้ผมได้ค่อนข้างมาก ‘เชื่อตัวเองได้แล้ว ถึงเวลาแล้ว’
         เมื่อน้ำมนต์ในขันเสร็จแล้ว ร่างนั้นก็เอาขันใบเล็กมาตวงน้ำให้พี่วิทดื่มแต่คงต้องเรียกว่าจับกรอกเลยคงจะถูกกว่า หลังจากดื่มไปแล้วร่างของพี่วิทก็เอนไปมาเล็กน้อยเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ แต่พ่อปู่ก็ใช้มือประคองให้นั่งตัวตรงอยู่อย่างนั้น
          พ่อปู่จับข้อมือข้างหนึ่งของพี่วิทขึ้นมาแล้วใช้ด้ายสายสิญจน์ผูกไว้อย่างแน่นหน้าปากก็ขมุบขมิบว่าคาถาต่างๆ เป่าลงบนข้อมือนั้น จากนั้นใช้มีดที่อยู่ใกล้ๆตัดออกในทันที ก้อนด้ายที่ถูกตัดนั้นถูกนำมาเผาไฟด้วยเทียนน้ำมนต์ที่ยังเหลืออยู่ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ควันดำของเส้นด้ายนั้นมากผิดปกติ กลิ่นเหม็นไหม้นั้นก็ผิดปกติเช่นกัน
‘เอ้าไปซะ กลับไปหานายแก’
          สิ้นสุดพิธีการทั้งหมดพี่วิทนั่งตัวงออยู่กับฝาผนังบ้านอย่างหมดแรง พวกเรากราบลาท่านกลับเพราะเสร็จธุระแล้วอีกอย่างเราก็จำเป็นต้องรีบกลับเพื่อให้ทันไปเรียนในวันรุ่งขึ้นด้วยช่นกัน
          ก่อนกลับออกจากบ้านนั้นมาผมหันไปมองที่รูปปั้นตรงหน้าบ้านอีกครั้ง ครั้งนี้ที่ตรงนั้นมีงูตัวหนึ่งเลื้อยอยู่ไม่ไกล ผมตกใจจนอุท่นออกมาเพราะเป็นคนกลัวงู พ่อปู่ที่ตอนนี้กลับมาเป็นคุณป้าคนเดิมหัวเราะบอกว่า ‘เขาแค่มาทักทายน่ะ’
          เราลาทุกคนแล้วขึ้นรถมา ตอนที่รถค่อยๆเคลื่อนตัวห่างออกมาผมหันหลังกลับไปมองเจ้าของบ้านที่มายืนส่งพวกเรา ที่ชายกางเกงข้างๆมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆยืนเกาะอยู่ท่าทางน่ารัก
‘เด็กน่ารักดีนะครับ’ ผมหลุดปากออกมา
‘เห็นด้วยหรอ เด็กนั่นมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่มันตายนั่นแหละ’ พี่ร่างทรงเป็นคนตอบ
          เรายังไม่ได้ตรงกลับไปที่พิษณุโลกแต่แวะมาที่บ้านของพี่วิทอีกครั้งหนึ่งก่อนเพราะยังเหลือเรื่องสุดท้ายที่ยังไม่ได้ทำ นั่นคือการอาบน้ำล้างเท้าของแม่นั่นเอง
          พอเรากลับมาถึงบ้านผมและคนอื่นๆขอตัวไปนอนพักที่ห้องนั่งเล่นปล่อยให้แม่กับพี่วิทเข้าไปจัดการเรื่องที่ยังค้างคาอยู่กันเองที่หลังบ้าน ผมเผลอหลับไปงีบหนึ่งก่อนจะถูกปลุกด้วยเสียของเพื่อนที่มาด้วยกัน
          พี่วิทเดินออกมาจากห้องน้ำด้านหลังบ้านด้วยรอยยิ้มและสีหน้าที่ดูสว่างกว่าแต่ก่อนมาก พี่วิทและเพื่อนๆพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮาจนผมรู้สึกตกใจเพราะมันช่างต่างกับพี่วิทที่ผมรู้จักมากเหลือเกิน พี่วิทเดินตรงมาหาพวกผมแล้วกล่าวขอบคุณ ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกับที่พวกเราได้พบเจอก่อนหน้านี้
          พี่วิทบอกว่าพี่วิทรู้ตัวอยู่ตลอดตั้งแต่พวกเราออกเดินทางมาแต่มันมึนๆเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่างความทรงจำก็ชาดหายไปเป็นช่วงๆ มาเริ่มรู้สึกตัวเต็มที่ก็ตอนที่ได้จิบน้ำมนต์ของพ่อปู่ที่บ้านหลังนั้น ระหว่างทางกลับก็หมดแรงเลยหลับมาจนถึงบ้าน
          พวกพี่ๆและแม่ได้พี่วิทคนเดิมกลับมาแล้วในวันนั้น พวกเรารู้สึกมีความสุขและปลื้มใจเป็นอย่างมาก เราลาแม่กลับพิษณุโลกในช่วงบ่ายแก่ๆเพื่อกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป
          พวกเราคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดมันคงจบลงแล้ว แต่ก็เปล่าเลย ทุกอย่างมันยังไม่จบลง เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมหยุดในสิ่งที่เขาต้องการหลังจาที่พวกเรากลับมาถึงพิษณุโลกในเวลาเกือบตีหนึ่ง ความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางก็มีมากเกินกว่าที่จะมานั่งคุยอะไรกันอีก ต่างคนต่างแยกย้ายกลับหอพักของตัวเอง ชีวิตของพวกเราวนกลับเข้ามาสู่วงจรเดิมตามปกติ ตื่นมาไปเรียนและกลับมานอนพักเพื่อสู้กับวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง
          สุดสัปดาห์นั้นผมตัดสินใจที่จะกลับไปพักผ่อนที่บ้านจึงโทรไปอกแม่ไว้ล่วงหน้าเพื่อให้แม่มารับกลับบ้าน แม้ว่าผมจะเกิดและโตที่พิษณุโลกบ้านผมเองก็อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก แต่ด้วยกิจกรรมของทางคณะและภาควิชามักจะเลิกดึกตลอดการจะไปกลับบ้านก็ไม่ได้สะดวกมากนัก เช่นเดียวกับคืนนั้น
           ผมกลับมาถึงหอพักในช่วงเวลาประมาณสามทุ่มการจะให้แม่มารับตอนดึกขนาดนี้ผมก็รู้สึกเกรงใจจึงโทรไปบอกยกเลิกแม่อีกครั้งและบอกให้มารับในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นแทน ผมขับรถเข้ามาจอดที่โรงรถของหอพักพอจอดรถเสร็จก็เดินไปทักทายลุงยามเล่นตามปกติ
          หอพักของผมในตอนนั้นทางเข้าหอจะมีแค่สองทางคือประตูติดกับโรงรถและอีกประตูหนึ่งลึกเข้าไปข้างในซึ่งส่วนมากแล้วเด็กๆจะเข้าออกทางโรงรถเท่านั้น ผมแสกนคีย์การ์ดเข้าหอมา ทุกครั้งที่มีการแสกนบัตรจะมีเสียง ติ๊ด สั้นๆก่อนประตูแม่เหล็กจะปลดล๊อค
          ผมเดินผ่านประตูเข้ามาจะเจอทางเดินแคบๆสองฝั่งทางเดินเป็นห้องพัก วันนั้นไฟทางเดินไม่เปิดเลยสักดวงทำให้มืดมาก มีเพียงไฟตรงบันไดกลางขึ้นชั้นบนของหอพักเท่านั้นที่ยังเปิดอยู่ ผมเดินไปในความมืดที่พอมองเห็น ติ๊ด เสียงสัญญาณดังขึ้นตามหลังผมมา
          มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนเข้าออกหออยู่เกือบตลอดผมจึงไม่ได้สนใจจะหันไปมอง แต่ที่แปลกคือมันไม่มีเสียงประตูปิดตามหลังมาด้วย เหมือนไม่ได้มีคนเดินตามผมเข้ามา
‘สงสัยจะแสกนบัตรแล้วไม่ได้เข้ามามั้ง’
          ผมคิดอย่างนั้นก็เลยเดินต่อไป แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ในใจผมมันไม่สงบและเกิดความสงสัยจนเก็บไว้ไม่อยู่เลยตัดสินใจเดินกลับออกไปที่โรงจอดรถอีกครั้ง
‘ลุง เมื่อกี้มีใครเดินตามผมเข้ามารึเปล่าครับ’
          ลุงยามที่นั่งดูทีวีอยู่หันมาตอบคำถามด้วยท่าทางอารมณ์ดีเหมือนอย่างในทุกๆวัน ‘ไม่มีเลย ลุงก็เห็นมีเอ็งเข้าไปอยู่คนเดียวนั่นแหละ วันหยุดอย่างนี้เขากลับบ้านกันหมดแล้ว ดูสิรถเหลืออยู่ไม่กี่คันเอง’
          จริงอย่างลุงว่า วันนี้มีรถน้อยมากในโรงจอดรถ ผมเก็บความสงสัยและเดินกลับขึ้นห้องไปโดยไม่ได้ถามอะไรต่อ
          คืนนั้นผมนั่งเล่นนอนเล่นตามปกติจนเวลาล่วงไปครึ่งคืนรอบๆห้องผมก็เริ่มมีเสียงเคาะ
          เสียงเคาะดังอยู่ที่ประตูครั้งหนึ่ง แต่ผมยังไม่ได้ไปเปิด ครั้งที่สอง และสามดังขึ้นเหมือนต้องการให้รับรู้ ตึ้ง! จากเสียงเคาะกลายเป็นเสียงทุบอย่างรุนแรง
          ผมสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ หรืออาจจะเป็นเพื่อนของผมจริงๆที่มาเคาะเรียกแล้วเห็นผมไม่เปิดจนต้องเพิ่มแรงให้ผมรู้ตัว แต่ผมยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติอยู่ในใจลึกๆ ผมหวังว่ามันจะมีเสียงเรียกของใครสักคนที่มาเคาะห้อง แต่มันก็เปล่า ไม่มีเสียงเรียกใดๆให้ได้ยิน นอกจากเสียงกระแทกกระทั้นของอะไรบางอย่างดังกลับไปกลับมาอยู่ตรงทางเดิน
          เมื่อลองเงี่ยหูฟังดีๆจะรู้สึกว่ามันเป็นเสียงคล้ายฝีเท้าของใครบางคนที่วิ่งไปมาตรงหน้าทางเดิน แม้ว่าผมจะพยายามปลอบตัวเองว่ามันเป็นเสียงของ คน แต่ความเร็วในการวิ่งนั้นดูจะเร็วจนผิดปกติเกินไปหน่อย
ปัง!
          เสียงประตูกระจกตรงระเบียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ด้วยความตกใจผมจึงรีบหันกลับไปมอง ที่ตรงนั้นไม่มีอะไรอย่างที่คิด แต่เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆผมก็ต้องตกใจอีกครั้งเพราะมันมีนกตัวใหญ่บินขึ้นมาจากพื้นห้องตรงประตูกระจกตรงนั้น เสียงที่เกิดขึ้นมันคงเกิดมาจากการที่นกตัวนั้นบินมาชนก็เป็นได้
          ผมไม่ได้เปิดประตูออกไปดูมัน แค่ปล่อยมันไว้อย่างนั้นเสียงเคาะเงียบไปแล้วแต่เสียงฝีเท้าที่ระเบียงห้องยังมีอยู่ ผมพยายามไม่สนใจเสียงที่ได้ยินแล้วเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นอีกหลายระดับ ผมทิ้งตัวลงนอนโชคดีที่ความเหนื่อยล้าในวันนั้นมากพอที่จะทำให้ผมหลับไปในเวลาไม่นาน
          นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมหลับไปแต่ผมค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อยด้วยเสียงของแข็งกระทบกันอย่างเป็นจังหวะ แก๊ก แก๊ก แก๊ก ด้วยความง่วงที่ยังไม่สร่างหายไปผมกลับตัวไปมองตามเสียงนั้นที่ระเบียง
          ทันทีที่ได้เห็นความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง ที่ระเบียงห้องของผมในตอนนั้นมีร่างของหญิงสาวในชุดสกปรกนั่งกอดเข้าอยู่บนระเบียง ผมเธอสั้นข้างยาวข้างไม่เป็นทรงรกรุงรัง ในความมืดนั้นผมเห็นใบหน้าเธอไม่ชัดเจน แต่สายตาของเธอกลับสะท้อนในความมืดจนมองเห็นได้ชัด
          ดวงตาคู่นั้นจดจ้องมาที่ผมอย่างดุดัน ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วินาทีเธอก็หายไปเหลือไว้แต่ความว่างเปล่า แก๊ก แก๊ก แก๊ก แต่เสียงนั้นกลับไม่หายไปพร้อมกับเธอ
          ผมยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเพราะไม่กล้าเดินไปดู แต่จะให้หลับต่อนั้นก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ผมนอนฟังเสียงนั้นอีกพักใหญ่ๆ มันก็ไม่เงียบไป จนสุดท้ายผมรวบรวมความกล้าลุกไปเปิดไฟที่อยู่ฝั่งประตูห้องก่อนจะหันกลับไปมองที่ระเบียงอย่างรวดเร็ว
          ที่ตรงนั้นว่างเปล่าไม่มีเงาของใครอยู่อีก แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆถึงได้เห็นต้นตอของเสียงนั้น นกตัวเดิมมันยังยืนอยู่และใช้จะงอยปากของมันเคาะกระจกผมอย่างเป็นจังหวะผมไม่รู้เหมือนกันว่าในใจของผมตอนนั้นมันรู้สึกอย่างไรกันแน่ระหว่างกลัว หรือกลัวว่านกมันจะตาย อาจเป็นเพราะผมโตมากับบ้านที่เลี้ยงสัตว์จำนวนมากตั้งแต่จำความได้ผมก็มีหมามีแมวเป็นพี่ชายพี่สาว ผมเปิดประตูกระจกออกไปเปิดไฟ ลองเอื้อมมือไปจับมันดูแต่มันก็ขยับหนี
          ผมพยายามออกเสียงไล่ เอามือเอาเท้าเขี่ยมันแล้วมันก็ไปจริงๆแต่มันไม่ได้ไปไหนไกล มันบินวนอยู่นอกระเบียงห้องอีกพักหนึ่งจึงหายไปจากตรงนั้น
          สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีคำอธิบาย และไม่น่าเชื่อเลยสักนิด แต่ตลอดชีวิตของผมที่ผ่านมาเคยได้เจอกับเรื่องราวแบบนี้มาหลายครั้งทำให้พอจะทำใจเชื่อมันได้ไม่ยากนัก
          ผมปล่อยให้ตัวเองหลับไปอีกครั้ง แม้ว่าในช่วงก่อนฟ้าสางผมจะถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงหมาหอนไล่ยาวมาจากทางเข้าหอใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และเสียงโหยหวนนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงที่ถนนตรงกับระเบียงห้องของผม ผมได้ยินเสียงเบาๆลอยมาตามลม ‘หลับเถอะ’
          เหมือนกับว่าประโยคนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืนได้ ผมหลับในทันทีจนถึงช่วงสายๆของอีกวัน ครั้งนี้ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ของแม่ ตอนนี้แม่มารอผมอยู่แล้วที่ด้านล่างของหอพักเหมือนทุกครั้ง ผมเก็บของเดินลงมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวแม่จะรอนานและอยากกลับบ้านด้วยเช่นกัน
          ทุกอย่างปกติดีจนกลางคืนมาถึง ผมนั่งเล่นคอมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งวางอยู่ติดกับหน้าต่าง เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นทั่วบริเวณหน้าบ้านอย่างชัดเจน ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียง แก๊ง เหมือนเหล็กกระทบกันดังมาจากประตูรั้ว ผมชะโงกหน้ามองในครั้งแรกตรงนั้นยังไม่มีใคร
          แต่เสียงเหล็กกระทบกันก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมตั้งใจลุกไปมองจึงได้เห็นหญิงสาวในชุดสกปรกคนเดิม เธอมายืนอยู่ที่หน้าบ้านของผมเหมือนพยายามจะผ่านเข้ามาแต่ทำไม่ได้ ผมรวบรวมสติแผ่เมตตาให้เธอบอกกับเธอดีๆว่า เธอควรจะกลับไปในที่ของเธออย่าได้มาก่อนกวนเพื่อสร้างกรรมกันอีกเลย
          เธอหายไปแทบจะในทันทีหลังจากการสื่อสารนั้น ผมลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะนอนผมเดินไปกราบพระที่หิ้งพระใกล้ๆห้องนอน วันนั้นผมรู้สึกไม่สบายใจจึงนั่งสมาธิต่ออีกพักหนึ่ง
          ในสมาธินั้นผมรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจดจ้องผมอยู่จากด้านหลัง แม้ไม่หันไปมองที่ในสภาวะที่จิตของเรานิ่งมากพอเราจะรับรู้ได้ถึงสภาพรอบข้างยิ่งถ้ามันไม่ใช่สิ่งปกติ เราจะยิ่งรับรู้มันได้ชัดเจนมากขึ้นเหมือนกับที่คนทั่วไปมักบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนมารายล้อมเวลานั่งสมาธิ
          ในความมืดของการหลับตานั้นมีแสงสีขาวฉายสว่างไปทั่วเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันถูกสอดแทรกด้วยเงาดำผอมบาง เมื่อเพ่งดูให้ดีจะเห็นว่าเป็นรูปร่างคล้ายคน เงาร่างนั้นค่อยๆชัดขึ้นในความมืดที่เริ่มเข้ามาแทนทีแสงสีขาว
          เงาดำนั้นค่อยๆก่อเป็นรูปร่างชัดเจนจนเกือบเห็นเป็นใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จัก ในมือเงื้อสิ่งของบางอย่างขึ้นมา มีดอาคม ความรู้สึกของผมบอกเช่นนั้น
‘อย่ามาเฉือก!’
          พร้อมๆกับเสียงตะคอกนั้นดังเข้ามาในโสตประสาทผมก็รู้สึกเจ็บแปลบลามไปทั่วแผ่นหลัง ความเจ็บนั้นรุนแรงจนผมต้องร้องออกมาเสียงดัง น้ำตาไหลเหมือนกับถูกของมีคมบาดเข้าจริงๆ
          นอกจากความเจ็บนั้นแล้วผมยังรู้สึกปวดหัวคลื่นไส้จนต้องวิ่งทั้งๆที่ยังเจ็บอยู่อย่างนั้นไปอ้วกในห้องน้ำอย่างทนไม่ได้ ผมคลานลากเอาสังขารตัวเองกลับเข้ามานอนในห้อง เพดานบ้านหมุนคว้างไปมาอย่างน่าตาลาย แล้วสุดท้ายก็เหมือนกับผมเป็นลมหมดสติไป
          ผมตื่นมาอีกครั้งในช่วงสายแก่ๆอีกวัน ความทรมานที่เคยมีเบาลงแล้วแต่ยังรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก และครั่นเนื้อครั่นตัว ผมพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีเดินลงไปข้างล่างเล่าเรื่องราวให้แม่ฟัง แล้วมันก็แปลกเมื่อแม่เล่าให้ผมฟังว่า เมื่อคืนมีเงาหญิงสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ปลายเตียงจดจ้องอแม่ของผมอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน
          แม่พาผมเดินไปหาปู่ที่อยู่บ้านถัดไปไม่กี่หลัง เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้ปู่รับรู้พร้อมกับความลับที่ปิดเอาไว้กับแม่ว่าผมเพิ่งไปสระแก้วมาด้วยเรื่องราวของพี่วิท แม่ไม่ได้ตำหนิอะไร แต่รู้สึกห่วงมากกว่า ปู่ขอดูที่แผ่นหลัง ผมเปิดเสื้อให้ปู่ดู
          ปู่บอกว่ามันเป็นรอยม่วงช้ำอยู่ที่แผ่นหลังแม่เอามือลูบคลำดูเพื่อสอบอาการตามวิชาชีพของแม่ผมไม่รู้สึกเจ็บมากนักแค่ระบมเล็กน้อย แต่เมื่อมือปู่มาสัมผัสที่รอยช้ำนั้นผมกลับรู้สึกเจ็บเหมือนโดนมือควักเข้าไปในเนื้อจนต้องร้องออกมา
‘โดนวิชาเขามาแล้วไหมล่ะ’
          ปู่เรียกให้ผมเข้าไปในห้องพระเพื่อทำการรักษา สายสิญจน์ใต้ฐานพระประทานในห้องถูกยึดโยงเข้าที่มือของผม น้ำมนต์ที่ปู่สวดมาตลอดเป็นปีๆถูกตักด้วยขันใบน้อยเอามาให้ผมจิบ เพียงริมฝีปากสัมผัสผมรู้สึกว่าน้ำนั้นมันร้อนเหมือนกับน้ำต้มเดือด ผมปัดขันตกด้วยความลืมตัว
          ปู่บังคับเสียงแข็งให้ผมกินเข้าไปใหม่  จนต้องใช้คำว่าจับกรอก ผมจำความรู้สึกที่กลืนน้ำร้อนๆนั้นลงคอได้ดีมันเจ็บและทรมานมาก ผมร้องออกมาสุดเสียงด้วยความทรมานแต่ในหูของผมกลับได้ยินเป็นเสียงของหญิงสาว เสียงนั้นเล็กแหลมบาดหูเป็นที่สุด ผมเริ่มรู้สึกมึนหัวร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าคล้ายจะเป็นลม
          อยู่ดีๆลมก็ตีขึ้นมาจากกระเพาะแล้วผมก็อ้วกเอาอะไรบางอย่างออกมาโดยที่ผมมองมันไม่ค่อยเห็น แต่ผมกลับหมดแรงอย่างประหลาด ผมลงมานั่งหอบอยู่ที่เดิม ปู่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายที่ผมสรรหาเรื่องมาเข้าตัวอย่างนี้ แต่ปู่ก็เข้าใจดีว่าผมทำไปเพราะอะไร
          สรุปแล้วผมคงโดนอาคมจากหมอผีเจ้าของวิชาที่มีคนไปจ้างทำร้ายแม่พี่วิทมาเอาคืนที่ไปช่วยเหยื่อของมัน วันนั้นจบลงด้วยอาการนอนซมของตัวผมไปตลอดทั้งคืน
          พรุ่งนี้จะมาลงต่อตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดนะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ไม่ได้อยากจะให้ข้ามวันเลยแต่ด้วยภาระงานประจำที่มีทำให้ไม่สามารถลงต่อได้จนจบในครั้งเดียวครับ ขอโทษครับผมไม่รู้เหมือนกันว่าในใจของผมตอนนั้นมันรู้สึกอย่างไรกันแน่ระหว่างกลัว หรือกลัวว่านกมันจะตาย อาจเป็นเพราะผมโตมากับบ้านที่เลี้ยงสัตว์จำนวนมากตั้งแต่จำความได้ผมก็มีหมามีแมวเป็นพี่ชายพี่สาว ผมเปิดประตูกระจกออกไปเปิดไฟ ลองเอื้อมมือไปจับมันดูแต่มันก็ขยับหนี
          ผมพยายามออกเสียงไล่ เอามือเอาเท้าเขี่ยมันแล้วมันก็ไปจริงๆแต่มันไม่ได้ไปไหนไกล มันบินวนอยู่นอกระเบียงห้องอีกพักหนึ่งจึงหายไปจากตรงนั้น
          สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีคำอธิบาย และไม่น่าเชื่อเลยสักนิด แต่ตลอดชีวิตของผมที่ผ่านมาเคยได้เจอกับเรื่องราวแบบนี้มาหลายครั้งทำให้พอจะทำใจเชื่อมันได้ไม่ยากนัก
          ผมปล่อยให้ตัวเองหลับไปอีกครั้ง แม้ว่าในช่วงก่อนฟ้าสางผมจะถูกปลุกอีกครั้งด้วยเสียงหมาหอนไล่ยาวมาจากทางเข้าหอใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และเสียงโหยหวนนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงที่ถนนตรงกับระเบียงห้องของผม ผมได้ยินเสียงเบาๆลอยมาตามลม ‘หลับเถอะ’
          เหมือนกับว่าประโยคนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืนได้ ผมหลับในทันทีจนถึงช่วงสายๆของอีกวัน ครั้งนี้ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโทรศัพท์ของแม่ ตอนนี้แม่มารอผมอยู่แล้วที่ด้านล่างของหอพักเหมือนทุกครั้ง ผมเก็บของเดินลงมาอย่างรวดเร็วเพราะกลัวแม่จะรอนานและอยากกลับบ้านด้วยเช่นกัน
          ทุกอย่างปกติดีจนกลางคืนมาถึง ผมนั่งเล่นคอมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งวางอยู่ติดกับหน้าต่าง เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นทั่วบริเวณหน้าบ้านอย่างชัดเจน ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียง แก๊ง เหมือนเหล็กกระทบกันดังมาจากประตูรั้ว ผมชะโงกหน้ามองในครั้งแรกตรงนั้นยังไม่มีใคร
          แต่เสียงเหล็กกระทบกันก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมตั้งใจลุกไปมองจึงได้เห็นหญิงสาวในชุดสกปรกคนเดิม เธอมายืนอยู่ที่หน้าบ้านของผมเหมือนพยายามจะผ่านเข้ามาแต่ทำไม่ได้ ผมรวบรวมสติแผ่เมตตาให้เธอบอกกับเธอดีๆว่า เธอควรจะกลับไปในที่ของเธออย่าได้มาก่อนกวนเพื่อสร้างกรรมกันอีกเลย
          เธอหายไปแทบจะในทันทีหลังจากการสื่อสารนั้น ผมลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะนอนผมเดินไปกราบพระที่หิ้งพระใกล้ๆห้องนอน วันนั้นผมรู้สึกไม่สบายใจจึงนั่งสมาธิต่ออีกพักหนึ่ง
          ในสมาธินั้นผมรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจดจ้องผมอยู่จากด้านหลัง แม้ไม่หันไปมองที่ในสภาวะที่จิตของเรานิ่งมากพอเราจะรับรู้ได้ถึงสภาพรอบข้างยิ่งถ้ามันไม่ใช่สิ่งปกติ เราจะยิ่งรับรู้มันได้ชัดเจนมากขึ้นเหมือนกับที่คนทั่วไปมักบอกว่ารู้สึกเหมือนมีคนมารายล้อมเวลานั่งสมาธิ
          ในความมืดของการหลับตานั้นมีแสงสีขาวฉายสว่างไปทั่วเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มันถูกสอดแทรกด้วยเงาดำผอมบาง เมื่อเพ่งดูให้ดีจะเห็นว่าเป็นรูปร่างคล้ายคน เงาร่างนั้นค่อยๆชัดขึ้นในความมืดที่เริ่มเข้ามาแทนทีแสงสีขาว
          เงาดำนั้นค่อยๆก่อเป็นรูปร่างชัดเจนจนเกือบเห็นเป็นใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จัก ในมือเงื้อสิ่งของบางอย่างขึ้นมา มีดอาคม ความรู้สึกของผมบอกเช่นนั้น
‘อย่ามาเฉือก!’
          พร้อมๆกับเสียงตะคอกนั้นดังเข้ามาในโสตประสาทผมก็รู้สึกเจ็บแปลบลามไปทั่วแผ่นหลัง ความเจ็บนั้นรุนแรงจนผมต้องร้องออกมาเสียงดัง น้ำตาไหลเหมือนกับถูกของมีคมบาดเข้าจริงๆ
          นอกจากความเจ็บนั้นแล้วผมยังรู้สึกปวดหัวคลื่นไส้จนต้องวิ่งทั้งๆที่ยังเจ็บอยู่อย่างนั้นไปอ้วกในห้องน้ำอย่างทนไม่ได้ ผมคลานลากเอาสังขารตัวเองกลับเข้ามานอนในห้อง เพดานบ้านหมุนคว้างไปมาอย่างน่าตาลาย แล้วสุดท้ายก็เหมือนกับผมเป็นลมหมดสติไป
          ผมตื่นมาอีกครั้งในช่วงสายแก่ๆอีกวัน ความทรมานที่เคยมีเบาลงแล้วแต่ยังรู้สึกปวดหัวอย่างหนัก และครั่นเนื้อครั่นตัว ผมพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีเดินลงไปข้างล่างเล่าเรื่องราวให้แม่ฟัง แล้วมันก็แปลกเมื่อแม่เล่าให้ผมฟังว่า เมื่อคืนมีเงาหญิงสาวคนหนึ่งมายืนอยู่ปลายเตียงจดจ้องอแม่ของผมอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน
          แม่พาผมเดินไปหาปู่ที่อยู่บ้านถัดไปไม่กี่หลัง เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้ปู่รับรู้พร้อมกับความลับที่ปิดเอาไว้กับแม่ว่าผมเพิ่งไปสระแก้วมาด้วยเรื่องราวของพี่วิท แม่ไม่ได้ตำหนิอะไร แต่รู้สึกห่วงมากกว่า ปู่ขอดูที่แผ่นหลัง ผมเปิดเสื้อให้ปู่ดู
          ปู่บอกว่ามันเป็นรอยม่วงช้ำอยู่ที่แผ่นหลังแม่เอามือลูบคลำดูเพื่อสอบอาการตามวิชาชีพของแม่ผมไม่รู้สึกเจ็บมากนักแค่ระบมเล็กน้อย แต่เมื่อมือปู่มาสัมผัสที่รอยช้ำนั้นผมกลับรู้สึกเจ็บเหมือนโดนมือควักเข้าไปในเนื้อจนต้องร้องออกมา
‘โดนวิชาเขามาแล้วไหมล่ะ’
          ปู่เรียกให้ผมเข้าไปในห้องพระเพื่อทำการรักษา สายสิญจน์ใต้ฐานพระประทานในห้องถูกยึดโยงเข้าที่มือของผม น้ำมนต์ที่ปู่สวดมาตลอดเป็นปีๆถูกตักด้วยขันใบน้อยเอามาให้ผมจิบ เพียงริมฝีปากสัมผัสผมรู้สึกว่าน้ำนั้นมันร้อนเหมือนกับน้ำต้มเดือด ผมปัดขันตกด้วยความลืมตัว
          ปู่บังคับเสียงแข็งให้ผมกินเข้าไปใหม่  จนต้องใช้คำว่าจับกรอก ผมจำความรู้สึกที่กลืนน้ำร้อนๆนั้นลงคอได้ดีมันเจ็บและทรมานมาก ผมร้องออกมาสุดเสียงด้วยความทรมานแต่ในหูของผมกลับได้ยินเป็นเสียงของหญิงสาว เสียงนั้นเล็กแหลมบาดหูเป็นที่สุด ผมเริ่มรู้สึกมึนหัวร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าคล้ายจะเป็นลม
          อยู่ดีๆลมก็ตีขึ้นมาจากกระเพาะแล้วผมก็อ้วกเอาอะไรบางอย่างออกมาโดยที่ผมมองมันไม่ค่อยเห็น แต่ผมกลับหมดแรงอย่างประหลาด ผมลงมานั่งหอบอยู่ที่เดิม ปู่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายที่ผมสรรหาเรื่องมาเข้าตัวอย่างนี้ แต่ปู่ก็เข้าใจดีว่าผมทำไปเพราะอะไร
          สรุปแล้วผมคงโดนอาคมจากหมอผีเจ้าของวิชาที่มีคนไปจ้างทำร้ายแม่พี่วิทมาเอาคืนที่ไปช่วยเหยื่อของมัน วันนั้นจบลงด้วยอาการนอนซมของตัวผมไปตลอดทั้งคืน
          พรุ่งนี้จะมาลงต่อตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดนะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ไม่ได้อยากจะให้ข้ามวันเลยแต่ด้วยภาระงานประจำที่มีทำให้ไม่สามารถลงต่อได้จนจบในครั้งเดียวครับ ขอโทษครับเรื่องราวทั้งหมดดำเนินมาจนถึงบทสรุป หลังจากที่ผมได้พักฟื้นจากการถูกทำร้ายในวันนั้นได้ไม่นาน หมอผีนั่นก็ยังไม่หยุดที่จะตามรังควานพวกเราอีกอยู่ดี
‘ฮัลโหลแก วิทมันเป็นอีกแล้วอ่ะ’
          ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่มุกในช่วงสายๆวันหนึ่ง เนื้อความในนั้นบอกว่าพี่วิทกลับมามีอาการผิดปกติไม่เป็นตัวเองอีกครั้ง เขาเริ่มเก็บตัวไม่ออกไปพบเจอใคร บางครั้งความทรงจำเริ่มขาดหายอารมณ์ร้ายเกรี้ยวกราด แต่ยังดีที่ยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้างทำให้พี่วิทเป็นคนบอกเพื่อนเองถึงความไม่สบายใจที่มีอยู่
‘กรูว่ากรูเป็นอีกแล้วว่ะ’
          ผมยังไม่ได้ไปพบกับพี่วิทแต่แวะมานั่งคุยกับพี่มุกพี่ส้มเสียก่อน ระหว่างช่วงเวลาที่เรื่องราวทั้งหมดได้เกิดขึ้นผมก็จับพลัดจับผลูได้พี่ส้มและพี่มุกมาเป็นสายรหัสไม่รู้ว่าเพราะบุญหรือบาปกันแน่ แต่มันก็ทำให้เรายิ่งสนิทกันมากขึ้นติดต่อกันง่ายขึ้นเหมือนในครั้งนี้
          พวกเรานั่งคุยกันที่โต๊ะไม้หน้าภาคเหมือนทุกที สิ่งที่ผมได้ฟังในวันนั้นคือคืนหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานมีเพื่อนไปนอนเป็นเพื่อนพี่วิทตามคำเตือนของผมว่าอย่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวในช่วงวันโกนวันพระเพราะอาจจะถูกทำซ้ำอีกก็ได้ คืนนั้นพี่คนที่มานอนเป็นเพื่อนตื่นมาจะเข้าห้องน้ำในช่วงกลางดึก
          บนเตียงนอนพี่วิทและเพื่อนนอนหันหน้าไปทางเดียวกัน ตรงกลางมีช่องว่างพอจะให้อีกคนเข้ามานอนได้ก็จริงแต่วันนั้นไม่ได้มีใครมานอนตรงนั้น เพื่อนผู้หญิงอีกคนนอนอยู่บนที่นอนตรงพื้นข้างเตียง แต่ในสายตาของเพื่อนเห็นว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนอนคั่นกลางระหว่างเขากับพี่วิท
          ผมของเธอยาวจนมองไม่เห็นส่วนอื่น ไม่เห็นเสื้อผ้า ไม่เห็นผิวหน้า หรือใบหน้าใดๆ เธอไม่ได้หันมาไม่ได้ขยับตัว คนเห็นไม่มั่นใจนักว่าเธอนอนอยู่เฉยๆหรือว่ากำลังกอดพี่วิทอยู่กันแน่
          เพื่อนของพี่วิทไม่กล้าลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วเลยพยายามหลับตาเพื่อให้ตัวเองหลับได้อีกครั้ง จนในรุ่งเช้าหลังจากทุกคนตื่นขึ้นมาแล้วจึงไปถามเพื่อนผู้หญิงที่นอนอยู่กับพื้นว่าได้สลับที่นอนหรือเปล่า แต่คำตอบก็คือ ไม่
          ตัวพี่วิทเองเล่าให้ฟังเขาเริ่มรู้สึกไม่อยากพบเจอผู้คนอยากอยู่เงียบๆในห้องแม้แต่กับเพื่อนก็ไม่อยากจะสนทนาด้วย และทุกครั้งที่อยู่ในห้องจะไม่อยากเปิดไฟ อยากอยู่ในความมืดและเงาสลัวๆจากแสงไฟถนนเท่านั้น การอยู่ในห้องมืดๆนั้นดูมีความสุขมากกว่าการออกไปเดินเล่นข้างนอกห้องเสียอีก
          เขาเริ่มรำคาญสร้อยพระที่แขวนอยู่บนคอหลายครั้งที่เขาเผลอเอื้อมมือจะไปปลดมันออกจากคอแต่ดีที่สตของเขายังหลงเหลืออยู่เพียงพอที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ทำอย่างนั้น ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คงจะเหมือนกับการที่คนคนหนึ่งต้องทะเลาะกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา เสียงหนึ่งบอกให้ทำแต่อีกเสียงบอกไม่ให้ทำ แต่ทั้งสองเสียงนั้นคือตัวเขาเอง


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
ปู่โสม เฝ้าสวน
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ