วันศุกร์, 29 กันยายน 2566

เมื่อคืนใครมาส่งผม?

เรื่องนี้ถ้าใครไม่เจอกับตัว ก็ยากที่จะเชื่อ มือใหม่ อาจจะเรียบเรียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ

เมื่อคืนใครมาส่งผม??………………
คืนหลังงานเลี้ยงปีใหม่ ผมกับเพื่อนแยกย้ายกันกลับ โดยที่ผมนั่งรถไปกะเพื่อนอีกคน ซึ่งอยู่ระแวกบ้านเดียวกัน
เสียงสนทนาระหว่างทางกลับบ้าน

เพื่อน: ทางเปลี่ยวจริงๆ บ้านเมิง
ผม: นี้ยังไม่ถึงแถวบ้านกูเลย ศาลาทางเลี้ยวบ้านกูก็ยังไม่เห็น บ้านเมิงหรือป่าว เปลี่ยวโคตร
เพื่อน: หรือมาอีกทางนึงวะ กูไม่น่ามาทางลัดเลย
แมร่งเดี๋ยวโดนผีหลอก
ผม: ห่า พูดเชี้ยๆ ดึกป่านนี้ เขาไม่ให้พูดเรื่องพันนั้น
เพื่อน: โอ๊ยเมิง ผีกูไม่กลัวหรอก กูกลัวโดนปล้นมากกว่า เมิงช่วยกูดูทางไปเหอะ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะพูดพล่อยๆออกมา เพราะโดยปกติ มันจะพูดตรงๆ พูดไม่คิดอยู่แล้ว
เฮ้ย ระวัง !
โคร้มมม เสียงรถกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง อย่างจัง
เมื่อกี้กูเห็นอะไรวิ่งตัดหน้าไปแวบๆ ผมหันไปพูดกับมัน เพื่อนผมมองหน้า และเปิดประตูออกไป
  ออกมาดูนี้เร็ว..

เสียงเพื่อนเรียกผมด้วยความตกใจ หน้ามันเว่อเหมือนตอนที่มันเคยโดนเพื่อนแกล้งอยู่เป็นประจำ
นกตัวใหญ่ ขนสีน้ำตาล ตากลม มันเพ่งออกมาที่หน้าของพวกผม เพราะมันคอหัก หัวมันจึงหันไปคนละทิศทางกับตัว เป็นภาพที่หน้ากลัวและยังติดตาผมมาจนถึงทุกวัน

ผม: ทำไงละทีนี้ หน้ารถยุบไปเลยเมิง แล้วจะไปต่อได้ไหมเนี้ย
เพื่อน: กูว่าคงต้องนอนแถวนี้แล้วแหละ
ผม: เมิงพูดบ้าๆ แค่นี้มันถึงจะไปต่อไม่ได้เลยหรอวะ แล้วแถวนี้ก็เปลี่ยวสุดๆ
เพื่อน: ถ้านกตัวนี้ไม่ออกไป กูก็คงไม่กล้าขับไปโดยมีมันติดหน้ารถไปด้วยหรอกนะ 55
มันพูดแล้วขำออกมา ทั้งๆที่สถานการตอนนี้ไม่ใช่เรื่องตลกเลย
เออ เดี๋ยวกูไปเอาอะไรมางัด
ผมบอกมันแล้วเดินไปเอาอุปกรณ์ในรถที่เบาะด้านหลัง
ใช้เวลาสักพัก ผมควานหาจนเจอ แล้วจึงหยิบออกมา พร้อมกับสายตาที่มองออกไปยังท้องถนนด้านหลัง ของรถ

ใครนะ !

ผมกำลังจ้องมองกับอะไรสักอย่างที่กำลังเคลื่อนเข้ามา ถึงจะมองไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามีใครสักคนที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ผม แต่ผมก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันคืออะไร ความคิดแรกเข้ามาในหัว ต้องเป็นโจรแน่ๆ ผมรีบเดินไปหาเพื่อนที่ด้านหน้าของรถ

เห้ยเมิง ข้างหลัง .. ..

ผมหยุดนิ่ง เสียงทิ้งช่วงและตัดหายไป มันพูดไม่ออก เมื่อผมเดินออกมาหาเพื่อน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น…..

***
หลังจากควานหาของแล้วเดินอ้อมมาข้างหน้า
เพื่อนที่คิดว่าอยู่ตรงนั้น กลับหายไป
เหลืออยู่แต่ความว่างเปล่า แม้นกที่ติดอยู่ตรงหน้ารถก็หายไปด้วย กลายเป็นว่าเหลือเราตัวคนเดียวบนถนนที่ไม่รู้จักสายนี้
ผมมองไปรอบๆ พร้อมกับเรียกตะโกนชื่อเพื่อนเบาๆ สายตายังคงกวาดมองไปที่หลังรถ วาดระแวงว่าจะมีผู้ใดเข้ามาที่ผม

พรึบ ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น รับรู้ได้ด้วยปลายสายตา จนต้องหันควับไปต้นทางของความรู้สึกนั้น

นั้นอะไร! ผมเดินตรงไปในพุ่มไม้ที่มีโพรงอยู่ประมาณระดับอก ร่องรอยบางอย่างบ่งบอกว่ามีอะไรเพิ่งเข้าไปในนี้ ผมจึงเปิดไฟฉายในมือถือ แล้วส่องรอดโพรงเข้าไป ตุ๊กตาหุ่นตัวเล็กๆ ลักษณะเหมือนนางรำ ถูกวางอยู่รวมกันประมานนึง บางตัวก็ล้ม บางตัวไม่สมบูรณ์ ผมนั่งยองๆ โดยอัตโนมัติ และเตรียมที่จะยื่นมือเข้าไป

เงาจากแสงไฟฉายในมือถือทำให้เกิดเงาของมือผม ใช่! อันนี้ผมเข้าใจได้ แต่เงาที่ค่อยๆเกิดขึ้นอยู่ข้างๆเงาของผม ผมไม่สามารถอธิบายได้
เงานั้นค่อยๆเคลื่อนเข้ามาจากด้านหลัง
…..
ผมไม่กล้าที่จะหันไปมอง ความรู้สึกไม่คิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตเริ่มโลดแล่นเข้ามา ผมพยายามมองโดยเอียงคอนิดๆ ใช้หางตามองออกไป

เฮ้ย ผมร้องออกมา

ตัวผมถูกกระชากจากด้านหลัง จนตูดจ้ำเบ้านั่งลง ผมถึงกับด่าออกมาด้วยความตกใจ เมื่อหันไปมอง ก็ไม่มีใครสักคนที่จะมาดึงผม ผมรีบลุกขึ้นแล้วหยิบท่อนไม้หนึ่งท่อนไว้ในกำมือเดินไปที่รถ

มันไปใหนวะ ผมอุทานออกมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อน
ผมหยุดอยู่ตรงหน้ารถ ส่องไฟฉายรอดเข้าไปในรถ

เฮ้ยยยยยย ผมลากยาวด้วยความตกใจ
เพื่อนผมนั่งอยู่ตรงเบาะคนขับ ผมดีใจที่เห็นเพื่อนกลับมา จึงรีบเปิดประตูเข้าไปชักถามด้วยความเป็นห่วง

“เมิงไปใหนมาวะ ให้กูหาอยู่ตั้งนาน”
แววตามันนิ่ง มองตรงไปข้างหน้า แล้วไม่สบตาผม คำตอบที่ได้มา ……

***
คำตอบที่ได้มา..
มันส่ายหัว 2 ที คล้ายจะบอกว่าไม่ได้ไปใหน
“สาส ก็ถ้าไม่ไปใหนแล้วกูจะหาไม่เจอได้ไง”
ทีนี้เพื่อนผมก้มหน้าลงมองที่พวงมาลัย แล้วเอ่ยกลับมาว่า”ไปกันเถอะ”
“เมิงไหวนะ จะจอดพักก่อนก็ได้ กูไม่ว่า”

“กูไหว”. ผมสะดุ้งเฮือก

มันหันมาด้วยความรวดเร็ว สีหน้าและแววตาดูกำลังหงุดหงิดกับบางสิ่ง นั้นคงเป็นผมแน่ๆ ตาจ้องมาที่ผม เป็นสายตาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนผมเริ่มรู้สึกบางอย่างกับเพื่อนผมขึ้นมา

“อ่าๆ โอเค แต่ถ้าเมิงไม่ไหวบอกกูนะ” ผมเป็นคนขับรถไม่แข็ง ใบขับขี่ที่ได้มาก็ได้มาอย่างทุลักทุเล เรียกได้ว่าขับเป็นเฉพาะตอนสอบเท่านั้น

ระหว่างทางที่มันขับไป สายตามันมุ่งมั่นในการขับมาก คล้ายกับคนชินเส้นทางสายนี้มานานนม

กึก รถหยุดลง ผมตั้งหลักได้ จึงถามมันออกไป
“จะจอดทำไมวะ หรือเมิงจะพักก่อน” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“ป่าว” .. ทิ้งช่วงไประยะนึง.. “จอดส่งคน” …
คำตอบธรรมดาที่มันทำให้ผมเย็นยะเยือกและขนลุกไปทั่วทั้งตัว
ผมเริ่มกลัว และไม่แน่ใจแล้วว่า ตรงหน้าผม คือเพื่อนผมหรือไม่ แต่จะไม่ใช่ได้อย่างไร ก็ทุกอนู หน้าตา มันคือเพื่อนผมชัดๆ แต่ที่ต่างไปคือความรู้สึกและจิตวิญญานที่มันแสดงออกมา
“เมิงตลกหรอ เอาใครมาด้วยละ มีแค่กูกับเมิงแค่สองคน อย่าว่าแต่คนเลย รถสักคันกูยังไม่เห็น” ผมพูดออกไปเพื่อลดความกลัว เพราะผมคิดว่ามันอาจจะอำผมเล่นก็ได้

“ต่อไปก็บ้านเองแล้วสินะ” เพื่อนเอ่ยขึ้น
ผมจ้องมันตลอดทาง
“฿;/@ ฿@” เสียงมุบมิบเบาๆ เหมือนบ่นพึมพำอยู่ตลอดเวลา เพื่อนผมขับไปขยับปากไป
ผมอยากจะกระชากตัวเองออกไปจากตรงนี้เหลือเกิน แต่ขืนออกไป ผมคงต้องเดินไร้จุดหมายในเวลาตี1บนถนนเส้นนี้เพียงลำพัง

ผมนึกอะไรไม่รู้ จึงถามมันไปว่า
“เมื่อตอนรถจอดอยู่ กูเห็นเหมือนใครกำลังเดินเข้ามา…
เพื่อนผมส่ายหัว และขำออกมา จากนั้นค่อยๆ

ถอนหายใจออกมา เฮือก ๆ
“นี้กำลังล้อกูเล่นอยู่ใช่ไหม”ผมสาดเสียงตะคอกออกไป แม้จะกลัว แต่ก็ทนไม่ไหวแล้ว

“อืม”
เสียงเย็นยะเยือกตอบกลับ
แม้จะน่ากลัว อย่างน้อยก็ทำให้ผมคิดอยู่ว่ามันคือเพื่อนผม

การเดินทางที่ดูยาวไกล นานแสนนาน อันที่จริงอีกนิดเดียวก็คือบ้านผม
เสียงฉิ่ง ฉับ ซอ ดังขึ้น
วิทยุเปิดขึนมา มันโยกตัวไปพร้อมกับเสียงเพลง และอยู่ในลำคอ เป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อนผมจะชอบเสียงดนตรีไทย
ผมเลยเอื้อมมือไปจะปิดเสียง
….
พรึบ
โอ้ย ผมร้องขึ้น
มันคว้ามือผมไว้ “จะทำอะไร” ตามันแดงออกมา คล้ายกับว่าผมไปด่าพ่อด่าแม่มัน
“อย่ามายุ่งกับกู” มันตะคอกดังไปทั่วทั้งรถ
ผมตัวสั่นมาก ใช่แน่ๆ ผมกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ มันไม่ใช่เพื่อนผม
ผมรีบง้างมือมันอออก สวดมนตร์ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ เรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่นับถือบูชา เท่าที่จะทำได้
“คิดหรอว่าจะกลัว” พูดและขำออกมา เหมือนในละครที่เวลาปีศาจหัวเราะ
ผมฮึดสุดท้าย ยกมือไว้พระในบ้านที่นับถือ
“โอ๊ย” มันร้อง ละเงียบไป แต่ตามันก็ยังขับรถไปตามถนน
แสงไฟสีส้มข้างหน้าอีกไม่ไกล ส่องสาดอยู่บนถนน บ่งบอกว่าอีกไม่นานก็ถึงบ้านของผม

**
แสงไฟสีส้มข้างหน้า บ่งบอกถึงว่าอีกไม่นานก็จะถึงบ้านของผม
แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นมันจะต้องวิ่งผ่านปากทางเข้าวัด
เมื่อรถเคลื่อนไป ความเร็วของรถค่อยๆลดลง ทั้งที่มีรถเราเพียงแค่คันเดียวบนถนน
“เฮ้ย ขับให้มันไวๆหน่อย” ผมพยายามดึงสติเพื่อนกลับมา แต่พูดไปก็เหมือนหายใจทิ้งไปเท่านั้น
ทุกบทสวดที่ผมนึกออกอยู่ในใจ ผมท่องจนหมด เพื่อหวังว่าจะสู้อยู่กับเรื่องที่เผชิญอยู่ได้บ้าง
และแล้วก็ถึงหน้าวัด – เป็นไปตามคาด รถเราจอดนิ่ง ผมไม่กล้าที่จะมองมัน แถมหมายังมาหอนกันให้ลั่นวัดเสียงเงียบๆ ผสานเสียงหมาหอน ช่างช่วยเพิ่มความหลอนของผมขึ้นไปอีก
ถึงจะไม่กล้าจ้องเพื่อน แต่ผมก็ชำเลืองมอง
“เฮ้ย มันทำอะไรวะ” ผมอุทานในใจ

มันเอามือจับริมฝีปากล่าง แล้วก็ดึงลงมาจนเห็นฟันล่าง ถ้านึกภาพไม่ออก คุณลองเอามือจับริมฝีปากล่างแล้วดึงห้อยลงมา แล้วส่องกระจก นั้นแหละครับ แบบนั้นเลย แถมตามันยังชำเลืองมองผมอีก
ถึงจุดนี้ผมคงอยู่ไม่ได้แล้ว ถึงจะถูกหมาวัดกัดผมก็ยอม
ผมผลักประตูออก แล้วรีบลงจากรถ หมาพอได้กลิ่น มันก็กรูกันเข้ามา ผมค่อยๆเดินเข้าไปในวัด ทิ้งเพื่อนกับรถไว้ข้างหลัง
หลวงพี่รูปนึงเดินออกมาจากกุฏิ เพราะคงได้ยินเสียงผมตวาดสุนัข
พระ: จะไปใหนหรอโยม ดึกๆดื่นๆ
ผมยกมือไหว้
ผม: ผมโดนผีหลอกครับ หลวงพี่
หลวงพี่ชะงัก แล้วเหลือบมองไปทางด้านหลัง
พระ: แล้วรถเจ้าหรอ ที่จอดอยู่นะ เพื่อนเจ้ากำลังเดินลงมา นู่นนะ
ผมถึงกับสะอึก พร้อมถามย้ำกับไป “อะไรนะครับ พะพะเพื่อนผมกำลังเดินลงมา”
สิ้นเสียง ผมตัดสินใจกับไปมอง มันอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว ผมวิ่งอ้อมไปอยู่ด้านหลังของหลวงพี่ด้วยความรวดเร็ว
“ใจเย็นๆโยม” หลวงพี่กล่าว
น่าแปลกที่เพื่อนผมดูปกติดี เมื่อยืนอยู่หน้าพระ
พระ: มีอะไรจะคุยกับ อาตมาหรือป่าว
เพื่อนพนมมือ แล้วร้องไห้ออกมา……..

**
ฮือฮือฮือ
สลับกับสะอึก
เพื่อน:”ผม ผม ฮือๆ”
พูดซ้ำๆกับร้องไห้ จนหลวงพี่ต้องแทรกเสียงขึ้น
หลวงพี่: หยุดหรือยัง อาตมาถามแค่นี้
ไม่มีผล มันก็ยังร้องไห้ก้มหน้าอยู่
พระท่านส่ายหัว…
“ปลงเสียเถิดโยม เลิกอาฆาตได้แล้ว นี้ก็ผ่านมาหลายปี พอได้แล้ว หลวงพี่ก็คงช่วยได้เท่านี้”
บทสนทนาที่ผมได้ยิน ช่างไม่เกรงใจคนแอบฟังอยู่ข้างหลังเอาเสียเลย ทำไมนะหรอ ก็ดูสิว่า คนเราเพิ่งเจอกัน แต่คุยเหมือนรู้คนจักกันมานาน แสดงว่าสองคนนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ผมผงะออกไปนิดนึง
“หลวงพี่รู้จักมันมาก่อนหรอครับ” ผมถามเพราะสงสัยมาก ความกลัวที่มีอยู่หายไปโดยอัตโนมัติ
หลวงพี่หันมอง สบตาเหมือนสื่อให้รู้
“ไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำ “
“มันตั้งหาก” แล้วชี้มาที่ผม ตาจ้องเขม้ง
ผมก็รีบละสายตา แล้วจับชายจีวร
“หลวงพี่ มันชี้มาที่ผมทำไมครับ” ผมถาม
“เจ้าคงมีชะตารวมกัน” หลวงพี่สายหัว “คงไปทำอะไรที่เกี่ยวข้องกันไว้ ยิ่งเพื่อนเจ้านี้โดนนักเลย”
ทำอะไร ผมนึกย้อนคิดกลับไป หรือว่าจะเป็นเหตุการที่ชนนกตาย เพราะมันก็มีเหตุการเดียวที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด
“หยุดเถิด” แล้วหลวงพี่ก็หยิบอะไรบางอย่างออกมา ท่านกำไว้ในมือ ก่อนจะค่อยๆส่งให้เพื่อนผม
มันค่อยๆ แบมือออก เหมือนกำลังจะรับสิ่งที่พระให้
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องเอามันไปแล้ว” ก้อนขี้เทาขนาดเหรียญสิบถูกวางอยู่บนมือ
“ฮือ ฮือ ฮือ” มันร้องหนักขึ้น “ผมไม่ผิดจริงๆ”
หลวงพี่พูดขึ้น “เจ้าได้ชดใช้มาหมดแล้ว ถึงเวลาแล้วนะ”
เพื่อนผมค่อยๆก้มลงกราบ 3 ที จากนั้นมันก็ฟุบลงไป
“หลวงพี่ เพื่อนผมเป็นไรครับ”
หลวงพี่: “หมดเคราะห์ หมดเวรกันแล้ว โยมรีบไปพยุงเพื่อนเจ้าเถอะ”
” เป็นไงบ้าง ๆๆ” ผมเขย่าละเรียกสติเพื่อน
“กูรู้สึกล้า” เพื่อนผมเริ่มกลับมาแล้ว
ผมประคองยืนขึ้น
“ขามันสั่นๆ ขอนั่งยืดขาได้ปะวะ”มันกล่าว..

ห่างไปไม่กี่ก้าว มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นนึง ซึ่งใต้ต้นจะมีปูนที่ล้อมต้นโพธิ์อยู่ ซึ่งสามารถที่จะนั่งได้ ผมเลยพยุงเพื่อนไปนั่ง
“นั่งลงก่อน เดี๋ยวกูจะนวดขาให้” ผมบอกกับมัน
“ดีจัง” เพื่อนผมพูด
..ผมนวดๆไป จนลืมหลวงพี่ไป เลยหันเพื่อจะไปขอบคุณท่าน
“หลวงพี่….” ท่านไม่อยู่เสียแล้ว ระยะเวลาแค่อึดใจเดียว ท่านจะหายไปได้เร็วเชียวหรอ ผมนี้อยากจะลุกตามไปดู แต่คิดตรงเพื่อนนี้แหละ
ช่างมันไปก่อน … ผมคิด
ระหว่างก้มนวดอยู่นั้น จู่ๆ หุ่นนางรำล่วงผ่านหน้าผมไปตัวนึง
“โยนลงมาหรอ” ผมถามเพื่อน
“ป่าวๆ มือมันปัดไปโดน” เพื่อนพูด
ผมลุกขึ้นพร้อมกับหยิบหุ่นขึ้นมา สังเกตว่าใต้ต้นโพธิ์จะมีหุ่นวางไว้เต็มไปหมด สภาพก็หักๆ แขนขาด หัวหลุด ดีดีก็มีบ้าง ผมรีบเอาไปวางรวมกับตัวอื่น
เฮ้ย. ผมนึกขึ้นได้ หุ่นที่วางอยู่คล้ายกับหุ่นที่ผมเจอตอนนั้นเลย(ตอนที่ไปตามหาเพื่อน แล้วเจอหุ่นในพุ่มหญ้า) ผมสังหรใจขึ้นมาทันที ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือมีอะไรดลใจให้เป็นอย่างนี้หรือป่าว
” รีบไหว้ขอโทษเลย” ผมยกมือไหว้และก็บอกมันให้ทำตาม
มันยึกยัก เหมือนไม่อยากทำ แต่ผมก็บังคับมันจนได้
“สาธุ ผมขอโทษครับ” แล้วมันก็ก้มกราบลงไปทีนึง
ใจนึงก็โล่ง แต่ใจนึงก็ยังกลัว เพราะเพื่อนผมมันทำเหมือนเล่นๆ ดูไม่เกรงกลัวเลย
ผมกับมันก็มาที่รถ แล้วเคลื่อนออกจากวัดไป ผมโล่งใจขึ้นมา เรื่องร้ายๆคงจะผ่านไปได้สักที
ผมมองเพื่อนขับสลับกับดูทางอยู่ตลอด กลัวว่ามันจะเพลีย แต่มันก็บอกว่ายังไหว
“อะไรนะ เรียกกูหรอ” เพื่อนผมถาม
“หะ กูดูทางอยู่ จะเรียกได้ไง” ผมตอบ
เพื่อน: “เลิกได้ละ จะเรียกทำไม”
ผมตบมันหนึ่งที “กูไม่ได้เรียก”
…จากนั้นเหตุการสงบลง
“ครับ”
เสียงเพื่อนมันพูดขึ้นมา ผมสะดุ้งเฮือก แล้วรีบจ้องมัน
โบราณบอกไว้ ดึกดื่น ใครทักห้ามตอบกลับ

อ๋อ ถ้าสงสัยว่าผมไม่กลัวเพื่อนแล้วหรอ ใช่ ผมไม่กลัวแล้ว. เพราะตอนนั้นผมก็อยากกลับบ้าน ละเรื่องแย่ๆผมก็ผ่านมาแล้ว และตอนนี้มันก็ดูปกติขึ้นมาหน่อย
ใจผมไปอยู่บนเตียงแล้ว..

ต่อ…
ผมรีบบอกกับมัน “ตอบใครวะ เขาถือนะโว๊ย ว่าห้ามตอบกลับเสียงเรียกที่ไม่แน่ใจที่มา”
มันนิ่ง แต่ก็พยักหน้าออกมา 1 ที
“ทีหลังอย่าทำอีกละ” อย่างน้อยก็คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วหละ พยายามทำใจผมให้สบาย

ข้างหน้าต้องเลี้ยวขวาเพื่อไปบ้านผม เพื่อนมันก็เลี้ยวขวาปกติ เพราะมันก็เคยมาแล้ว
พ้นทางเลี้ยวมาสักพัก เพื่อนพูดขึ้นมาว่า
“กูลืมของ กลับไปเอาหน่อยได้ไหม” ผมหันฟลับ
“ลืมอะไรวะ กูไม่เห็นจะเอาไรลงไปเลย”
“กูลืมตัวไว้”
มันพูดอะไรของมัน ผมคิดแง่ดีว่ามันคงจะเพลียๆ ปากเลยพูดขึ้นมา
“555 นี้อำกูเรื่อยเนอะ” ผมพูด
ชิพหาย ในใจผมอุทาน มันคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกนะ
เพื่อนผมนั่งยิ้ม และตามองตรง …เฮ้ย คนบ้าอะไรอยู่ดีดีก็ยิ้ม… ผมคิดในใจ
“ยังโอเคอยู่ไหม” ผมพยายามทดสอบว่ามันยังคงใช่เพื่อนผมอยู่
“โอเค” มันตอบกลับ
“งั้นก็ดีแล้ว อีกนิดก็จะถึงละเพื่อน”
ทุกอย่างดูเหมือนจะดี ..
“แล้วตัวกูละ” มันพูดแล้วค่อยๆหันหน้ามามอง
ผม: “อะไรของ ขับรถไม่มองถนนวะ”
เพื่อน: “แล้วตัวกูละ” เสียงดังละหนักขึ้น
ผมเริ่มกลัว แววตามันไม่ใช่เพื่อนผมแน่ๆ
“หมดเวรหมดกรรมกันสักทีนะ อโหสิกรรมให้ผมและเพื่อนด้วย” ผมอ้อนวอน ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยพูดออกไป หวังว่ามันคงจะดีขึ้น
ไม่เลย มันกับขำและหัวเราะอย่างรุนแรง
ถ้าผมถีบประตูลงจากรถไปก็คงตายแน่ๆ เอาวะลองสักตั้ง ผู้ใหญ่เคยบอกว่าให้แช่ง แล้วผีมันจะกลัว ผมเลยขู่ว่า “ถ้าไม่หยุด กูจะแช่ง”
มันเงียบ
ผมก็เงียบ เพราะกำลังคิดอยู่ว่ามันจะพาผมไปชนหรือป่าว
..เฮ้ย นั้นมัน..สิ่งที่ไม่คาดคิดอยู่ตรงหน้า

ตลอดทางตั้งแต่ออกจากวัด เราไม่ได้มากันแค่ลำพัง 2 คนแน่ๆ ผมมันใจเมื่อเห็นสิ่งที่ตกอยู่ข้างๆเกียร์คันโยก
..ศรีษะที่ดูแล้วน่าจะเป็นของผู้หญิง ลักษณะรวบมัดผม แต่งหน้าทาปาก คล้ายกับที่ผมเห็นตอนนั้นเลย..
หลังจากที่เห็น และได้ปะติดปะต่อเหตุการณ์ สิ่งที่เพื่อนบอกว่า ลืมตัว และศรีษะของหุ่นนี้ มันต้องเกี่ยวข้องกันแน่ๆ
แล้วคนที่นั่งอยู่ข้างๆผม มันคงไม่ใช่เพื่อนผม นี้เรากำลังเล่นกับอะไรอยู่
ผมพยายามทำเป็นไม่เห็น หลบสายตาไปที่อื่น
แต่เพื่อนก็ยังหัวเราะออกมา
ทำอย่างไรดี ผมเลยพูดกับมันไปว่า “เออๆ เดี๋ยวค่อยไปเอาพรุ่งนี้เช้าก็ได้ ดึกแล้ว ไปนอนบ้านกูก่อน” แสร้งทำตามน้ำไปกับมัน ปฏิกิริยาตอบกลับมาในทางที่ดี มันไม่ขำ ไม่ทำท่าทางหลอนๆ แล้วยังคงเดินหน้าขับรถต่อไป
ใช่ ผมโล่งอกมาก แต่!!
เมื่อทบทวนสิ่งที่พูดออกไป อะไรทำให้ผมพูดไปแบบนั้นก็ไม่รู้ ..ไปนอนบ้านกูก็ได้.. ผมชักชวนมันเข้ามาถึงในบ้าน โดยลืมไปว่าที่ชวนอยู่นะ อาจไม่ใช่เพื่อน บ้าบอมาก ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปเสียจิง

ระหว่างที่มันขับ ผมเลยจะลองพูดเรื่องนอนค้างขึ้นมา บางทีมันอาจจะแก้ได้
“จะไม่นอนก็ได้นะ ห้องกูรกมากก คงนอนไม่ลง” เอาแล้ว มันจะตอบอะไรผมไหมนะ??
มันเริ่มขมวดคิ้ว แล้วตอบกลับว่า”ไม่เป็นไร กูจะนอนบ้าน” และแฉกยิ้มออกมาทีนึง
สุดยอดไปเลย มันกำลังท้าทายและเยาะเย้ยผมเป็นแน่
นี้คงเป็นเวรกำของผม เหมือนหนีเสือปะจรเข้ชัดๆ
แต่ก็เอาวะ อย่างน้อยที่บ้านก็ยังมีพ่อแม่ พวกผมก็เยอะกว่า ถ้ามันจะทำอะไร ผมก็แค่เรียกคนมาช่วย ตอนนี้รอแค่ถึงถิ่นผมก่อน
“นั้นละ เลี้ยวเข้าไปเลย”ในที่สุดก็ถึงบ้านที่ผมคิดว่าปลอดภัยที่สุดเสียที….

**
เมื่อถึงบ้าน มันลงจากรถอย่างเยือกเย็น แล้วค่อยๆเดินไปที่ประตูทางเข้า !หยุดนิ่ง
นี้ถ้ากุญแจอยู่ที่มัน มันคงไขเข้าบ้านไปแล้ว ครั้นจะให้มันนอนนอกบ้าน แต่ร่างมันคือเพื่อนของผมเนี้ยสิ ผมไม่อยากได้ยินคำว่า ไอ้คนทิ้งเพื่อน
ผมจัดการไข ซึ่งต้องยืนทำอยู่ข้างๆมัน มือผมสั่นไปหมด พอเสียบเข้าไปก็ดันหารูไม่เจอ ทำๆอยู่ ลูกกุญแกก็ตกลงกับพื้น
ผมหยุดชะงัก แล้วค่อยๆโน้มตัวลงไปที่ลูกกุญแจ ซึ่งก็ต้องคอยระวังหลังที่มีมันยืนอยู่ไปด้วย
“เมี๊ยว เมี๊ยว” แมวข้างบ้านร้องออกมา
เอาวะ อย่างน้อยก็มีแมวเป็นเพื่อน ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
“มา มา มานี้” ผมเรียก มันก็ค่อยๆเดินเข้ามา
“ว่าไง” ผมยื่นมือเข้าไปรอลูบหัวมัน
และมันก็เข้ามาหาผมตรงหน้า พร้อมกับร้อง “เมี๊ยว”
และมันก็เดินมาข้างลำตัว..
และมันก็เดินผ่านผมไป …
เอะ มันจะไปใหน ผมคิดในใจ แสดงว่ามันไม่ได้มาตามเสียงเรียกของผม
เฮ้ยยย
แมวค่อยๆเข้าไปคลอเคลียที่เท้าของเพื่อนผม
!ใช่ ผมลืมไปเลยว่า เพื่อนผมเป็นคนรักแมว แล้วมันก็เคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ เวลาที่เพื่อนมา
ผมกลายเป็นหมาหัวเน่าไปทันที จากที่คิดว่ามีพวกแล้ว ตอนนี้เหมือนรู้สึกกำลังโดนรุมยังไงไม่รู้
แมวมันก็เดินพันแข้งพันขาเพื่อนผมไป เพื่อนมันก็ไม่มีท่าทีอะไรตอบสนอง ส่วนผมก็มัวแต่ดูมัน
“เมื่อไหร่จะเปิดประตู” มันพูด และหันหน้ามาาา
ความเยือกเย็นแผ่เข้ามา ผมสัมผัสมันได้
จากนั้นผมจึงค่อยๆเปิดประตูออก เพราะผมก็อยากนอนเต็มทีแล้ว
“เมี๊ยววว” เสียงดังมาก
เพื่อนผมเตะมันออกไปจากขา แมวรีบวิ่งหนีไป ผมมองหน้ามัน มันยิ้มตอบกลับ “แมวนี้น่ารำคาญ” ท่าทางดูหงุดหงิด
ผมอยากจะด่ามันเหลือเกิน แต่ก็พูดไม่ออก
แล้วผมก็พามันขึ้นไปที่ห้อง
ในบ้านผมมีพระ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ อย่างน้อยก็อุ่นใจไปได้มาก….

ระหว่างเดินขึ้นไปที่ห้อง สายตามันเหลือบมองไปทั่ว
ผมสังเกตดูมันตลอด
ชั้นสอง มีพระพุทธรูปอยู่ เมื่อผมเดินผ่าน ผมพนมมือแล้วภาวนาให้พระท่านคุ้มครองผมและเพื่อน เพื่อหวังว่าอะไรๆจะดีขึ้น
“นั้นรูปพวกเรานิ” เพื่อนผมพูดขึ้นระหว่างทาง
“จำได้ด้วยหรอ” ผมถาม
“ก็กูเป็นคนไปล้างมากับมือ”
เฮ้ย หรือว่าจะใช่มันจริงๆ เพื่อนผมคนเดิมกลับมาแล้วหรอ ผมเกิดคำถามขึ้นในใจ
ผมยังไม่เห็นแววตาของมัน เพียงแค่ได้ยินแต่เสียงที่มันพูดออกมาจากด้านหน้า เพราะตอนนี้ผมอยู่หลังมัน
“เมิงหรอ เมิงใช่ไหม” ผมพยายามเรียก
เพื่อนพยักหน้า
ผมพนมมือดีใจ ไหว้ไปรอบๆ “สาธุ”
“กูรักเมิงเพื่อน ขอให้ผ่านคืนนี้ไปให้ได้สักที” ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 ผมดีใจที่สุด
ผมมั่วแต่หลงดีใจ และคิดว่าเรื่องร้ายๆคงจะผ่านไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสแววตาโดยตรง….
เพื่อนดูเหมือนตอบรับ และกำลังค่อยๆหันหน้ากลับมา
ตาเพ่งมอง แล้วปากฉีกยิ้มจนเห็นฟัน มันยิ้มให้ผม ใช่ มันยิ้ม แล้วมันที่ยิ้มคือเพื่อน หรือใคร หรืออะไร ลักษณะรอยยิ้มแบบนี้มันดูน่ากลัว หันหน้านิ่งๆเฉยๆยังจะดีกว่า
ตอนนี้มันทำให้ผมประสาท- ถ้าไม่ใช่เพื่อน มันจะรู้เรื่องราวต่างๆได้อย่างไร หรือมันจะอำ แต่ก็ถ้าจะอำ มันก็คงไม่เป็นเรื่องราวอะไรขนาดนี้หรอกนะ ความสับสน ความหวาดกลัว มันกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น

“เมิงหยุดได้แล้ว” ผมพูดออกไปด้วยความโมโห
มันยังคงยิ้ม และหันกลับไป

จะเอาไงดี คืนนี้ผมต้องนอนกับมันหรอ หรือผมจะลงไปนอนข้างล่างดี ผมหยุดคิด
ไม่ๆๆ ผมต้องผ่านมันไปให้ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ผมปิดบังความกลัว แล้วดันมันขึ้นไปจนถึงห้องนอน

เมื่อถึงห้อง ผมอาบน้ำ เตรียมตัวนอน แต่เพื่อนผมมันไม่ได้ไปอาบ พอถึงห้อง มันบอกกับผมว่า
“น่าอยู่ชะมัด” แล้วก็เดินดูรอบห้อง โดยไม่สนใจผมเลย
ผมยืนมองมันอยู่พักนึง มันก็เดินๆสำรวจ จนไปนั่งลงบนเตียง แล้วมันคงคิดได้ว่ามีผมยืนอยู่ มันเลยพูดว่า
“มาอยู่ด้วยได้ไหม” …
ไม่ได้แอ้มผมหรอก จะหลอกให้ผมเอ่ยรับละสิ
“นอนได้แค่คืนนี้คืนเดียว” ผมรีบพูดไป
“เพื่อนกัน” มันใช้เพื่อนมาเป็นข้ออ้าง
“เพื่อนหรอ” ผมพูดทับกลับไป “เมิงนอนได้เลย ไม่ต้องอาบน้ำ อย่าให้รู้ว่าเมิงอำกูนะ ตัดเพื่อนแน่” ผมขู่อักครั้ง “เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ” พูดเสร็จจึงรีบหยิบผ้าขนหนูและเสื้อผ้าออกไปห้องน้ำ
ผมออกจากห้องแล้ววิ่งไปหยิบยันต์ที่หิ้งพระ แล้วเอามาแขวนไว้หน้าประตูและล็อคห้องจากข้างนอก เพราะกลัวว่าถ้าผมไม่อยู่แล้วมันจะหายไป

ซู่ ซู่ เสียงน้ำจากฝักบัวกระทบกับพื้น เป็นเสียงที่ดังมาก นึกถึงตอนอาบน้ำเอานะครับ
แต่สักพัก ก็มีเสียงดนตรีไทยดังขึ้น แว่วเข้ามาในหู มันสามารถแทรกผ่านเสียงน้ำจากฝักบัวเข้ามาได้ อย่างนี้แม่ผมที่นอนอยู่ห้องใกล้ๆไม่ตื่นแล้วหรอ
“ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก” ใครมาเคาะประตูห้องน้ำ
ผมสะดุ้ง รีบปิดน้ำฝักบัวแล้วหยิบผ้าขนหนูมาห่ม
“ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก” ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ทำไมไม่มีเสียงคนหลังจากการเคาะนะ ผมคิดด้วยความสงสัย ปกติถ้าเป็นแม่ เวลาเคาะเสร็จก็จะเรียกชื่อผม
เอาไงดี ผมตะโกนถามออกไป
“ใครนะ”
เงียบ
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ผมถามอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้น
“ใครนะ แม่หรอ”
…. … …. เงียบ แต่ยังคงได้ยินเสียงดนตรีไทยอยู่ ขนที่แขนลุกซู่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ บ้านผมก็มีเครื่องทำน้ำอุ่น มันคงไม่ได้ลุกเพราะความหนาวแน่ๆ

ผมยืนสักพัก แล้วตัดสินใจเปิดประตูออก….

หญิงชราผอม ผมดำ ยืนอยู่ตรงหน้า
“แม่ ผมตกใจหมดเลย ทำไมไม่เรียกผมละครับ” แม่ผมยืนอยู่ตรงหน้า แล้วผมจึงถามแม่ด้วยความสงสัย โดยยังมีหน้าซีดละตกใจอยู่
“แม่เรียกแล้ว แต่ไม่มีเสียงอะไรตอบแม่กลับมาเลย แม่ก็เลยเคาะเนี้ยหละ” แม่ผมกล่าว
“แต่ผมเรียกแม่ตั้งหลายครั้งนะครับ” ผมนึกในใจ ทำไมกัน ทำไมทำให้เราสองคนถึงไม่ได้ยินเสียงกันและกัน

แม่กล่าวต่อ
“เสียงเพลงเปิดเบาๆหน่อย แม่ฟังแล้วชวนขนลุกน่าดู แล้วพาใครมาบ้านด้วยหรือป่าว แม่รู้สึกเหมือนมีคนเดินอยู่ในห้องลูก”
“อ๋อ เพื่อนผมเองแม่” ผมก็อธิบายไปว่าเพื่อนคนนั้นคนนี้
คุยสักพัก แม่ก็ไปนอน. และผมก็เดินขึ้นห้อง

เสียงเพลงบรรเลงออกมาจากห้องผมจริงๆ ผมไขกุญแจด้วยความตื่นเต้น


ฉิง ฉับ ดังเป็นจังหวะ เพลงไทยเดิมถูกเปิดในวิทยุของผม
เพื่อน ยืนอยู่กลางห้อง
แขนทั้งสองกางออก ตัวโยกตามเสียงเพลง ใช่แล้ว เพื่อนผมกำลังร่ายรำ แต่เพื่อนผมไม่ใช่มืออาชีพ การร่ายรำจึงดูเก้งๆก้างๆ
ผมช็อคไปแปบนึง รวบรวมสติได้ จึงวิ่งไปปิดเพลง. และถอดปลั๊กออก
…. ทั้งผมและมันต่างนิ่ง….
“นี้คุณต้องการอะไรจากผม พอได้แล้ว ปล่อยเพื่อนผมเถอะ” ผมพยายามขอร้อง
“คุณเป็นใคร มาจากไหน พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวผมจะทำบุญไปให้ ผมไหว้หละ”
….
มันได้แต่มอง
จนกระทั่งเอ่ยบางอย่างออกมา
“เหงา”
ผมนี้สั่นไปทั้งตัว คำสั้นๆ แต่ความหมายช่างลึกซึ้ง มันต้องการเพื่อนหรอ แล้วมนุษย์กับวิญญาณจะอยู่ร่วมกันได้ไง ผมคิด
หรือว่า มันจะเอาชีวิตเพื่อนผม !!
“พูดอะไรบ้าๆ จะหมายถึงว่าต้องการเพื่อนผมไปอยู่ด้วยนะหรอ คุณจะฆ่าเขาหรอ” ผมพูดตอกกลับไป
..มันหันมองไปทางอื่น และตอบกลับว่า
“ป่าว”
ผมนี้จะเป็นบ้า ทั้งกลัว ทั้งเหนื่อย แต่ก็คอยดูเพื่อนไว้
.. แล้วมันก็ไปที่เตียง แล้วล้มตัวนอน..
ผมให้มันนอนบนเตียง ผมนอนด้านล่าง

**
เวลาค่อยๆเดินต่อไป เพียงแต่มันช่างดูยาวนานเหลือเกิน
เงียบ !
ผมลืมตาขึ้นมา มันเงียบและมืด ผมตื่นขึ้นก่อนที่จะสว่าง
เพื่อนที่นอนอยู่บนเตียงจะเป็นยังไงบ้าง จากข้างล่างมองขึ้นไป ผมไม่เห็นแขนหรือส่วนไหนโผล่มา หรือมันจะกลิ้งไปอีกฝั่ง ผมคิด!
ด้วยความสงสัย ผมจึงค่อยๆชะโงกหัวขึ้นดู
ดูเหมือนผมกล้ามากเลยใช่ไหม แต่จริงๆตอนนั้นใจมันสั่นและกลัวสุดๆ จริงๆไม่ต้องสนใจมันก็ได้ แต่มันอยากรู้จริงๆ
“ฟูบบบ”เสียงถอนหายใจ
ยังไม่ทันที่ผมจะขึ้นไปเห็น มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ผมหยุดชะงัก
ผมตั้งสติ ละคิดก่อนว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร
“หรือมันคงนอนอยู่ปกติ เพราะมีเสียงถอนหายใจ ช่างเถอะ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว นอนต่อดีกว่า” ผมคิดแล้วค่อยๆโน้มตัวลงนอน

“ฟูบบบ”เสียงถอนหายใจดังมาใกล้ขึ้น คราวนี้ผมคิดว่ามันคงขยับมาตรงฝั่งที่ติดผม ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ตาค่อยๆปิด ศีรษะกำลังอยู่ในท่าที่สบาย
..การที่ผมทำเป็นไม่สนใจ หรือนิ่งไป มันทำให้อะไรบางอย่างทวีความน่ากลัวขึ้น

“ฟูบบบ”เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เสียงที่ได้ยิน มันมาอยู่ข้างๆหูผม ผมรู้สึกถึงลมที่พัดมาโดนหูได้เป็นอย่างดี
ผมลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ สายตามองตรงไปที่เพดาน ความมืดมิดอยู่ตรงหน้า
ใจผมเต้นตุบๆ เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ
คราวนี้เป็นผมที่หายใจดังขึ้น ผมค่อยๆ เหลียวมองไปที่เตียง มันดูปกติดี
จากนั้นผมก็ค่อยๆหันไปทางที่ยังไม่ได้หัน .. มันทรมานมากกับแค่การหันหัว ผมต้องทนความกดดันละความกลัว ซึ่งผมคงจะทนมันได้อีกไม่นาน
….ควับ… ทันทีที่ผมหันหน้าไป ในใจอยากให้เจอแต่ความมืด แต่ว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้ผมช็อค
…ลูกตาเบิ่งกว้าง ผิวหน้าขาวๆ ปากคล้ำสีดำ …ร่างปริศนากำลังนอนจ้องผมอยู่ใกล้ๆ สายตามันพุ่งลึกเข้าถึงหัวใจ ผมตกใจสุดขีด…

ระยะห่างแค่เพียงฝ่ามือ
มีใบหน้าของผู้หญิงที่นอนตะแคงหัวจ้องผมอยู่

“ฮึบ”ผมพยามยามขยับตัว แต่ก็ทำไม่ได้ พยายามหันหัวหนีก็ไม่ได้ ร่างกายทำได้เพียงรับความรู้สึกของลมหายใจเบาๆที่ปะทะโดนหน้า
ใบหน้าขาวๆ ตาเริ่มปูน มันค่อยๆชัดและใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น และใกล้ขึ้น….
ในที่สุดมันก็พุ่งหน้าเข้าใส่ผม ผมร้องออกมาทันที
…………
ตาผมเปิดขึ้น”ฟืดดด ฟาด ฟืดดด ฟาด” เสียงลมหายใจที่หอบและเหนื่อยเหมือนวิ่งรอบสนามสักสิบรอบดังขึ้น
“นี้เราฝันไปหรอเนี้ย” ผมพูดขึ้นหลังจากที่ลืมตา รอบๆมีแต่ความมืดและเงียบ ผมเหลือบมองดูนาฬิกา ตี4 กว่าๆ อีกเดี๋ยวก็จะเช้าแล้ว ผมอยากให้ผ่านคืนนี้ไปเสียที ทำไมมันช่างดูยาวนานเหลือเกิน ..
ความรู้สึกไหวๆจากข้างนอกรอดผ่านช่องประตูเข้ามา
ประตูดูเหมือนจะปิดไม่สนิท มันถูกแง้มออกนิดๆ
“มันเปิดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมนึกคิด
ถึงจะไม่อยากลุก แต่ผมก็ต้องลุกไปปิดมัน
และไม่พลาดที่ต้องมองเพื่อนบนเตียง
..ผ้าห่มทั้งผืนปกปิดตัวของเพื่อนผม มันห่มผ้าทั้งตัว ถ้าบอกว่าเป็นคนตาย ใครก็เชื่อ สภาพแบบนี้พร้อมยกเข้าโรงได้ทันที
ผมค่อยๆเดินเข้าไป มือนี้อยากจะหยิบผ้าห่มออก แต่กลัวว่าถ้าเปิดมาแล้ว มันจะไม่ใช่เพื่อนผม
“จะไม่ลองเปิดสักหน่อยหรอ” ผมพูดกับตัวเอง
และผมก็เชื่อตัวเอง มือผมค่อยๆเลื้อนลง ผ้าห่มเกือบจะถูกดึงออก!
แต่แล้วผมก็หยุดชะงัก “อย่าเลยดีกว่า มันก็ดูยังหายใจอยู่” ผมชักมือออก
ปล่อยให้เช้าก่อนดีกว่า เพราะอีกไม่นานมันก็สว่างแล้ว” ผมคิด
…. แล้วผมก็ล้มตัวนอนลงข้างๆเตียง ปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไป…
….
….
แสงสว่างแทรกผ่านหนังตา
เช้าแล้ว ผมลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาด้วยความงัวเงีย
“ในที่สุดก็เช้าเสียที” ร่างกายรู้สึกมีพลังขึ้นมา
ผมบิดขี้เกียจสองทีแล้วหันมองเพื่อน….ว่างเปล่า…
.เพื่อนผมไปใหน.

**
ผ้าห่ม หมอน วางกองอยู่บนเตียงว่างๆ
“มันไปใหนแล้ว”
ผมหลุดจากอาการงัวเงียทันที แล้วลุกขึ้นมองดูนาฬิกา !นี้มัน แปดโมงเช้าแล้วหรอ ผมคงเพลีย เลยไม่รู้สึกว่าเพื่อนลุกออกไป
ไม่ทันที่จะล้างหน้า ผมรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
ใช่ มันคงไปแล้ว เพราะไม่มีรถของมันจอดอยู่
ผมถอนหายใจ อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันบ้าง..
ถ้าลองย้อนไปเมื่อคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องจริง จริงๆหรอ เพื่อนผมกับคนเมื่อคืน ตอนนี้ยังคงเป็นใครกันแน่ ใช้มันหรือป่าว หลายคำถามตีเข้ามาในหัว
ไม่ได้ ผมต้องลองโทรกลับไปหามัน
..ตู๊ด ๆ..
“ฮัลโล ว่าไงเมิง” เพื่อนผมรับสาย
“นี้เมิงจริงหรอ”ผมย้ำกลับ
“อ้าว แล้วจะให้เป็นใครวะ เมิงก้อ” ดูเหมือนมันคงไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
“เมื่อคืนเมิงมานอนบ้านกู รู้ใช่ไหม” ผมถาม
“อ๋อ ก็เออดิวะ พอกูตื่นเช้ามา กูก็รีบออกมาเลย กูลืมไปว่าตอนเช้ากูมีธุระ นี้ก็กำลังจะออกจากบ้านกูละ” เพื่อนตอบ

“แล้วเมิงจำเรื่องเมื่อคืนได้บ้างไหม เรื่องที่.(ลากเสียง)”
“เรื่องเมื่อคืนอะนะ จำได้ดิวะ” มันตอบ
ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย จริงๆแล้วคงไม่มีอะไรก็ได้
“ที่กูเมา จนขับรถกลับบ้านไม่ได้ จนต้องขอนอนค้างกับเมิง 555 ” มันหัวเราะออก
เหมือนเอาหินมาทับผมอีกครั้ง นี้มันคงจะจำอะไรเลยไม่ได้จริงๆ
“เฮ้ยๆ. แค่นี้ก่อนนะ กูต้องรีบไปละ ไว้คุยกันเพื่อน” สิ้นเสียง สายก็ถูกตัดไป

แล้วหัวนางรำตัวนั้นละ !
จู่ๆผมก็นึกถึงขึ้นมา ถ้าเพื่อนผมมันไม่รู้เรื่องเมื่อคืน หัวตุ๊กตาก็คงยังอยู่ในรถแน่ๆ ผมสังหรณ์ใจ
“เอาไว้ค่อยบอกมันอีกที” …
…..
13.00น.
ผมนัดเจอมัน ซึ่งผมให้มันมารับที่บ้าน พร้อมบอกกับมันว่าจะไปทำบุญ ถึงแม้มันจะบ่ายเบี่ยง แต่ผมก็รั้งมันมาจนได้
ของต่างๆแม่ผมได้เตรียมไว้ให้หมด สักพักมันก็มาถึง
ปึ๊ก! เสียงประตูรถ
“ดีเมิง แม่อยู่ป่าว เดี๋ยวจะเข้าไปไหว้แม่สักหน่อย”
“เออ แม่กูอยู่หน้าทีวี”
มันคนเดิมจริงๆ

“เหมี๊ยว” .. แมวข้างบ้านตัวเมื่อคืนเดินออกมาจากพุ่มไม้
“นั้นไอ้หมอกนิ มานี้มา” มันเรียกและลดตัวลงเพื่อจะลูบหัว
ผมมองดูแมว มันยังอยู่ในอาการกลัวๆ แต่เหมือนกลิ่นของเพื่อนผมจะเป็นเอกลักษณ์ สักพักมันก็เข้ามาเล่นกับเพื่อน
“เมิงจิงๆนะ”ผมย้ำคิดกับตัวเอง
……
หลังจากนั้นเราก็เอาของที่แม่เตรียมให้ขึ้นรถ
ขับมาถึงปากทางเข้าวัดที่เกิดเรื่องเมื่อคืน ความสว่างทำให้อะไรๆมันดูไม่น่ากลัว
“เออ แล้วนี้มาวัดทำไม” มันถาม
“ก็มาทำบุญสักหน่อย เรื่องร้ายๆจะได้ผ่านพ้นไป”ผมตอบ แต่ไม่ได้มองหน้ามัน เพราะสายตากำลังมองหาหัวตุ๊กตานั้นอยู่
“แล้วนี้ดูลุกลี้ลุกลน มีอะไรหรือป่าว”มันถาม
“อ๋อป่าวๆ” ผมเลี่ยงไว้ มีโอกาสค่อยเล่าให้มันฟัง
“นิมนตร์ครับหลวงพี่” ผมเริ่ม
“นิมนตร์ครับ” เพื่อนตาม
พระหลายรูปกำลังเดินกลับเข้าวัด ผมยืนสังเกตดูแต่ก็หาพระรูปเมื่อคืนไม่เจอ
ของที่จัดมา ผมประเคนถวายกับเจ้าอาวาส พร้อมทั้งท่านได้สวดให้พร และรดน้ำมนต์
“เพื่อนเจ้าหมดเคราะห์หมดโศกเสียทีนะ” ท่านรู้โดยที่ยังไม่ได้บอก
“ค๊ะ ค๊ะ ครับ” เพื่อนตอบรับอย่างกระอุกกระอัก
แล้วท่านก็เรียกเข้าไปรับสายสิน
ผมแบมือรอรับ แต่พระท่านบอกให้เอาข้อมือมา ท่านจะผูกให้
ท่านร่ายพรยาวๆ พร้อมกับเอาด้ายลูบขัอมือ..

**
“ท่านทำไมจ้องหน้าผม” ผมคิดในใจ
“ใครเรียกอะไรอย่ารับปากนะ” พระส่งคำปริศนาออกมา
“ท่านคงรู้ว่าผมเป็นคนพูดเร็ว พูดไม่คิด ท่านคงมีจิตที่แรงกล้า สามารถอ่านความคิดผมได้” ผมคิดไปนู่น
ท่านหันตัวกลับ เปิดลิ้นชักออก
“เอาสายสินนี้ไปไว้คล้องคอนะ ภัยอันตรายจะได้ไม่กล้ามารุกราน”
ผมพนมมือไว้รับ และกราบ3ครั้ง
ก่อนจะลุกไป ท่านได้พูดอะไรบางอย่าง
“ดูแลตัวเองดีดีกันนะ” ท่านย้ำเตือน ผมคิดถึงแค่การเตือนทั่วๆไป เรื่องร้ายๆมันคงจะจบลงสักที
….
เราขับรถออกจากวัด ผมและเพื่อนชวนกันไปหาอะไรกินค่ำนี้ และก็เช่นเคย ร้านนั่งชิวขาประจำ
พบค่ำ-
ผมชวนเพื่อนมาอีก2 รวมทั้งหมดเป็น 4 คน เราต่างมีความสุขกับอาหาร เครื่องดื่มตรงหน้า เรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้ถูกเอ้ยถึงเลยบนโต๊ะอาหาร
สักพัก ผมออกไปโทรหาแม่ข้างนอก ดันลืมบอกไปว่าคืนนี้ไม่กลับ
ตู๊ด ตู๊ด …
ผมถือสายรออยู่พักนึง
มีคนรับสาย
“ฮัลโหลแม่ คืนนี้ผมไม่กลับบ้านนะ”
……ซู่ ซ่า ฟูดดด …
เสียงสัญญานซ่าๆ บางครั้งเหมือนมีคนเป่าลมใส่
“ฮัลโล แม่ๆ ได้ยินไหม”
ผมพยายามเรียกแม่ แต่ก็ได้ยินแต่เสียงแบบนั้น
ผมตัดสินใจโทรใหม่อีกรอบ
…ซ่าๆๆๆ .. ฟูดๆ…
เสียงขาดๆหายๆ ผมรู้สึกหงุดหงิด เลยเดินเข้าร้าน และส่งข้อความไปแทน
ปกติเครือข่ายแม่ก็ดี วันนี้มันเป็นอะไร ผมบ่นพึมพำ

เวลาผ่านไปจนเที่ยงคืน ผมไปนอนกับเพื่อนที่บ้าน
ทุกคนล้วนมีสติ อาจมีมึ้นๆ แต่ไม่ได้ถึงกับยืนไม่อยู่
ลายอวกาศของผ้าปูที่นอนยังเหมือนเดิม
หลังจากอาบน้ำละเตรียมนอน ผมนึกถึงหัวหุ่นขึ้นมา เลยถามมันไป” เห็นหัวหุ่นตกที่รถบ้างไหม หัวผู้หญิงมัดรวบ กูเห็นมันตกอยู่บนรถ” กลิ่นเหล้าฟุ้งออกมาพร้อมเสียงพูด
“อะไรของเมิง กูไม่ได้เลี้ยงลูกเทพบ้าบ้อไรหรอกนะ” มันพูดด้วยความเมา
ผมก็เช่นกัน
ไม่นาน ผมและมันก็หลับ จนสว่าง

**
รุ่งเช้า เพื่อนขับรถมาส่งที่บ้าน
แม่กำลังต้มน้ำอยู่ในครัว ผมปลี่เข้าไปทันที
“แม่ เมื่อคืนโทรศัพท์เป็นอะไรหรือป่าว ได้ยินแต่เสียงซ่าๆ” ผมถาม
แม่หันมองอย่าง งงๆ
“เมื่อคืนแม่ไม่ได้พกโทรศัพท์ แต่ก่อนจะนอน แม่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ว่าจะโทรหาลูก แต่เห็นลูกส่งข้อความมา แม่ก็ไปนอน” แม่อธิบาย
แล้วที่เมื่อคืน ที่ผมโทรหาแม่ เสียงซ่าๆนั้น มาจากไหน จะว่าเมาก็ไม่ใช่ ตอนนั้นผมยังโอเคอยู่เลย
หรือโทรศัพท์เรามีปัญหา ! ผมคิด
แม่ยกต้มมาที่โต๊ะกินข้าว พ่อซึ่งนั่งดูทีวีก็ค่อยๆลุกเดินมาที่โต๊ะอาหาร ผมตักข้าวให้พ่อกับแม่ แล้วนั่งลง
..เสียงช้อนกระทบจาน พลางกับเสียงทีวี ทุกคนกำลังทานข้าวอย่างเอร็ดอร่อย..
“เพื่อนลูกเป็นไงบ้าง ส่างยัง” แม่เอ่ยขึ้น
“หายแล้วแม่ ว่าแต่แม่รู้ได้ไงว่ามันเมา วันนั้นแม่เจอมันหรอ” ผมถาม
“เจอสิ แถมยังมาแหย่แม่อีก”แม่ตอบ
“สงสัยคงเป็นตอนเช้า ไหนบอกรีบกลับ ยังจะมีเวลามาแหย่แม่อีก” ผมพูดไปก้มกินไป
“ไม่ใช่เมื่อเช้า เมื่อคืนนั้นตั้งหาก”
ผมวางช้อนแล้วเหงยมองแม่
“เมื่อคืนหรอแม่” ผมย้ำถาม
“ประมานตีสามหรือตีสี่มั้ง แม่ออกไปห้องน้ำ ระหว่างกลับ เจอเพื่อนลูกยืนเหม่อๆอยู่ แม่เลยเข้าไปคุยด้วย”
“แม่ไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม” ผมถามด้วยความตกใจ
“แม่จะโกหกลูกทำไม แล้วใหนบอกจะมาอยู่ด้วย แค่มาส่งลูกยังไม่เข้ามาในบ้านเลย” แม่ยิ้มหัวเราะ
..”โคล้มม” เสียงเหมือนอะไรตกดังมาจากข้างนอก
ผมหันมอง แมวข้างบ้านกำลังกระโดดหนีอะไรบางอย่างด้วยความตระหนก
นั้นมันกำลังทำอะไร มันชวนให้ผมนึกถึงคืนนั้น หรือมันกำลังกลัวอะไรสักอย่าง !!!
“แล้วแม่ได้คุยอะไรกับมันหรือป่าว” ผมรีบถาม
“แม่ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ แต่จู่ๆเพื่อนลูกก็ถามแม่ออกมา”แม่เล่า
“ถามแม่ ถามว่าอะไรครับ”ผมขนลุก และกลัวคำตอบที่แม่จะบอกตรงหน้า
“ถามแม่ว่า……”

**
“ขอมาอยู่ด้วยได้ไหม”
ผมช็อคไปชั่วนึง
“แล้วแม่ตอบไปว่าอะไร” ผมอยู่ไม่สุกแล้วตอนนี้ มือไม้มันสั่นไปหมด
…….
“แม่ก็ต้องบอกว่า..ได้สิลูก..จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ที่นี้ยินดีต้อนรับ เพื่อนลูกนี้ต้องเป็นคนขี้อำแน่ๆเลย แม่ก็ตามน้ำไปด้วย ” แม่ยิ้มและส่ายหัวเยาะ
ใช่ แม่ท่านขำ ยิ้ม เพราะคิดมันคงเป็นเรื่องเล่นๆ แต่ผมตอนนี้ ชาไปหมดทั้งตัว
ผมตั้งสติ นึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนนั้น ใช่ หรือที่เราเห็นประตูมันปิดไม่สนิท ก็เพราะมันแอบออกไป ตอนนั้นทำไมผมไม่เอะใจนะ
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากคืนนั้นเพื่อนผมก็ปกติ แถมได้ไปทำบุญทำทานกันแล้วด้วย
หรือว่า..ผมคิดขึ้นได้ หัวหุ่นนั้น ตั้งแต่คืนนั้นผมก็ยังไม่เห็นมัน ประกอบกับที่แม่ดันไปตอบรับมันเข้ามาในบ้าน มังคงมากพอแล้วที่จะบอกว่า ..มันอยู่ที่นี้..
ทุกอย่างรอบๆตัวดูเหมือนจะจับจ้องมาที่ผม ความรู้สึกคล้ายมีคนแอบมองอยู่ ผมคิดไปเองหรือว่ามีอะไรจ้องผมจริงๆกันนะ ผมอดที่จะคิดไม่ได้
“นิๆ” ผมสะดุ้งเฮือก แม่สะกิดเรียกผม
” กินข้าวให้หมด แล้วเอาของแม่ไปล้างด้วย”
“ครับแม่”
แค่ก้าวเดินไปในครัว เหมือนดั่งเดินอยู่กลางป่าที่สายตาต้องกวาดไปรอบๆ กลัวว่าจะมีสัตว์ร้ายจ้องเล่นงานอยู่
“ถ้าบอกเรื่องนี้กับแม่ แม่ต้องไม่เชื่อแน่ๆ”ผมคิด
“หรือจะปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน มันคงไม่มีอะไรก็ได้มั้ง” ฝืนปลอบใจตัวเอง

วันเวลาค่อยๆผ่านไป
ตลอด 1 สัปดาห์ บ้านผมยังคงปกติอยู่ จนผมคิดว่าสิ่งที่ผมคิด อาจจะแค่คิดไปเอง
แต่ทว่า
ประมานวันที่ 9 หลังจากเกิดเหตุ วันนั้นผมกลับบ้านดึก เพื่อนผมคนเดิมเป็นคนมาส่ง แต่คราวนี้เราไม่ได้มาทางลัดนั้นแน่ๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดการเดินทาง
ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดี
“บ้านมืดเลย แม่กับพ่อนอนแล้วสิ” เพื่อนพูด
“ดึกป่านนี้แล้ว ใครจะมานั่งอยู่ละครับ เขาก็นอนกันหมดแล้ว” ผมพูดเฮฮากับเพื่อนปกติ
ปึก ปึก
ผมละเพื่อนปิดประตูรถ
แมวตัวเดิมวิ่งแวบๆผ่านไป เพื่อนผมพยายามเรียก
สักพักมันก็ออกมา มันคลอเคลียเพื่อนผมปกติ
หลังจากไขกุญแจเข้าบ้าน ข้างในนั้นมืดไปหมด มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากข้างนอกที่ส่องเข้ามา
ฟึบ !
ผมรู้สึกถึงอะไรผ่านไปในห้องนั่งเล่น
มันดึงความสนใจของผม ไม่รอช้า ผมค่อยๆเดินไปยังห้องนั่งเล่น
นั้นอะไร มีบางสิ่งนั่งอยู่บนโซฟา แม้จะกลัว แต่ผมก็ยังค่อยๆชะโงกหน้าออกไป
เงามืดๆ ที่มากกว่าจุดอื่น คล้ายคนนั่งอยู่บนโซฟา มันไม่ใช่เงาของสิ่งของหรือต้นไม้แน่ๆ ลักษณะคือเงาของผู้หญิงคนนึง
แวบแรก ผมนึกถึงแม่ ทำให้ผมเรียก”แม่”ออกไป
เงียบ มันยังคงนั่งอยู่..
ผมเรียกอีกครั้ง แล้วตรงเข้าไปใกล้ขึ้นอีก
ยิ่งใกล้ ยิ่งทำให้ผมรู้ว่า เธอไม่ใช่แม่ของผม
….
ใจเริ่มเต้นแรง ขนทุกเส้นตั้งขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
“เฮ้ยสวิทไฟ” ผมนึกชึ้นได้จึงปลี่เข้าไปเพื่อเปิดมัน
“กึก” ความมืดจางหายไป
เงามืดในตอนแรกกลับกลายเป็นรูปลักษณ์ของหญิงสาวสวมสไบ หน้าของเธอขาวไปหมด มีเพียงริมฝีปากสีแดงของเธอที่เป็นจุดสะดุดตา
ไม่พูดพร่ำทำเพลง มันพุ่งเข้าใส่ผม ผมร้องออกมาอย่างสุดเสียง
“เฮ้ยยย” พร้อมกับเอามือตั้งกาดป้องกันไว้
เพียงแค่ชั่วอึดนึง ร่างที่ไร้น้ำหนักก็หายเข้าไปในกำแพง….
ไม่ดีเลย เพราะหลังกำแพง คือเพื่อนผมที่ยืนอยู่ข้างนอก

**
“แม๊ววว” เสียงแมวร้องตะโกนจากข้างนอก
หรือประวัติศาสตร์จะกลับมาซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง ผมคิด
ทุกอย่างเงียบลง
ผมพยายามเอียงหูฟัง โดยนาบหูเข้ากับประตู
เมื่อหูสัมผัสกับประตู ทุกอย่างเงียบ ถึงขนาดได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเอง
เสียงหายใจเข้าออกของผม ดังกว่าเสียงจากข้างนอกเสียอีก
“เพื่อนผมมันยังอยู่ปกติใช่ไหม”ผมชักเริ่มกังวล นี้เราคิดเอง กลัวไปเองหรือป่าว
ขนาดที่คิด แรงบางอย่างฟาดเข้าที่ประตู
“ตึ้ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” มันรัวและดังมาก ผมถึงกับหงายหลังลงกับพื้น ถ้าผมใจไม่แข็งพอ ผมคงหัวใจวายตายไปแล้ว
เงียบไปสักพัก และทีนี้ดังรัวอีกครั้ง “ตึ้ง ๆ ๆ ๆ”
ขนาดนั้นผมนั่งอยู่กับพื้น ขาสองข้างงอเหยียดออกไป แขนทั้งสองข้างท้าวรับน้ำหนักตัวกับพื้นไว้
ผมได้แต่มองไปยังประตู
“ใช่ไหม” ผมพูดออกไป
“…..” ไม่มีเสียงตอบกลับ
“คุณต้องการอะไร”ผมเริ่มมั่นใจแล้ว ว่าผมกำลังคุยอยู่กับใคร
“ไ ม่ ร อ ด” เสียงพูดยานๆตอบกับมา
ท่าจะไม่ดีแล้ว ผมลุกขึ้น ละความกลัวทั้งหมด เปิดประตูออกไป
ถึงขนาดนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันรู้ไป
“ปึก” ประตูถูกเปิดออก
…..
ไม่มีใครอยู่ตรงหน้าประตู
แต่ทว่า บนรถ เพื่อนกำลังนั่งสตาร์ทรถที่เบาะคนขับ
ผมรีบวิ่งไปที่ประตู พยายามเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก
ผมเรียกชื่อมัน แต่สีหน้าและแววตา ไม่ใช่มันคนเดิมอีกต่อไป
แววตาคู่นี้ ยังตราตรึงผมไว้ตั้งแต่คืนนั้น

รถสตาร์ทติดแล้ว และกำลังจะเคลื่อนออก ภายในรถเหมือนอยู่อีกคนละโลก มันไม่สนใจผมเลย

นี้เราจะทำไงดี ขืนขับออกไป เพื่อนผมจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้
ใช่ๆ ทุบกระจกรถสิ ผมคิดขึ้นมาได้ และกำลังจะไปหยิบค้อนมาทุบ
…”ทำอะไรกัน”
รถที่กำลังเคลื่อนตัวหยุดลง
ผมหันไปมอง เสียงใครกัน..?

**
“แม่” ใช่แล้ว แม่ผมยืนอยู่หน้าประตู
“ดึกแล้ว ทำไมยังไม่เข้าบ้าน รู้มั๊ย ปล่อยเพื่อนให้อยู่นอกบ้าน มันอันตราย” แม่ทำเสียงดุใส่
ผมพยักหน้ารับ แล้วหันไปที่รถ
เพื่อน มันฟุบหัวอยู่ที่พวงมาลัย ผมรีบวิ่งเข้าไปหามัน คราวนี้ ประตูช่างเปิดออกอย่างง่ายดาย
ผมแบกประคองมันเข้าไปในบ้าน แล้วทุ่มตัวมันลงกับโซฟา
“มีอะไรจะบอกกับแม่หรือป่าว” แม่เอ่ยถาม
ผมจนมุมต่อสิ่งที่เกิด ผมจึงเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังกันตรงโซฟานี้เลย
…..
“อย่างนี้นี่เอง” แม่พูดขึ้น
“แม่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง” แม่กล่าว “หลังจากคืนนั้น พ่อกับแม่มักจะได้ยินเสียงเพลงดนตรีไทยเบาๆ เสียงมาจากห้องลูก แทบทุกคืน แต่พอลุกออกไป เสียงก็เงียบลง จนแม่คิดว่าคงหูฝาดไปเอง ไม่ได้ใส่ใจอะไร”
แม่ก็รับรู้ได้เหมือนกันหรอเนี้ย ผมคิด
“ไม่ใช่แค่นี้”
“อะไรหรอครับแม่” ผมรีบถาม
“เวลาลูกอยู่ในบ้าน แม่สังเกตและรับรู้ได้ว่า ลูกไม่ได้อยู่ห้องคนเดียว เพราะเวลาลูกเดินขึ้นลงบันได เสียงพื้นกระทบเท้า หรือเสียงข้าวของเครื่องใช้ มันไม่ได้เกินจากลูกคนเดียว อย่างลูกเข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว แม่นั่งดูทีวีอยู่ จู่ๆเสียงชักโครกก็ดังขึ้นมาเอง ประตูก็กระเพื่อมไปมา จนแม่ต้องเดินไปปิดมันเอง แม่แอบสังหรใจอยู่เหมือนกัน จนวันนี้แม่ถึงเข้าใจแล้วว่า มันเกิดอะไรขึ้น”
แม่ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แต่มันมาย้ำความน่ากลัวของผมให้มากขึ้น
“อ๋อ แม่มีของสิ่งหนึ่งอยากจะให้ลูกดู” แม่ค่อยๆเดินไปที่ลิ้นชักหน้าตู้
ผมนั่งใจจดจ่อ พร้อมเหงื่อที่ออกมาจากความกลัว
ส่วนเพื่อนผม มันเปลี่ยนท่าขดตัวนอนสบายอยู่บนโซฟา
“เมิงๆ”ผมสะกิดและเขย่าตัวมัน “ตื่นๆ มานอนตรงนี้ไม่ได้ ลุกเร็ว” ผมเขย่าพร้อมกับเรียกตัวมันไปด้วย เพราะถ้าขืนนอนตรงนี้ ไม่รู้ว่าคืนนี้จะเจอกับอะไรอีกก็ไม่รู้…

**
“อะลูก นี้คงคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด”
สิ่งที่อยู่บนมือของแม่ ผมหามันมานาน แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ มันอยู่กับแม่เองหรอ ถ้าตอนนั้นผมเล่าให้แม่ฟังผมคงไม่ต้องมาเจอแบบนี้ก็ได้
“หลายวันก่อน พ่อเจ้าเหยียบมันระหว่างเดินอยู่ในบ้าน แม่เลยเก็บมันไว้ เพราะไม่กล้าทิ้งลงถังขยะ มันดูไม่เหมือนของเล่นปกติทั่วไป”
ใช่ แม่เป็นคนรอบครอบ ไม่เหมือนผมที่มักจะทำอะไรโดยไม่คิด
เพื่อนผมค่อยๆตื่นขึ้น มันตกใจที่ตัวเองหลับไป
“กี่โมงแล้ว”มันดูลุกลี้ลุกลน
“จะตี1แล้ว นอนกับกูละกัน อย่าเพิ่งขับรถกลับเลย”ผมพูดกับมัน
มันพยักหน้า”เมื่อกี้กูฝันเห็นหญิงใส่สไบ มันพยายามดึงกูไปใหนก็ไม่รู้”เพื่อนสีหน้าเริ่มไม่ดี
แม่จึงให้เราทั้งสองไปนอนในห้องแม่ด้วยกัน ซึ่งผมกับมันนอนที่พื้น

“นี้เมิงเอาสายสินไปไว้ใหน”ใช่ มันไม่ได้อยู่ที่ข้อมือของเพื่อนผม
“มันคันขึ้นผื่นแดง เลยตัดออกไปแล้ว”มันพูดออกมาอย่างง่ายๆ
“เชี้ย เมิงคิดว่าที่ไปทำบุญนี่เป็นเรื่องเล่นๆหรอ” ผมด่ามัน และเหมือนมันก็คงจะคิดได้แล้วว่า มันกำลังพบเจอกับอะไรอยู่
“คล้องคอไว้นะ” แม่หยิบสร้อยพระมาให้เพื่อนผม มันรับไหว้และใส่ในทันที
“คืนนี้นอนกันให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” แม่ปิดไฟ ความมืดทำให้หนังตาค่อยๆปิดลง
..”เฮ้ยเมิง เฮ้ยเมิง” …
“พากูไปเขาห้องน้ำหน่อย”
ไม่ทันเช้า เพื่อนปลุกผมในขณะที่กำลังหลับสบาย
“ทนเอาหน่อยไม่ได้หรอ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”
“ตอนแรกกูคิดเหมือนเมิง นอนกลั้นปวดมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ไหววะ ฉี่จะลาดแล้ว” มือมันเยนจิงๆ คงจะไม่ไหวแน่ถ้ากลั้นต่อไป
“เออ” ผมเดินนำมันไปห้องน้ำ
“เร็วๆด้วยนะเมิง”ผมพูดกับมัน
ท่ามกลางความมืดมิด
ผมยืนรอมันหน้าประตู
..เอิงเอิง.. เสียงขับเสพาแววเข้ามาในหู
ผมหันมองไปรอบๆ พยายามหาที่มาของเสียง
“เสียงอะไรวะ”ผมคิด ตัวแนบชิดกับประตูห้องน้ำ
เมิงเสร็จยัง!

**
“เมิงเสร็จยัง” ผมเคาะเรียกมัน
“แปบๆ”
ไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกขนลุกและกลัวไปหมด ทั้งๆที่นี้คือบ้านของผม
ผมหันหน้าเข้าหาประตู เพราะถ้ามองออกไป มันมีแต่ความมืด ถ้ามีอะไรโผล่ออกมาอีก ผมคงช็อคแน่ๆ..
ข้างหลังผม ทำไมมันรู้สึกหวิวๆ เคยเป็นกันใช่ไหมครับ มันคล้ายว่ามีอะไรอยู่ด้านหลัง ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือป่าว แต่ตอนนี้ไม่กล้าที่จะหันกลับไป
..ขนผมลุกไปหมด ข้างหลังผมทำไมมันรู้สึกเย็นขึ้นเรื่อยๆ ผมกลอกตาเพื่อหวังจะมองบางอย่างจากข้างหลัง
ใกล้เข้ามาอีก ไอเย็นยะเยือกเพิ่มดีกรีความน่ากลัวขึ้น
“ตึ๊กๆๆ”ผมเคาะเร่งมัน
“เสร็จแล้วๆ” เพื่อนเปิดประตูห้องน้ำออกมา
สายตาผมจ้องดูมัน เผื่อว่ามันจะเห็นอะไรที่อยู่ข้างหลังผม แล้วก็เป็นไปตามคาด
เพื่อนผมยืนนิ่ง ตามันจ้องบางอย่างที่อยู่ข้างหลังผม
“เมิงมองอะไร” ผมถามมัน
“เมื่อกี้เข้าไปในห้องเมิงมาหรอ”มันพูดขึ้น
“กูยืนรออยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปใหน” ผมตอบด้วยสีหน้าที่แย่มากๆ เพราะผมกลัวสุดๆ
“แล้วนั้น….” มันหยุดนิ่งไป
“แล้วใครเปิดประตูห้องเมิงไว้ ปิดมันไว้ไม่ใช่หรอ”
ผมค่อยๆหันหัวกลับไป
ใช่ ประตูมันเปิดออก ซึ่งผมได้ปิดมันไว้แล้ว แล้วใครกันที่เปิดมัน คำถามเกิดขึ้นในหัว คำตอบง่ายๆที่ไม่ต้องคิดมาก ก็คงไม่ใช่คนแน่ๆ
ผมคว้าตัวมัน แล้วรีบเดินจ้ำไปที่ห้องของแม่ สายตามองตรงไปที่ห้องอย่างเดียว
ผมกับมันมองหน้ากัน เราต่างคนต่างเงียบ แค่สายตาที่มอง มันก็สื่อความหมายได้เป็นอย่างดี
ปล่อยให้ผ่านคืนนี้ไป ผมและมันล้มตัวนอน ฝืนใจหลับเพื่อให้เช้าเร็วๆ

ขณะกำลังเคลิ้มหลับ เสียงบางอย่างกระแทกเข้ากับหู
ผมและเพื่อนลืมตาขึ้นพร้อมกัน มันจ้องตาผม
มีเพียงแค่ผมและเพื่อนเท่านั้นที่รับรู้ ส่วนพ่อกับแม่ยังนอนหลับอยู่
จากที่เรานอนห่างกันอยู่ประมาณคืบนึง ตอนนี้ผมกับมันแทบจะขี่กันเลยก็ว่าได้
“เมิงได้ยินใช่ไหม”เสียงกระซิบเบาเบาจากเพื่อน
“เออ” ผมกระแทกเสียงเบาๆกลับไป
… สีหน้าของเพื่อนผมหงอไปเลย ซึ่งก็ไม่ต่างกับผมหรอก
“คาส คาส” เสียงลากเล็บกับผนังดังบนปลายหัวที่ผมนอน
ผมไม่เห็นหรอกว่ามันคือเล็บ แต่ผมเคยลองเอาเล็บขูดกับผนังที่เป็นไม้ มันก็เสียงแบบนี้แหละ
ทั้งผมและเพื่อนต่างมองหน้ากัน แล้วหมุดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม
…เหมือนกับมันกำลังแกล้งเรา ผมสัมผัสได้ถึงเจตนาของมัน แต่โชคดีที่มันไม่กล้าเข้ามาในห้องนี้ เพราะพ่อกับแม่ผมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บไว้ในห้องนี้เต็มไปหมด นั่นทำให้ผมสบายใจได้ในระดับหนึ่ง
“นอนเถอะเมิง” เราคุยกันด้วยเสียงที่เบา
ผมและมันพยายามหลับตา ไม่สนใจอะไร จนความล้าทำให้เราหลับไปเอง
…โชคดีที่แถวนี้ไม่มีหมา ไม่งั้นถ้ามันหอน ผมคงจะหลอนไปกว่านี้…
เช้าแล้ว
ทุกอย่างเตรียมพร้อมออกเดินทาง
พ่อและแม่ให้ผมพาไปวัดที่เราเจอ โชคดีที่เพื่อนผมอยู่ด้วยมันเลยต้องเป็นคนขับรถพาพวกเราไป

“กราบนมัสการค่ะหลวงพี่” แม่ผมเป็นคนนำ
ทุกคนต่างกราบตาม
“อาตมากะแล้วว่าพวกโยมทั้งสองจะต้องกลับมาหาอาตมาอีกครั้ง” พระพูดอย่างน่าสนใจ
ใช่ พระองค์นี้และที่เตือนและให้สายศิลจ์ผมกับเพื่อน
..แม่ค่อยๆเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ท่านฟัง..
“แล้วของชิ้นนั้นละ”พระท่านถาม
แม่ค่อยค่อยหยิบศีรษะของหุ่นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
“นี้ค่ะ”พร้อมกับยื่นมือออกไป
ท่านเพ่งมองและพิจารณาอยู่สักพัก
“ไปรับปากอะไรกับเขาหรือเปล่า” ท่านถาม
“เค้ามาด้วยนะ ตรงหน้าต่างนั่น”
ผมหันมองทันที…

**
ทุกสายตาต่างหันไปที่หน้าต่าง
ใบไม้สีเขียวโบกสะบัดอยู่ภายนอก เราแค่คนธรรมดา กลางวันแสกๆจะไปเห็นอะไร
ไม่รู้มีใครเห็นอีกหรือป่าว ผมคนนึงที่มองไปแล้วไม่พบอะไร รวมทั้งเพื่อนผมด้วย
เพื่อนเอามือป้องปากเพื่อกระชิบกับผม”ให้ท่านไล่ไปเลยสิ”มันพูดเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายๆ
“โยมคนนั้นนะ สายสิญจน์หายไปไหน”จังหวะที่ยกมือ ประจวบเหมาะกับสายตาท่านพอดี
ท่านแสดงสีหน้าดุ แล้วต่อว่าเพื่อน “ถ้ายังลั้นไม่ทำตามอยู่อย่างนี้ อาตมาก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
เพื่อนรีบกราบขอโทษด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจะสำนึก
“ขอโทษครับท่าน ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว”
พระส่ายหน้า แต่ก็หันไปหยิบ สายสิญจน์อีกเส้นมาให้
“เอาละอาตมาจะเล่าอะไรให้ฟัง”
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
“สมัยก่อนเคยมีคนมาผูกคอตายเนื่องจากเขาได้ขับรถชนหลานของตัวเองเสียชีวิตที่ตรงนั้น เขาเสียใจมากเพราะทุกคนต่างหาว่าเขาเป็นคนทำให้หลานตาย แต่เขาพยายามบอกกับทุกคนว่าเค้าไม่ได้ชน มันเป็นอุบัติเหตุ แต่กลับไม่มีคนเชื่อหาว่าเค้าประมาทซึ่งวันนั้นก็มีแต่เขาลูกเขาแล้วก็หลาน อยู่ในที่เกิดเหตุ เค้าไม่รู้จะไประบายกับใครก็มีแต่ลูกเขาที่เข้าใจ แต่ลูกก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะยังเด็ก จนในที่สุดเขาทนแรงกดดันจากคนในชุมชนและญาติไม่ไหว เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ เค้าก็ได้มาผูกขอตายที่ใต้ต้นไม้บริเวณนั้น หลังจากนั้นลูกค้าก็ได้มาบวชให้พ่อเขา และไม่สึกอีกเลย”
เมื่อพอฟังถึงตรงนี้ผมก็อ๋อขึ้นมา แล้วผมก็แทรกพูดขึ้น
“แสดงว่าสิ่งที่ผมเจอเมื่อคืนนั้นก็คือเค้าใช่ไหม”

ท่านไม่พูดอะไร แต่กับพยักหน้าตอบกับมาแทน
อย่างนี้ผมคงจะมีทางออกแล้วแน่แน่เพราะท่านก็รู้จักเรื่องนี้เป็นอย่างดี ท่านต้องมีวิธีแก้ให้กับเรา
“เค้าหมดเวรหมดกรรมแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกลัวอีกต่อไป”
ดูเหมือนอะไรๆมันจะดีขึ้น ผมคิด…

**
ย้อนไปเมื่อคืนนั้น พระที่ผมเจอ ที่ผมเข้าไปชิดตัว นั้นคือคนในเรื่องที่พระอาจารย์เล่าหรือป่าว เขาไม่ใช่ผีใช่ไหม เขายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม…
“แล้วตอนนี้ท่านจำวัดอยู่ที่ใหน”ผมถาม
ท่านหันมอง “ก็อยู่ที่นี่แหละ”
ผมพยักหน้าคลายความสงสัย
“โล่งอกไปที” ผมคิด
….
“แล้วหัวหุ่นนี่ละคะ”แม่เอ่ยถาม
“สิ่งนี้และ ที่เป็นเวรเป็นกรรมกับโยม” ทุกคนตั้งใจฟัง
“จังหวะ เวลา มันพอเหมาะ แล้วโยมก็รู้ดีว่า มีอะไรผูกมัดมันไว้”
ต้องใช่แน่ๆ เป็นเพราะเราดันไปรับปากมันไว้นี่เอง
“แล้วพอจะมีวิธีแก้หรือป่าวคะ”แม่ถาม
พระท่านมองไปที่หน้าต่างอีกครั้ง เพ่งสักพักแล้วหันกลับมา
ผมกับเพื่อนมองตากันปิบๆ
“เขาไม่อยากไปใหนแล้ว”
ทุกคนหันมองหน้ากัน
“แต่มี3สิ่งที่จะต้องทำ ถ้าต้องการให้เขาออกไป”
ผมรีบถามออกไป”อะไรหรอครับพระอาจารย์”
“อย่างแรก บูรณะศาลใหม่ทั้งหมด
อย่างที่สอง นิมนต์พระไปทำพิธีทางศาสนา
และอย่างที่สาม” ท่านหยิบปากกาแล้วเขียนข้อความบางอย่างลงกระดาษ ก่อนที่จะยื่นให้กับผม
“การสงเคราะห์วิญญาณ”ท่านบอก
ผมมีสีหน้าที่งงเล็กน้อย “มันคืออะไร” ผมคิด
“รายละเอียดอยู่ในนั้นแล้ว”ท่านกล่าว
….. ก่อนกลับ ท่านสวดให้พรและรดน้ำมนต์ อย่างน้อยก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดนึง…

ระหว่างทาง ผมเปิดอ่านกระดาษแผ่นนั้น ลายมือหวัดๆแต่ก็พออ่านได้ …
“วันพระข้างแรม (วันนี้ เวลาประมาณเที่ยงคืน) ให้จัดกระทงใบตอง ที่มีข้าวกุ้งพล่าปลายำ น้ำ หมากพลู ขนมหวาน ปักธูป 1 ดอก ไปไหว้ที่ทางตรงนั้น ให้สวด นะโม 3 จบ แล้วว่า “อิติเวสสุวัณโณ สัพพะภูโตสุขัง” 7จบ แล้วอย่าหันกลับไปมองเด็ดขาด” ….
“คืนนี้หรอ”ผมพูดขึ้น
“ไปทำตามที่พระท่านบอกเถอะลูก คืนนี้ข้างแรม ถ้ารออีกเดี๋ยวจะไม่ทันการ”แม่กล่าว
ผมจึงตกลงกับเพื่อนว่าจะไปด้วยกันคืนนี้


เรื่องที่เกี่ยวข้อง
กลับป่าช้ากันเถอะ
ปู่โสม เฝ้าสวน
นัดเล่า…ผี
ตัวตาย ตัวแทน
ซากสยอง กลางดงมรณะ
เรื่องผี ขยี้ขวัญ