เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เคยตั้งใจไว้ว่า ‘จะไม่เล่า’ เหตุผลที่ตัดสินใจอย่างนั้นคือ มีหลายๆเหตุการณ์ในเรื่องนี้ที่ค่อนข้าง เหลือเชื่อหรือเกินเชื่อไปบ้าง เมื่อเล่าให้ใครฟังก็มักจะได้คำตอบเดิมๆกลับมาว่า หนังรึเปล่า ละครเลยเนี่ย อีกอย่างคือเรื่องราวค่อนข้างรุนแรงพอสมควร
เวลาผ่านไปนานพอสมควร เรื่องเล่าหลายๆเรื่องที่ผมเขียน ผู้คนรอบๆตัว ทุกอย่างค่อยๆให้คำตอบกับตัวผมเองรวมไปถึง เจ้าของเรื่อง เขาอยากให้ผมเล่า ลองดูไม่ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร คนจะเชื่อหรือไม่ช่างมัน อย่างน้อยก็ไม่อยากให้มีใครต้องเป็นแบบเขาอีก
อย่างที่ผมเกริ่นไว้แล้วนะครับว่า เรื่องนี้อาจมีบางส่วนที่ดูเหลือเชื่อหรือเกินเชื่อไปบ้างแต่อย่างไรเสียมันก็คือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผมและผู้คนในเรื่องราว เรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลอย่างมาก หากไม่ถูกใจท่านขอให้อ่านเพียงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
เรื่องนี้น่าจะยาวพอสมควรและคงต้องใช้เวลาในการเล่า ผู้อ่านทุกท่านสามารถหาขนมหรือหาละครสักเรื่องดูควบคู่กันไปด้วยก็ได้นะครับ เตือนไว้อีกนิดว่าในเรื่องมีส่วนล่อแหลมพอสมควร โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
ไสยศาสตร์และวิญญาณไม่ใช่เรื่องเหลวไหลมันยังคงอยู่ตลอดมาในมุมหนึ่งของสังคมไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา เทคโนโลยีที่ก้าวไกลไม่ใช่เหตุผลที่จะบอกว่าเรื่องราวพวกนี้ได้หายไปแล้ว อย่างไรเสียก็ลองฟังหูไว้หูเสียบ้างก็ไม่เสียหาย
ข้าพเจ้าขออนุญาตดวงวิญญาณและผู้ล่วงลับทุกผู้ทุกนามไว้ ณ ที่นี้ด้วย
……………………………………………………………………………
ขออนุญาตเท้าความยาวนิดหนึ่งนะครับ
เรื่องที่จะเล่าในวันนี้เกิดขึ้นเมื่อราวๆหนึ่งปีก่อนเป็นช่วงที่ผมได้ฝึกงานอยู่ในกรุงเทพเป็นเวลาเกือบครึ่งปี ช่วงนั้นเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผมเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตหรือคนรอบๆตัว
ในช่วงว่างๆบางวันผมจะใช้เวลาไปกับการเดินทางไปตามที่ต่างๆที่อยากไปเพราะเคยตั้งใจไว้ว่าคงจะไม่เข้ามาทำงานที่นี่จริงๆในระยะยาว ช่วงที่ไปได้ก็จะรีบไป
คืนหนึ่งผมได้รับข้อความผ่านทาง เพจ เป็นเหมือนข้อความทักทายทั่วๆไปสั้นๆ ‘สวัสดีครับ’
ผมตอบกลับไปตามปกติ แต่ก็ไม่มีประโยคใดตอบกลับมาอีกมีเพียงข้อความสั้นๆของระบบที่แจ้งว่าปลายทางได้อ่านข้อความของผมแล้ว
น่าจะวันหรือสองวันไม่แน่ใจผมเข้าไปตรวจดูข้อความตามปกติก็ได้เห็นว่าเจ้าของประโยคนั้นได้หายไปแล้ว หน้าโปรไฟล์เฟซบุ๊กของคนนั้นได้ถูกปิดไปเป็นที่เรียบร้อยเหมือนกับยกเลิกบัญชีไป ผมไม่สามารถตอบข้อความใดกลับไปได้อีก
ผมไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะผมเคยได้รับข้อความแนวๆนี้แล้วหายไปเสียเฉยๆอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ผมถึงรู้สึก คาใจ กับเจ้าของข้อความที่ไม่มีที่มานี้อยู่หลายวัน
แม้ว่าผมจะได้ลบข้อความนั้นออกไปจากกล่องข้อความแล้วเพราะมันเหลือไว้แค่คำว่า ‘ผู้ใช้facebook’ เท่านั้น จะเก็บไว้มันก็ดูรกและทำให้หาข้อความอื่นๆยากขึ้น
ช่วงบ่ายโมงวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่งหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จผมเดินเล่นอยู่ใน siam paragon ฆ่าเวลาเพื่อรอเพื่อนที่กำลังดื่มด่ำกับร้านเครื่องสำอางเปิดใหม่ในช่วงนั้น
ระหว่างที่เดินเตร่ไปเรื่อยผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเหมือนตามปกติ พอดีกับที่มีข้อความแจ้งเตือนมาในกล่องข้อความอีกครั้ง
‘สวัสดีครับ’
มันอาจดูเหมือนเป็นข้อความทักทายของคนทั่วๆไปที่ใครๆก็ใช้กัน แต่ความรู้สึกในวันนั้นทำให้ผมตัดสินใจกดเข้าไปอ่านแทบจะในทันที อาจเพราะความว่างหรืออะไรก็ไม่แน่ใจ
หน้าโปรไฟล์ที่ติดต่อนั้นเป็นภาพพื้นหลังสีดำไม่ได้แสดงหน้าตาของผู้ติดต่อแต่อย่างใด ประโยคที่เราคุยกันนั้นสั้นๆเหมือนทั้งสองคนไม่ค่อยอยากจะสนทนากันสักเท่าไหร่
‘สวัสดีครับ’
‘ครับ’
‘มีเรื่องปรึกษาครับ’
‘ครับ พิมพ์มาได้เลยครับ’
‘อยากเจอครับ ไม่อยากเล่าผ่านในนี้’
..
ผมไม่ได้ตอบกลับไปเพราะปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยจะรับนัดเจอกับใครที่ไม่รู้จักหรือมีคนใกล้ตัวแนะนำมาจริงๆ ผมปล่อยข้อความทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
‘ผมอยู่พารากอนครับ’
ประโยคเดียวที่ทำให้ผมเอะใจและรู้สึก ประหลาดใจ ในตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดว่าเขาคือเจ้าของข้อความเมื่อคราวก่อน แต่มันดูบังเอิญเกินไปที่เราจะมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ทักมาในวันและเวลาที่ถูกต้องอย่างนี้
ด้วยความนึกสนุกของตัวเองที่ได้พบเจอกับความบังเอิญแบบนี้อีกครั้งจึงเลือกที่จะไปเจอกับใครคนนั้นที่นัดเจอกับผมโดยที่เราทั้งสองคนไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
สถานที่นัดคือ starbuck ฝั่งตรงข้ามกับพารากอน ผมเดินเข้าไปในร้านโดยไม่รู้ว่าต้องไปพบใคร แต่มันผู้ชายคนหนึ่งดูภูมิฐานยืนออยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้า
ผมถือโทรศัพท์ไว้ในมือเหมือนเป็นเชิงสัญลักษณ์บอกถึงการนัดผ่านข้อความของเรา เหมือนพี่เขาจะรู้เช่นกันเพราะเขายกมือทักทายเพื่อยืนยันตัวตน
‘น้องรับอะไรครับ พี่เลี้ยง’
นั่นคือประโยคแรกที่เราได้คุยกัน ผมสั่งคาปูชิโน่ตามความเคยชินที่กินอยู่เป็นประจำ ผมยังไม่ได้ไปหาที่นั่งเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาที่นี่รู้ว่าต้องเดินไปตรงไหน
‘2 รายการนะครับ อีกท่านจะสั่งด้วยกันเลยไหมครับจะได้เป็นบิลเดียว’
ผมสะดุดหูกับคำถามนั้นของพนักงาน เรามากันสองคนและผมก็ยืนห่างออกมาพอสมควรไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะถามอย่างนั้น นอกเสียจากเขาจะเห็นเราสองคนยืนคุยกันก่อนจะไปสั่งเครื่องดื่ม
พี่เขาแค่ยิ้มๆแล้วย้ำว่า สองรายการครับ ผมยืนรอไม่นานพี่เขาก็ถือกาแฟสองแก้วในมือมาให้และพาเดินขึ้นไปนั่งที่ชั้นบนสุดของร้าน
ในวันนั้นเป็นวันหยุดทำให้มีผู้คนแน่นขนัดแต่ยังพอจะหาที่นั่งได้บ้าง เรานั่งตรงมุมติดผนังด้านในตามความต้องการของเจ้าตัว
พี่กิต แนะนำตัวแทบจะในทันทีที่เรานั่งลงพร้อมถอดแว่นกันแดดราคาแพงออกมาวาง เมื่อได้มีเวลาให้นั่งพิจารณาผู้ชายคตรงหน้าแล้วจึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยากจะพูดคุยผ่านโซเชียลสักเท่าไหร่
‘พี่ชื่อกิตนะครับ ส่วนอาชีพพี่ขอไม่ไม่บอก น้องสะดวกไหมครับ’
‘ได้ครับ เอาที่พี่สบายใจ ทางผมก็เหมือนกันอย่าไปบอกใครต่อแล้วกันครับ’
‘ครับ ถ้าน้องช่วยพี่ได้ จะเท่าไหร่พี่ก็จ่าย ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะครับ’
ผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นอยู่แล้วอย่าว่าแต่หมื่นหรือแสนเลย สักบาทเดียวผมก็ยังรับไม่ได้ และมันก็คงจริงตามที่พี่กิตบอก เครื่องแต่งตัวของเขาแต่ละชิ้นดูมีราคาไม่น้อยทั้งหมดล้วนเป็นแบรนด์ชื่อดัง ที่สำคัญคือผิวพันธ์และหน้าตาของชายวัยใกล้สามสิบตรงหน้าผมนั้นเรียกได้ว่าเป็นคน หน้าตาดีมากคนหนึ่ง
เราไม่พูดคุยถึงชีวิตส่วนตัวของกันและกันมีเพียงพี่กิตที่ออกตัวไว้ว่าเขาต้องการความลับและความเป็นส่วนตัวตามสไตล์นักธุรกิจสมัยนี้
การแนะนำตัวทั้งหมดเกินขึ้นเพียงไม่กี่นาที ผมก้มลงไปหยิบแก้วกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะเพียงวูบเดียวก็ได้เห็นภาพที่ทำเอาตัวแข็งไปชั่วแวบหนึ่ง
ที่ข้างๆพี่กิตนั้นมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอนั่งใกล้แนบชิดติดกับตัวของชายหนุ่ม ใบหน้าซบลงตรงไหล่ยิ้มปริ่มด้วยความสุข ผิดก็แต่เพียงว่าใบหน้านั้นน่าเกลียดเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็น คน
ผมคงเผลอแสดงท่าทีตกใจออกไปโดยไม่รู้ตัว พี่กิตจึงถามผมเพื่อยืนยัน
‘น้องเห็นแล้วใช่ไหมครับ’
ผมไม่ได้ปฏิเสธเพราะคนถามดูมีเรื่องจะเล่าให้ผมฟังพอสมควร พี่กิตสูดหายใจเข้าออกสองสามทีก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่ตัวเองก็คงไม่อยากพูดมันออกมา
พี่รู้สึกว่าพี่เหมือนจะโดนทำของใส่ครับ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นของอะไรอย่างไรเพราะพี่ไม่เข้าใจและไม่ได้เชื่ออะไรพวกนี้สักเท่าไหร่เสียด้วยแต่มันก็มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นหลายครั้งกับคนรอบข้าง และตัวพี่เอง
พี่คิดว่ามันคงเป็นเหมือนกับเสน่ห์ หรือไม่ก็พวกคำสาปแช่งอะไรพวกนี้หรือเปล่าแต่ที่แน่ๆมันต้องเป็นเรื่องความรักของพี่แน่ๆ ไม่ว่าพี่พยายามจะมีความรักสักกี่ครั้ง มันก็พังเสียทุกที
ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าพี่ไม่ใช่คนดีนะครับ เรื่องผู้หญิงพี่แย่มากเรียกได้ว่าเป็นเสือคนหนึ่งเลย น้องก็คงพอจะเดาได้จากลักษณะของพี่ บอกกับการงาน ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาหาเยอะมาก แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้หวังจะรักจะชอบกันหรอกครับ
ซื้อมาก็จ่ายไปครับ จนพี่เริ่มชินชากับเรื่องพวกนี้ แต่ในจำนวนนั้นมันก็มีบ้างเหมือนกันที่ฝ่ายนั้นดูจะจริงจังแต่ก็เป็นพี่เองที่หยุด และตัดขาดเขาไปเสียเฉยๆเพราะเราไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้นตั้งแต่แรก
‘แล้วปัญหามันคืออะไรครับ’
ผมอาจจะมีนิสัยเสียที่ไม่ชอบนั่งฟังเรื่องราวที่ดูไร้สาระและไม่เกี่ยวข้องกับใจความของการสนทนาแต่มันก็ทำให้เราประหยัดเวลาไปได้มากพอสมควร
พี่กิตเงียบแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ประมาณครึ่งปีก่อนเห็นจะได้มั้งครับ ตอนนั้นพี่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่คุยกันมาประมาณเดือนสองเดือน เธอก็ดีครับเหมือนจะเข้ากันได้ในหลายๆด้านหลายๆมุม
เป็นพี่ที่รู้สึกไปเองหรือเปล่าพี่ก็ไม่รู้ พี่รู้สึกรักและผูกพันกับเขาพอสมควรเลย ความรู้สึกในตอนนั้นมัน ดี พี่ยังจำได้แต่แปลกนะครับมันไม่ตกค้างในความรู้สึกเลยเหมือนมันเป็นแค่เหตุการณ์ในชีวิตที่เราแค่ จำได้ ไม่ได้รู้สึกอีกแล้ว ไม่แม้สักส่วนเดียววันหนึ่งพี่ทำงานอยู่ที่ทำงานของพี่นี่แหละ แล้วเหมือนคนในนั้นเขาไปเชิญหมอดูมาจากไหนไม่รู้พี่ก็ไม่รู้จัก แต่เหมือนทุกคนดูสนุกสนานกันมากส่งเสียงเฮฮาจนพี่อยากเข้าไปดู
‘พี่กิตๆ มานี่เลย มาดูดวงๆ หมอแม่นมากเลยพี่’
น้องในที่ทำงานลากพี่ไปนั่นตรงหน้าหมอโดยที่ยังไม่ได้ถามความสมัครใจพี่สักคำ การดูก็เป็นไพ่ครับน่าจะยิปซี พี่ก็ดูๆไปตามที่เขาชักชวนไม่ได้สนใจอะไรมาก
‘น้อง เหมือนจะโดนของนะคะ’
ประโยคแรกก็ทักพี่แรงเลย แล้วไอ้เรามันไม่เคยไปยุ่งกับของพวกนี้ไงจะมาโดนได้ยังไง ในใจพี่ตอนนั้นก็เลยปฏิเสธไปก่อนแล้ว แอบหัวเราะอยู่ในใจโดยที่เราไม่สนใจหรอกว่าเขาจะพูดอะไรต่อ ก็คงเหมือนกับหมอดูทั่วๆไปที่ทักไปเรื่อง สร้างความกลัว เพื่อหลอกเอาเงิน
หมอดูไม่สนใจเรื่องอื่นเลยเอาแต่พูดเรื่องของวนไปวนมาบอกว่าพี่โดนทำเสน่ห์ ตอนนี้เนี่ยมีแฟนใช่ไหม ไม่ก็ต้องมีคนคุย เขาอยากได้เรามาก เลยทำของใส่
มันก็จริงที่พี่มีคนคุยแต่ก็ไม่ได้ถึงกับจะเป็นแฟนกัน น้องๆในที่ทำงานก็ลุ้นมานั่งฟังกันหมดเพราะพี่ไม่ได้ต้องการความเป็นส่วนตัวอะไร
พี่ฟังนะครับแต่ไม่ได้ใส่ใจเพราะเราไม่เชื่อ แต่กลายเป็นว่าพี่ได้เครื่องรางมาชิ้นหนึ่งเป็นเหมือนกับกังหันลมอันเล็กๆที่ขายามศาลเจ้านั่นแหละครับ แต่อันนี้เขาว่าเขาลงนั่นลงนี่มาไปเอามาจากต่างประเทศโดยตรง ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะขายของพอสมควร
ตอนแรกพี่ก็จะไม่เอาเหมือนกันเพราะคงจะต้องเสียเงินไม่ใช่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยโชคหรือว่าอะไรเหมือนกันเขาให้พี่มาฟรีๆเลย บอกว่าพวกรุ่นน้องพี่ที่ทำงานจ่ายให้เขาเยอะแล้วกับการเชิญมาครั้งนี้ อันนี้ก็กะว่าจะเอามาเป็นของสมนาคุณพอดี
น้องๆคะยั้นคะยอให้พี่รับมาครับ พี่ก็รับมาไปอย่างนั้นเองอย่างนั้นมันก็สวยดี ไม่ได้คิดว่ามันจะให้ผลลัพธ์อะไร
คืนนั้นพี่กลับไปที่ห้องซึ่งปกติแฟนพี่(ขอเรียกอย่างนี้ให้เข้าใจง่าย)จะไม่มีกุญแจห้องเพราะไม่ได้เป็นตัวเป็นตนอะไรขนาดนั้น พอพี่กลับไปถึงที่หน้าคอนโดก็เจอเขานั่งรออยู่ที่ฟร้อนท์ด้านล่าง
มันเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรนะครับแต่กลายเป็นว่าวันนั้นเราทะเลาะกันหนักมาก เรื่องไร้สาระพอสมควร สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมใครครับแยกย้ายกันไปในช่วงกลางดึก
เราไม่ได้เจอกันไปประมาณสองสามวันเห็นจะได้พ่อกับแม่พี่ก็แวะมาเยี่ยม พ่อกับแม่พี่อยู่ในตัวกรุงเทพนี่แหละครับแต่พี่อยากออกมาอยู่เองไม่อยากอยู่บ้าน วันนั้นเหมือนพ่อพี่จะไปเที่ยวกันมาเลยบูชาพระเครื่องมาให้ชิ้นหนึ่ง
บ้านพี่ชอบทำบุญครับไปมาแทบจะทุกที่ถึงพี่จะไม่ค่อยอินก็เถอะ พระเครื่องอันนั้นพ่อพี่ใส่กรอบมาให้อย่างดีเลยเอามาคล้องคอพี่ ซึ่งมันก็ทำให้พี่นึกขึ้นได้ว่าพี่เพิ่งได้กังหันสวยๆนั่นมาก่อนหน้านี้เลยคิดจะให้พ่อกับแม่ไว้เก็บสวยๆงามๆ
พี่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จำได้ดีว่าโยนใส่กระเป๋าทำงานไว้ซึ่งมันก็ใบเล็กๆแต่มันหายไปไหนไม่รู้ โทรไปให้เด็กที่ทำงานหาแถวออฟฟิศให้ก็ไม่เจอ สุดท้ายก็ไม่ได้ให้อะไรท่านกลับไปสักชิ้นเลย
แปลกอีก เพราะคืนนั้นเธอมาหาพี่อีกรอบครับ แต่ตัวพี่เองไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ที่เธอมาตอนนั้นพี่ก็คิดว่าพี่เหนื่อย แต่มันก็ไม่น่าจะทำให้หงุดหงิดได้มากมายเพราะเธอสวยและตรงใจพี่พอสมควร
พอพี่เปิดรับเธอเข้าห้องมาเธอก็จัดแจงทำกับข้าวให้พี่กินทุกอย่างเก็บกวาดเรียกได้ว่า แปลกตา สำหรับคนสวยๆและฐานะดีอย่างเธอคงจะผิดวิสัยพอสมควร พี่บอกว่าออกไปหาร้านดีๆกินบรรยากาศกันไหมจะได้ไม่ลำบากเธอก็ไม่ยอมบอกว่าอยากจะทำให้พี่กินเอง
นอกจากงานบ้านงานเรือนที่อยู่ดีๆเธอก็ลุกขึ้นมาทำ กิจกรรมยามค่ำคืนในคืนนั้นก็พิเศษกว่าทุกคืนครับ เธอไม่เคยตามใจพี่ขนาดนั้น ไม่เคยเป็นฝ่ายบริการมากมายมีแต่จะให้พี่ทำเองอย่างเดียว
เรียกได้ว่าคืนนั้นเป็น sex ที่วิเศษมากครับ
พี่กิตหยุดเล่าไปครู่หนึ่งหันไปจิบกาแฟในมือเหมือนอยากให้ผมพูดอะไรบ้าง แต่ผมก็ได้แค่พยักหน้ารับรู้ให้เบาๆ
‘เล่ามาขนาดนี้น้องคงพอรู้แล้วว่าพี่เป็นพวกเสือผู้หญิง ใช่ครับ พี่ยอมรับ เรื่องผู้หญิงพี่เลวมาก ยิ่งกว่าแย่’
มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีใครๆก็รู้และเข้าใจในจุดนี้แต่กลายเป็นว่าในสังคมปัจจุบันเรื่องราวแบบนี้กลับดู เท่ หรือมีเสน่ห์ให้หลายๆคนเฝ้าฝันหาไปเสียแทน
คืนนั้นจบลงด้วยความสุขและความพอใจของทั้งสองฝ่ายจนเวลาในรุ่งเช้ามาถึง ในตอนที่พี่ตื่นขึ้นมานั้นเธอก็ไม่ได้นอนอยู่ข้างพี่อีกแล้ว เธอออกไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่แน่ใจ ไม่มีโน้ตหรือข้อความทิ้งไว้
พี่เข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวจะออกไปทำงานตอนส่องกระจกแปลงฟันอยู่นั้นพี่ก็สังเกตเห็นว่าสร้อยพระที่พอพ่อให้มาเมื่อวานนั้นตอนนี้มันแตก
ตัวสร้อยทำจากเงินแท้ครับเพราะพี่ไม่ค่อยชอบทอง มันแข็งแรง ตัวกรอบเป็นพลาสติกใสๆแข็งเรียกว่าขว้างก็คงไม่แตก แต่วันนั้นพระเครื่องที่อยู่ข้างในแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยที่กรอบภายนอกไม่ได้มีรอยร้าวแต่อย่างใด
บอกตามตรงว่าสิ่งที่เห็นทำเอาพี่ใจหายเหมือนกัน มันก็คงจะดูเป็นเหตุบังเอิญมากกว่านี้ถ้าพี่ไม่ได้เพิ่งถูกหมอดูทักมาสดๆร้อนๆ
วันนั้นพี่ไปทำงานด้วยความขุ่นข้องหมองใจอย่างมาก อาจเพราะกังวลหรือกลัวก็ไม่แน่ใจ พอไปถึงที่ทำงานจึงรีบตรงไปยังมุมกาแฟที่น้องๆชอบไปรวมตัวกันเป็นประจำ
พอเล่าทุกอย่างให้ทุกคนฟังก็ได้รับคำปรึกษามามากมายเลยครับ ทั้งไทยจีนแขก มาครบ แต่พี่ก็ยังไม่ได้ปักใจว่ามันจะใช่จริงๆ มันอาจเป็นความผิดพลาดของคนทำกรอบแต่ร้านนี้ก็ทำธุรกิจกันมานานไม่เคยพลาดเสียด้วย
จำที่พี่เคยบอกได้ไหมครับว่าตอนนั้นพี่คิดจะจริงจังกับผู้หญิงคนนั้นแต่หลังจากพี่วุ่นๆเรื่องพวกนี้อยู่สองสามวันพี่ก็รู้สึกเฉยๆกับเธอ เจอได้ไม่ว่า แต่ไม่ได้อยากเจอบ่อยๆ ถ้ามาหาก็ต้องเอาที่พี่ว่าง บางครั้งถึงว่างก็ต้องขอให้พี่อารมณ์ดีพอที่จะเจอด้วย แต่เรื่องมานอนค้างนี่พี่เริ่มจะไม่พอใจครับ รู้สึกอึดอัด
พี่เอาพระเครื่องไปคืนพ่อที่บ้านพร้อมทั้งขอโทษกันยกใหญ่ พ่อพี่ไม่ได้โกรธแต่กังวลมากกว่า คนโบราณมีความเชื่ออยู่ว่าเครื่องรางหรือวัตถุที่เชื่อว่ามีพลังมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเอง นอกจากจะนำพาเรื่องดีๆปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้หายไปแล้ว บางครั้งมันยังรับเคราะห์แทนเจ้าของมันอีกด้วย
พี่ก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละครับ คนที่บ้านพี่ตื่นตูมกันยกใหญ่พาพี่ไปไล่ทำบุญหลายวัดเลยแต่ไม่น่าจะถึง 9 นอกจากทำบุญก็มีสะเดาะเคราะห์ด้วย ที่จำได้ก็มีนอนโลงศพบริจาคโลงศพปล่อยปลา สร้างวัดนั่นนี่
แต่ที่ทำให้พี่ประหลาดใจที่สุดก็คงจะเป็นแฟนพี่คนนั้นครับ ในช่วงที่พี่ไปตระเวนทำบุญกับที่บ้านเธอทั้งข้อความมาโทรมาหลายสายพี่บอกเธอแล้วว่าไม่สะดวกรับอยู่กับครอบครัวเธอก็ไม่ฟัง บอกให้พี่กลับบ้านอยากไปหาด้วยเหตุผลหลายๆอย่างรวมไปถึงส่งภาพตัวเองมายั่วอารมณ์พี่ด้วย
พี่บอกแล้วว่าเธอเป็นคนสวยยิ่งส่งรูปอย่างนั้นมาเล่นเอาพี่เกือบจะกลับไปเหมือนกัน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะคนที่บ้าน
พอกลางวันมาหาไม่ได้จึงบอกว่าจะมาหากลางคืนซึ่งพี่ก็ตกลงครับเหมือนทุกๆครั้งแต่แผนก็พังเพราะคืนนั้น พ่อกับแม่จะมานอนด้วย คือทำบุญเสร็จเข้าคอนโดเลยไม่กลับบ้าน บอกว่าไม่สบายใจ พี่ก็ไม่สามารถจะขัดใจได้
ช่วงที่พี่ออกไปหาซื้อกับข้าวมากินกันในห้องอย่างที่แม่ต้องการซึ่งแม่พี่อยากกินร้านไกลมากกว่าจะกลับมาก็เป็นชั่วโมง
ตอนออกจากลิฟต์มาพี่ตกใจเลยเพราะหน้าห้องพี่มีรถเข็นแม่บ้านจอดอยู่สองสามคัน พอพี่เดินไปถึงห้องก็ได้รู้ว่าแม่พี่ไปจ้างพวกเธอมาทำความสะอาดนอกเวลาซึ่งปกติเขาจะเข้ามาทำให้อยู่แล้วถ้าบอกแต่ก็จะเป็นตามเวลา แม่พี่ยอมเสียเงินเพราะอะไรก็ไม่เข้าใจ
พี่นั่งรออยู่ไม่นานก็เกือบจะเสร็จแล้วครับ เหลือแต่ในห้องนอนส่วนตัวของพี่ที่แม่ยังไม่ได้ให้ใครเข้าไปทำเพราะจะรอขออนุญาตพี่ก่อน ซึ่งพี่ไม่มีอะไรซุกซ่อนอยู่แล้วจึงอนุญาตให้เข้าไปทำได้เต็มที่เลย
ว้าย!
เสียงร้องตกใจของคนทำความสะอาดทำให้พวกเราต้องรีบตามเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เห็นคือแม่บ้านสองคนยืนอยู่ตรงใกล้ๆกับโต๊ะทำงานเล็กๆของพี่บนผนังจะมีชั้นไม้ที่ตกแต่งไว้สำหรับวางของตรงนั้นก็จะมีพวกหนังสือของสะสมของเล่นที่พี่ชอบ แล้วก็พุทธรูปองค์หนึ่งที่ได้พ่อให้มาเมื่อตอนย้ายเข้าพี่บอกแล้วว่าพี่ไม่อินกับเรื่องนี้จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก พุทธรูปตรงนั้นมีแต่ฝุ่นเขรอะ พอแม่บ้านไปหยิบจับทำความสะอาดก็กรีดร้องออกมาเพราะในนั้นมีของที่ไม่ควรอยู่
ที่ใต้ฐานพุทธรูปหล่อซึ่งไม่ใช่แบบทรงตันทั้งองค์ในนั้นมีห่อสายสิญจน์ดูสกปรกอยู่ก้อนหนึ่งข้างๆกันมีหุ่นดินปั้นตัวเล็กๆมีชื่อจริงนามสกุลพี่เขียนเอาไว้แยกกันสองชิ้นโดยมีตัวสายสิญจน์โผล่ออกมาจากตัวหุ่นโยงไปยังก้อนสายสิญจน์นั้น
พี่ตกใจมากครับ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พี่หยิบเอามันโยนลงที่พื้นกำลังจะเขี่ยมันลงถุงขยะ แต่แม่ห้ามไว้เสียก่อน
แม่พี่ให้แม่บ้านกลับไปทันทีที่เจอของดังกล่าว แม่หยิบมันมาวางไว้บนโต๊ะแล้วบอกให้พ่อแกะมันออกดู พี่ห้ามแล้วครับกลัวว่ามันจะเป็นของไม่ดีแต่แม่กับพ่อก็ไม่ฟังครับต้องการจะรู้ให้ได้ว่ามันมีอะไรอยู่ข้างใน
พ่อพี่หันไปหยิบเอาคัตเตอร์แล้วกรีดตรงก้อนสายสิญจน์ให้ขาดออก ก้อนนั้นเป็นสายสิญจน์ล้วนครับไม่ได้มีอย่างอื่นเลย พอมันเริ่มขาดมากพอสมควรก็ทำให้เห็นของที่ถูกใส่ไว้ข้างใน
พ่อพี่เป็นคนเห็นคนแรกเลยรีบบอกให้แม่ถอยไปห่างๆก่อนยังไม่ให้เข้ามาดู พี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆจึงขยับเข้าไปดูให้เห็นกับตา ภาพที่เห็นคงต้องบอกว่าอยากอ้วกมากกว่ากลัวครับ
ในห่อสายสิญจน์ที่ถูกโยงออกมาจากตัวหุ่นมีของใส่เอาไว้สามอย่าง คือ หนังสัตว์แห้งๆแข็งๆพ่อพี่บอกว่าน่าจะเป็นหนังควายบนหน้าหนึ่งเขียนชื่อของผู้หญิงคนนั้นไว้ อีกด้านเป็นอักขระยันต์ที่พี่ไม่รู้จัก อีกชิ้นหนึ่งคือถุงยางใช้แล้วของพี่ภาพที่เห็นคือน่าเกลียดมากครับเพราะมันน่าจะนานมากแล้วยิ่งเรื่องกลิ่นไม่ต้องพูดถึงทำอาคลื่นไส้กันไปตามๆกัน ส่วนชิ้นสุดท้ายดูน่าขนลุกกว่าสองชิ้นที่ผ่านมา มันเป็นก้อนกระจุกที่ถูกรัดไว้ด้วยไม้เหนียวๆเหมือนกับพวกหวายแต่อ่อนกว่าพี่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร สิ่งที่ถูกมัดไว้คือกระจุกเส้นผมและขนประมาณหนึ่ง พ่อพี่แกะออกมาดูในนั้นมีเศษเล็บมีเศษเสื้อผ้าเล็กๆ เส้นผมกับขนที่ห่อรวมกันมาน่าจะมีมาจากตรงที่ลับด้วยครับ จากลักษณะของมัน
สุดท้ายพ่อพี่ก็ไม่ได้ให้แม่ดูครับ รีบเอาใส่ถุงพลาสติกปิดปากถุงให้แน่นเพราะกลิ่นมันแรงมาก เราสามคนมานั่งคุยกันซึ่งพี่ก็ต้องยอมรับแต่โดยดีเรื่องพาผู้หญิงมานอนด้วยทั้งที่ยังไม่ใช่แฟน
ข้าวของทั้งหมดถูกนำไปเผาในเมรุของวันรุ่งขึ้น นอกจากนั้นยังมีการสวดหลายอย่างเพื่อให้สิ่งไม่ดีหลุดลอกออกไปให้หมด หลังจากเคลียร์ทุกเรื่องราวในครั้งนี้แล้วพี่ก็กลับมานอนพักที่คอนโดครับด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกัน
พี่เปิดโทรศัพท์หลังจากที่ปิดไว้ตลอดคืนไม่อยากพูดคุยหรือรับสายจากใคร พอเครื่องทำงานก็เห็นว่ามีข้อความเข้ามาเยอะมาก เยอะจนมันดูผิดสังเกต
ในไลน์ของผู้หญิงคนนั้นมีทั้งสติกเกอร์และข้อความทิ้งไว้เกิน 300 ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน พี่กดเข้าไปแต่ไม่ได้สนใจจะอ่านะไรหรอกครับ แต่ส่งรูปของที่เจอไปให้แทน
เธออ่านไวมากแต่ก็เงียบไปเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร พี่จึงได้แต่รอดูว่าเธอจะทำอย่างไร แต่ก็ไม่มีคำตอบใดกลับมาจนพี่ต้องเป็นคนส่งข้อความไปเอง
‘ทำแบบนี้ทำไม’
‘เรารักกิตนะ’
ไม่บอกก็คงรู้ครับพี่ตัดขาดความสัมพันธ์ทุกอย่างไม่สนใจใยดีอะไรทั้งนั้น แน่อนนครับเธอก็พยายามจะยื้อต่อหลายอย่างแต่ใจพี่มันไม่รู้แล้วว่าไอ้ที่เคยรู้สึกดีๆกันมานี่มันคือความรู้สึกหรือว่าเป็นเพราะไอ้ของพวกนี้กันแน่
หลังจากนั้นไม่นานพี่ก็ได้คำตอบครับ เพราะเพียงชั่วข้ามคืนที่ตื่นขึ้นมาในวันถัดไปพี่ลืมหมดทุกอย่างทุกความรู้สึก ไม่มีอะไรตกค้างไม่มีความคิดถึง ไม่มีแม้แต่จะอยากพบหน้าได้ยินเสียงสักนิดเดียว
‘แล้วมันไม่ได้จบแค่นั้นหรือครับ’
คำถามของผมทำให้พี่กิตหยุดมองหน้าผมอีกครั้งเหมือนกับวิเคราะห์อะไรบางอย่างอยู่ในใจ เป็นไปตามคาดเรื่องราวมันไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
หลังจากที่พี่ได้เจอกับเหตุการณ์นั้นทำให้พี่ไม่อยากมีแฟนไม่อยากจริงจังอะไรกับใครอีก เลยกลายเป็นว่าหลังจากนั้นมีแต่ความสัมพันธ์แบบ one night stand ครับ นานๆครั้งก็จะมีที่ไปเสียเงินซื้อหามาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก
แต่มันเริ่มน่ากลัวตรงที่วันหนึ่งพี่พาผู้หญิงมาที่ห้องนี่แหละครับเราเมากันมาได้ที่พอสมควร พี่เริ่มรุกเธอตั้งแต่ก้าวเข้าประตูห้องมายังไม่ทันจะได้ปิดดีด้วยซ้ำ พอพี่เอื้อมมือไปเปิดไฟเท่านั้นเธอก็กรี๊ดออกมา
‘ว้าย มีเมียแล้วทำไมไม่บอก พาหนูมาอีก ไอ้โรคจิต’
พี่โดนเธอตบไปฉาดใหญ่เลยครับ เต็มๆหน้าก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไปในทันที พี่เดินตามไปรั้งแต่เธอก็ไม่ยอมเอาแต่โวยวายว่าพี่จะพาเธอมาให้อายเพราะมีเมียพี่ดูอยู่อะไรประมาณนี้
เธอโวยวายมากจนพี่ต้องปล่อยกลับไปจริงๆครับ กลัวคนในชั้นจะเปิดห้องออกมาดูแล้วมันจะไม่ดี
นั่นเป็นครั้งแรกที่พี่คิดว่ามันเริ่มมีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นกับตัวพี่ พอเธอลงลิฟต์ไปพี่กลับเข้ามาในห้องพยายามมองดูว่าอะไรที่มันพอจะดูเหมือนผู้หญิงจนทำให้เธอเข้าใจผิดได้บ้าง
แน่อยู่แล้วครับมันไม่มี ตอนนั้นพี่ก็เริ่มสร่างพอสมควรเลยเพราะมันไม่น่าเป็นไปได้ที่อยู่ดีๆเธอจะมาปฏิเสธพี่ด้วยวิธีนี้
พี่ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้น้องๆที่ทำงานฟังเพราะกลัวว่าจะไปกันใหญ่ก็เลยได้แต่เก็บๆไว้ในใจแต่แล้วมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆครับ คืนหนึ่งพี่นอนหลับอยู่ในห้องแล้วพี่ก็ฝัน
พี่ฝันว่าพี่เดินอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่คุ้นตาจำได้รางๆว่าเป็นป่าเป็นเขาเหมือนเวลาเราไปตั้งแคมป์กัน พี่เดินตามผู้หญิงคนหนึ่งพี่ไม่รู้จักเธอพี่คิดว่าอย่างนั้น เธอหันหลังเดินนำพี่ไปเรื่อยๆ
วิวค่อยๆเปลี่ยนไปจากป่าเขาสวยๆกลายเป็นดงต้นไม้ทึบจนน่าขนลุก พี่พยายามเลิกเดินตามเธอแต่ก็ไม่สำเร็จเหมือนทำได้แค่นั่งดูวีดีโอม้วนหนึ่งเท่านั้น
เธอหันมาหาพี่ครับแต่พี่จำหน้าเธอไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่คุ้นตา เราไม่รู้จักกัน เธอยื่นมือมาให้พี่จับ สัมผัสมือนั้นพี่ยังจำได้ครับ เหมือนมันไม่ใช่ครั้งแรก
พี่ตื่นมาพร้อมเหงื่อในมือและทั่วตัวพี่ หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะทำให้หายใจลำบากห้องหมุนคว้างเหมือนกับเวลาที่เราเหนื่อยจัดๆจนเกือบจะเป็นลม
พี่นอนมองเพดานที่หมุนวนไปมาอยู่พักหนึ่งก็ค่อยดีขึ้นก่อนจะลุกไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
ชีวิตพี่เริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับที่เคยได้ยินมาในละครเลยครับไม่คิดว่ามันจะมีจริงๆในชีวิตเรา พี่มีน้องคนหนึ่งรู้จักกันมานาน น้องเขาเป็นพวกรับงานน่ะครับ เด็กมหาลัย
ก็เรียกได้ว่าถูกใจกันใช้บริการอยู่บ่อยๆ นอกจากเรื่องอย่างว่าเราก็คุยกันได้บ้างครับสบายใจดี คืนนั้นพี่เรียกน้องเขามาช่วงค่ำๆ ปกติเธอจะอยู่ถึงเช้าเลยแล้วติดรถพี่ไปลงแถวรถไฟฟ้า
แต่วันนั้นพี่ตื่นมาไม่เจอน้องก็แปลกใจเวลาก็ยังไม่7โมงเลยไม่น่าจะรีบร้อนขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจครับจบแล้วจบกันไปครั้งหน้าว่ากันใหม่
ช่วงสายๆน้องเขาไลน์มาหาพี่ส่งข้อความมาบอกเหตุผลที่รีบออกมาตั้งแต่พี่ยังไม่ตื่น
หลังจากจบภารกิจทั้งหมดแล้วเราสองคนก็หลับไปช่วงนั้นเธอรู้สึกอึดอัดหายใจไม่สะดวกคล้ายๆจะคัดจมูกเลยพยายามลืมตาตื่นขึ้นมากะว่าจะเข้าไปล้างเนื้อล้างตัวให้สบายตัวแล้วกลับมานอนต่อ
แต่กลายเป็นว่าเธอลืมตาไม่ขึ้นรู้สึกตัวหนักๆไม่สามารถบังคับร่างกายได้ มันไม่ได้เจ็บไม่ได้ทรมานแต่มันอึดอัดจนอยากจะร้องไห้เหมือนตัวเองอยู่ในกล่องแคบๆที่ไม่มีอากาศหายใจ
จมูกเธอได้กลิ่นคาวโชยมาจางๆแต่เพียงวูบเดียวกลิ่นก็แรงเหมือนกับต้นตอของมันอยู่ใกล้ๆ เธอบอกพี่ว่าเธอรู้จักกลิ่นคาวนั้นดีมันเป็นกลิ่นที่ผู้หญิงจะต้องเจอในทุกๆเดือน ใช่ครับมันคือกลิ่นประจำเดือน
พี่นึกไม่ออกเหมือนกันว่ามันมีกลิ่นอย่างไรแต่เธอบอกว่ามันแรงมากเหมือนกับเอาผ้าอนามัยในวันที่มามากดมอยู่ใกล้ๆจมูก นอกจากนั้นยังมีกลิ่นอับชื้นคล้ายกับพวกบ้านไม้เก่าๆ หรือที่ที่ไม่ได้โดนแสงมานานอย่างพวกโกดังหรือห้องเก็บของ
กลิ่นมันแรกขึ้นเรื่อยๆ แล้วเธอก็รู้สึกเหมือนมีมือมาสัมผัสที่ปลายเท้า ความรู้สึกนั้นชัดเจนว่าเป็นนิ้วมือแต่ไม่ใช่มือพี่แน่ๆเพราะมือนั้นเล็บค่อนข้างยาว มือนั้นไม่ได้ขยับเลื่อนมาบนตัวเธอแต่กำข้อเท้าเอาไว้แน่นนอกจากแรงบีบที่ทำให้รู้สึกเจ็บแล้วยังรู้สึกได้ถึงเล็บยาวๆที่กดลงบนเนื้อของเธออย่างแรง เธอพยายามร้องให้พี่ช่วยแต่ไม่มีเสียง เธอเจ็บอยู่ไม่นานนักก็หลุดจากสภาพนั้นได้
เมื่อรู้สึกตัวก็เห็นนาฬิกาว่าประมาณตี4เกือบจะตี5เธอเลยตัดสินใจออกจากคอนโดพี่ไปเวลานั้นหาแท็กซี่พอได้บ้างแล้ว โดยที่เราก็ยังไม่ได้จ่ายเงินอะไรกันเพราะเธอรู้ว่าพี่ไม่เบี้ยวแน่ๆ
เธอส่งรูปมาให้ดูด้วยครับเป็นรอยแดงๆเหมือนเล็บมือจริงๆแต่ไม่ได้จิกจนเลือดออก แค่ถลอกๆเท่านั้น เธอแนะนำให้พี่ไปไหว้ศาลที่คอนโดไปทำบุญเผื่อพวกผีที่มันหลงมาหรือที่อยู่ที่นั่นมานานจะได้ไม่มาทำร้าย
พี่คิดอยู่แล้วว่าไม่ใช่ที่คอนโดหรอกพี่อยู่มาตั้งนานไม่เคยจะเจออะไรถ้าใช่ก็คงเป็นของน่ารังเกียจนั่นมากกว่าที่นำพาความซวยมาให้พี่
บอกตามตรงว่าตอนนั้นก็เริ่มที่จะหาทางออกครับเพราะกลัว เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พบเจออยู่นั้นมันคืออะไรแล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อไป พี่เลือกที่จะทำบุญบ่อยๆคิดเอาเองว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเขาได้บุญแล้วไปจากเรา
หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์อื่นๆเกิดขึ้นกับตัวพี่เอง พี่มักจะรู้สึกว่ามีใครบางคนอยู๋ใกล้ๆพี่ตลอดเวลาแม้จะไม่ได้เห็นเองด้วยสองตาแต่ความรู้สึกมันบอกเราว่าความรู้สึกนั้นเป็น ผู้หญิง
จะมีอยู่สองกิจกรรมที่มักทำให้พี่ได้พบกับเธอคนนี้ในความรู้สึก คือตอนอาบน้ำ เวลาเราสระผมเรามักจะชอบเปิดฝักบัวราดหัวไว้ตลอดใช่ไหมครับเพื่อความรวดเร็วหลายครั้งที่พี่รู้สึกว่าเหมือนมีมือมาลูบไปตามหัวของพี่เหมือนจะช่วยสระหรืออะไรไม่เข้าใจ
ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้นพี่ตกใจมาก พี่กำลังล้างแชมพูออกจากหูอยู่เหมือนตามปกติแล้ววันนั้นอากาศมันค่อนข้างจะชื้นเลยอยากแช่น้ำนานๆตอนที่กำลังขยี้หัวตัวเองอยู่พี่ก็รู้สึกได้ถึงนิ้วมือที่มาแตะตรงนิ้วของพี่ มันชัดเจนมาก พี่สะดุ้งสุดตัวลื่นล้มลงไปกับพื้นห้องน้ำเลย นั่นคือครั้งแรก
บางครั้งที่พอจะมีเวลาสักหน่อยพี่จะนอนแช่น้ำในอ่างเปิดเพลงเปิดหนังดูผ่านผนังห้องน้ำที่เป็นกระจกใส คืนนั้นพี่เผลอหลับไปแล้วเหมือนถูกปลุกด้วยความรู้สึกเหมือนกับมีใครมาลูบหัวเล่นเบาๆ เพียงวูบเดียวภาพที่เห็นคือผู้หญิงน่าจะเป็นคนเดียวกับที่เคยฝันเห็น
พี่นอนหนุนตักเธออยู่เฉพาะส่วนหัวที่พ้นขอบอ่างขึ้นมา อีกครั้งคือพี่นอนแช่น้ำเหมือนกันแล้วรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักมากดทับมันไม่ได้หนักนะครับแต่มันเหมือนมีคนมานอนบนตัวเราอีกทีหนึ่ง คือตัวพี่แช่น้ำอยู่แล้วมีผู้หญิงมาแช่อยู่ด้วยโดยหันหลังพิงกับหน้าอกพี่
อีกอย่างหนึ่งคือเวลานอนหรือเวลาที่พี่เหนื่อยๆ หลายครั้งที่พี่รู้สึกว่ามีคนนอนกอดพี่จากข้างหลัง บางครั้งก็มานอนหนุนแขนโดยที่ไม่ได้มีภาพอะไรเป็นเพียงความรู้สึกถึงน้ำหนักและสัมผัสของมือและเส้นผมเท่านั้น
‘พี่คิดว่าเป็นผู้หญิงคนเดิมหรือครับ’
‘ใช่ครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช่จริงๆหรือเปล่า’
‘ทำไมล่ะครับ?’
ผมถามด้วยความสงสัยถึงความไม่แน่ใจที่มีอยู่ในใจของพี่กิต พอเรื่องราวมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆแล้วพี่กิตก็ตัดสินใจติดต่อกลับไปหาผู้หญิงคนเดิมคนที่เคยทิ้งของไม่ดีไว้ในห้อง เธอรับสายด้วยความลนลานและดีใจมาก คงคิดว่าพี่กิตเองจะกลับไปคุยหรือขอคืนดี
แต่เปล่าเลยพี่กิตโทรไปต่อว่าเสียยกใหญ่จนเธอร้องไห้ขอโทษขอโพยไม่หยุด พี่กิตพยายามถามเอาเหตุผลและความจริงถึงสิ่งที่เธอทำซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมาก เธอรักพี่กิตหรือแค่อยากเป็นเจ้าของก็ยังไม่แน่ใจ แต่นั่นก็มากพอให้เธอตัดสินใจทำเรื่องดังกล่าวลงไป
‘แล้วเมื่อไหร่จะหยุด ทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดเอาผีเอาอะไรมากวนผมอีก ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ’
‘ผี? ผีอะไรคะกิต นัทหยุดแล้วตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวนั้น’
‘ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนัท มันยังไม่จบ ผมบอกไว้เลยว่าไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหน ผมก็ไม่กลับไปอีก’
นี่คือเหตุผลที่พี่กิตไม่แน่ใจว่าจะใช่ฝีมือของผู้หญิงที่ชื่อนัทจริงๆหรือเปล่า เพราะถ้าทางเธอจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เธออาจจะกำลังโกหกอยู่ก็ได้
ท่ามกลางความไม่แน่ใจที่มีวันหนึ่งหลังเลิกงานพี่กิตก็เจอกับนีทที่มานั่งรออยู่ที่ฟร้อนท์เหมือนครั้งก่อน เธอมีท่าทีอึกอักไม่กล้าเข้ามาคุย พี่กิตที่ตอนนั้นอารมณ์เย็นลงมาแล้วจึงเรียกให้ขึ้นไปที่ห้องเพื่อนพูดคุยกันให้จบแต่โดยดี
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ นัทเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนสั้นๆว่า ‘นัทขอโทษ’ เพราะพี่กิตเป็นคนหน้าตาดีซ้ำยังหน้าที่การงานดีอีกจึงไม่แปลกที่เธอจะหวั่นใจว่าจะมีคนมาแย่งไปหรือเธอเองจะเป็นเพียงของเล่นของพี่กิตเท่านั้น
ความสวยและฐานะทางบ้านของเธอไม่ได้มีความหมายเลยสำหรับพี่กิตเธอรู้ดี และเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจในเรื่องนิสัยส่วนตัวของเธอสักเท่าไหร่ เธอจึงเลือกใช้ไสยศาสตร์เป็นเครื่องมือในการมัดใจชายคนที่เธอรัก
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุบังเอิญหรือผลบุญในครั้งเก่าที่ทำให้พี่กิตหลุดรอดออกมาจากวังวนของอวิชชาที่เธอใช้ เธอยอมรับผิดกับพี่กิตทุกอย่างถึงสิ่งที่เธอทำเว้นแต่เพียงเธอไม่ได้ใช้ผีหรือไปทำคุณไสยเพิ่มเติมแต่อย่างใด เธอยังยืนยันและสาบานด้วยความหนักแน่น
คืนนั้นไม่ได้จบลงเหมือนทุกคืน พี่กิตเชิญให้เธอกลับเพราะไม่อยากจะสานสัมพันธ์หรือดึงเอาความรู้สึกเก่าๆกลับมา เขาอยากจบแล้ว อยากไปให้พ้นจากเธอคนนี้อยากไปให้พ้นจากเรื่องราวที่มีในปัจจุบันท่ามกลางความเครียดความสิ้นหวังพี่กิตเลือกที่จะกดโทรศํพท์หา ‘น้องนิ่ม’ เด็กนักศึกษาที่มีอาชีพเป็นหญิงให้บริการระบายความเครียดและเป็นเพื่อนคุยในเวลาแย่ๆแบบนี้เสมอ
เธอใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หน้าคอนโดของพี่กิต ทั้งสองคนออกไปกินข้าวและเดินเล่นในห้างใกล้ๆเหมือนอย่างทุกๆที จริงๆแล้วนิ่มไม่ได้รับงานซี้ซั้วหรือทั่วไปนักเพราะเธอจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่งจะเลือกรับงานก็ต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ว่าจะไม่เอาเรื่องของเธอไปเผยแพร่
กับพี่กิตเองเธอเคยหยอกล้อเล่นๆอยู่หลายครั้งว่าอยากจะเป็นตัวจริงของเขา แต่พี่กิตเองก็ปฏิเสธไปทุกครั้งเพราะตัวเองไม่ได้คิดอย่างนั้นและคงจะไม่มีทางเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเธอจะเลิกอาชีพนี้แล้วจริงๆ
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ทุกอย่างลงตัวและมีความสุข พี่กิตหลับไปด้วยความสบายใจและสบายตัว เหลือก็แต่นิ่มที่ยังนั่งดูละครย้อนหลังในโทรศัพท์อยู่จนเวลาล่วงไปค่อนคืน
นิ่มเข้าไปอาบน้ำล้างตัวก่อนจะกลับมานอนบนเตียงตามเดิม ในขณะที่อาบน้ำอยู่เธอเองเผลอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวครั้งก่อนที่เธอได้พบเจอในห้องพักหรูแห่งนี้
ความกลัวแล่นปราดขึ้นสมองทำให้ขนลุกเกรียวกราวจนตัดสินใจว่าจะไม่อาบน้ำแล้ว เธอหันมานุ่งชุดคลุมอาบน้ำที่แขวนอยู่ตรงใกล้ๆกับประตูห้องน้ำ
หางตาเธอแวบเห็นเงาดำผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณบวกกับความกลัวที่มีอยู่แล้วทำให้เธอเผลอหันไปมองอย่างไม่ทันคิด
ที่ตรงหน้านั้นมีเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เธอบอกว่าจำชุดที่ใส่ไม่ได้เพราะมีแต่เงาดำๆเต็มไปหมด รู้แต่เพียงว่าใบหน้านั้นน่าเกลีบดมาก มีรอยแผลหลายแห่ง ดวงตาที่จ้องเธอมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำไร้แววของความมีชีวิต เธอนั่งอยู่บนของอาบน้ำในท่ากอดเข่ามิดชิดเล็บมือที่กุมเข่าอยู่ยาว คดงอน่าเกลียด
กรี๊ดดดดด!
นิ่มกรีดร้องสุดชีวิตจนทำให้พี่กิตตื่นรีบวิ่งมาดูเธอที่ตอนนี้นั่งกองอยู่บนพื้นห้องน้ำเอามือปิดหูปิดตาไม่กล้าเงยหน้า พี่กิตส่งเสียงเรียกอยู่นานทั้งกอดทั้งเขย่าตัวจนเธอค่อยๆได้สติ
หลังจากได้สติแล้วพี่กิตพยายามถามเอาความจากนิ่มที่ยังตัวสั่นกลัวอยู่ เธอเล่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นลำดับเท่าที่เธอจำได้ ท่าทางของเธอยืนยันว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก
พี่กิตเองพยายามปลอบให้เธอใจเย็นลงแล้วนอนต่อเพื่อที่จะได้ไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพแต่ในเวลาอย่างนี้ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เธอจะหลับลงได้ พี่กิตตัดสินใจเอายานอนหลับให้เธอกินไม่อย่างนั้นคืนนี้ก็คงจะไม่ได้นอนกันเป็นแน่แท้
ไม่กี่สิบนาทียาก็เริ่มออกฤทธิ์บวกกับความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมตั้งแต่ช่วงค่ำแม้ความกลัวจะยังมีอยู่แต่นิ่มก็หลับไปได้โดยง่ายด้วยฤทธิ์ยา
นิ่มบอกกับพี่กิตว่าเธอจำไม่ได้เลยว่าหลับไปตอนไหนแต่เธอจำได้ว่าเธอฝันเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ในฝันนั้นเธอนอนอยู่บนเตียงข้างๆพี่กิตเหมือนอย่างทุกทีปกติก็จะนอนห่างกันระยะหนึ่งด้วยคำสั่งของพี่กิตว่าอย่าทำตัวเหมือนเป็นแฟนกัน
เธอมักจะนอนหันหน้าไปทางแผ่นหลังของพี่กิตเป็นประจำด้วยความเคยชิน ที่ตรงกลางนั้นจะมีช่องว่างอยู่ประมาณหมอนข้างหนึ่งอัน คืนนั้นเช่นกันเธอมองไปยังแผ่นหลังของชายตรงหน้าที่เธอเริ่มจะรู้สึกมากกว่าการเป็นลูกค้าอยู่เล็กน้อย
ไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนกับห้องมืดไปแล้วที่ตรงหน้าเธอกลายเป็นร่างของผู้หญิงที่เธอเห็นในห้องน้ำมานอนขวางกั้นกลางอยู่ เธอตกใจสติแทบขาดแต่ก็เหมือนจะไม่มีผลอะไร
เธอไม่ได้ตื่นขึ้นมาและภาพตรงหน้าก็ไม่หายไป กลิ่นคาวที่เคยสัมผัสชัดเจนอยู่ตรงหน้าเธอนอนจ้องหน้ากับใครบางคนที่เธอไม่รู้จัก เธอคนนั้นจ้องกลับด้วยดวงตาสีขาวนวลแต่ไร้แววซ้ำยาชัดเจนถึงความไม่พอใจที่มี
ริมฝีปากของผีสาวนั้นแตกแห้งมีรอยเลือดซิบบางมุมมีรอยช้ำเหมือนโดนทำร้าย แม้ไม่ต้องการจะจดจำรายละเอียดแต่เธอไม่สามารถเบือนหน้าหนีไปจากตรงนั้นได้ ปากเล็กๆนั้นค่อยๆขยับพร้อมเสียงพึมพำลอดออกมา
จากเสียงเบาค่อยๆดังขึ้นๆ จนมันชัดเจนในหูและก้องไปทั่วห้อง
‘อย่ามายุ่งกับผัวกุ!’
เสียงนั้นดังมากจนเธอหมดสติไป นิ่มกลับมาตื่นในช่วงสายแก่ๆของอีกวันโดยที่ไม่มีพี่กิตอยู่ในห้องแล้วมีแต่ข้อความที่ส่งมาในไลน์ช่วงสายๆว่า ‘ตื่นแล้วก็กลับไปนะ กลับแล้วบอกพี่ด้วย’
นิ่มรีบเก็บข้าวของออกจากห้องในทันทีโดยไม่อาบน้ำแต่งหน้าหรือแม้แต่จะหวีผม เธอแค่ต้องการรีบออกจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด
ระหว่างนั่งอยู่บนแท็กซี่เธอรีบพิมพ์เล่าความฝันทั้งหมดลงไปในไลน์ของพี่กิตอย่างรวดเร็ว
‘ไปไหนครับ’
‘MRT ค่ะ’
‘ได้ครับ สองคนป้ายเดียวกันเลยนะครับ’
ทันทีที่ได้ยินดังนั้นมือเธออ่อนจนเผลอทำโทรศัพท์ตกลงไปบนพื้นรถ เธอรีบคว้าโทรศํพท์มาไว้ในมือแล้วกดโทรศัพท์หาพี่กิตทันที
พี่กิตตัดสายเธอสองครั้งแต่เธอยังพยายามจะโทรต่อ จะปลายสายจำเป็นต้องรับอย่างรำคาญ‘พี่ทำงานอยู่ มีอะไรก็พิมพ์มา’
‘พีกิตๆๆ คือว่า’
เสียงของเธอลนลานจนปลายสายแปลกใจแต่ก็ต้องรีบวางสายไปก่อนเพราะทำงานอยู่ เธอได้แต่พิมพ์ข้อความไว้ในไลน์อย่างรีบร้อนจนพิมพ์ตกหล่นผิดๆถูกๆหลายคำ
‘ไปไหนกันครับสองคน เป็นดาราป่าวเนี่ย สวยทั้งคู่เลย’
‘ป่าวค่ะ…’
‘เห็นไปลง MRT แถวๆแกรมมี่นึกว่าไปถ่ายรายการกัน’
แม้จะเป็นเพียงประโยคแซวเล่นตามประสาของคนขับแท็กซี่แต่นั่นก็ทำให้คนฟังแทบอยากจะร้องไห้แล้ววิ่งลงจากรถไปซะเดี๋ยวนี้
เมื่อมาถึงปลายทางนิ่มรีบลงจากรถพร้อมจ่ายเงินอย่างไม่รอเงินทอนก่อนรถจะจอดพี่คนขับยื่นนามบัตรให้กับนิ่มสองใบเป็นธุรกิจรถตู้ที่พี่เขาคงจะทำเป็นอาชีพเสริมนอกเวลาขับแท็กซี่
‘ไว้โทรเรียกใช้บริการได้นะครับ น้องคนสวยเอาไปคนละใบเลย’
เรื่องในวันนั้นทำให้นิ่มไม่กล้ารับนัดของพี่กิตอีกเลยด้วยความกลัว ตัวพี่กิตเองก็ไม่อยากที่จะออกไปนอกสถานที่หรือไปเปิดโรงแรม ก็ได้แต่หาคนอื่นไปวันๆในวันว่างๆ มีบางครั้งที่คนมานอนด้วยจะได้เจอกับเรื่องราวแปลกๆ แต่ด้วยความที่มันไม่ได้ติดต่ออะไรกันจึงไม่ได้รับรู้ข่าวสารมากนัก
มีครั้งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ผู้หญิงคนหนึ่งที่พี่กิตพามานอนด้วยบอกว่าในช่วงก่อนตื่นนอนเห็นผู้หญิงนั่งกอดเข่ามองเธออยู่ตรงโซฟาปลายเตียง
พี่กิตหาทางออกหลายอย่างจนสุดท้ายก็ต้องไปเล่าให้น้องๆที่ออฟฟิศถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วก็มันก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนานเพราะทุกคนพยายามเสนอวิธีและเสนอรายชื่อหมอดูมากมายมาให้พี่กิต
สุดท้ายก็ได้ตกลงกันว่าจะเอาหมอดูเจ้าเดิมคนนั้นมาช่วยพี่กิต โดยจะเชิญมาที่ออฟฟิศเหมือนครั้งที่แล้วแต่จะให้ความเป็นส่วนตัวไม่มีใครเข้ามาฟัง แล้วค่าดูค่าเสียเวลาทั้งหมดพี่กิตจะต้องจ่ายแยก ไม่ใช่แบบเหมาเหมือนที่พวกน้องๆเคยทำ
บังเอิญว่าหมอดูคนนั้นว่างในวันถัดมาพอดีจึงรีบรับนัดอย่างไม่ต้องคิด เมื่อหมอดูมาถึงก็เริ่มทักทายกันตามมารยาทไพ่หลายใบถึงเลือกและหยิบมาวางตามลำดับขั้นตอนบนโต๊ะทำงานในห้องแยกของพี่กิต
‘กังหันที่ให้ไปยังอยู่ไหม’
‘อ่อ ครับ’
‘ไม่ต้องโกหกหรอก หายแล้วล่ะสิ’
ตอนแรกพี่กิตคิดว่าจะตอบรักษาหน้าสักหน่อยว่าไม่ได้ทำหายแต่กลายเป็นว่าหมอรู้แล้วเสียนี่ พี่กิตตัดสินใจให้น้องเข้ามาฟังได้เพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่เข้าใจคำพูดของหมอดูและอาจจะถามตกหล่นไปบ้าง
พี่กิตต้องจับไพ่ใหม่อยู่สามครั้งเพราะมันกลายเป็นไพ่ตาย คำว่าไพ่ตายหมายถึงการที่เราจับไพ่ขึ้นมาทำนายแล้วไม่มีความสอดคล้องหรือไม่ให้ความหมายอย่างที่มันควรจะเป็น ซึ่งจุดนี้จะต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้ความสามารถที่เป็นของจริงจึงจะเข้าใจ แต่บางคนก็จะพยายามอ่านตามไพ่ไปเพราะไม่ได้รู้จริงสุดท้ายคำทำนายก็จะกลายเป็นการหว่านแหไปแทน
หมอดูมองไพ่รอบสุดท้ายแล้วเงียบอยู่นานเหมือนพยายามตีความหรือสื่อสารกับใครบางคน
‘อืม โดนของจริงๆ โดนมานาน แรงซะด้วย’
เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาเสียวสันหลังวาบกันไปทั้งวง พี่กิตเลยเล่าเรื่องที่พบเจอกับหุ่นดินปั้นกับก้อนสายสิญจน์ที่คอนโดให้ทุกคนฟังรวมถึงหมอด้วย
ตามความคิดเห็นของหมอบอกว่าของนั้นน่าจะหมดฤทธิ์ไปแล้วไม่น่าจะส่งผลอะไรได้อีกเพราะได้ทำตามพิธีทางศาสนาจนเรียบร้อยแล้ว
เป็นไปได้ว่าจะโดนทำซ้ำหรือไม่ก็การที่ได้ไปโดนคุณไสยครั้งนั้นมาทำให้ตัวเองกลายเป็นสื่อหรือเกิดอาการดวงตกจนสิ่งไม่ดีหลงเข้ามาเกาะแกะ ซวยสุดก็อาจจะเป็นลมเพลมพัดที่ส่งผลอยู่เท่านั้น
หมอดูไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้แต่ให้น้ำหนักไปทางคุณไสยมากกว่าโดยผีตามหรือเจ้ากรรมนายเวร ถึงจะบอกต้นตอไม่ได้แต่ก็บอกทางออกให้กับพี่กิตไปตามแก้เอาเอง
โดยวิธีนั้นเป็นวิธีแบบจีนผสมกับทางไทยเริ่มจากการเอาน้ำมนต์ไปพรมให้ทั่วห้องโดยสามารถทำได้เอง จากนั้นให้เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาไว้ในห้องในตอนนั้นมีการระบุด้วยว่าต้องเป็น เฮ้งเจีย เท่านั้น
พี่กิตไม่รู้และไม่เข้าใจในความหมายนั้นแต่ก็ยอมทำตามและหลังจากที่ทำทั้งสองอย่างเสร็จสิ้นแล้วยังต้องเอาชุดทำงานที่ใส่บ่อยหรือว่าเก่าที่สุดมาเขียนชื่อเอารูปตัวเองติดแล้วเอาไปเผาในวัดจีนสักที่หนึ่งเพื่อเป็นการบอกหล่าวหรือหลอกสิ่งชั่วร้ายว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว ตอนนี้คือชีวิตใหม่
โดยทั้งหมดนั้นมีหมอดูคอยกำกับและทำให้ทุกขั้นตอนและแน่นอนว่ารูปปั้นเฮ้งเจียนั้นหมอดูก็เป็นคนหามาเช่นกัน
หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วพี่กิตพอจะสบายใจขึ้นบ้างแต่ก็ต้องรอลุ้นดูว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ แต่จากความแม่นยำของตัวหมอดูก็คงจะพึ่งได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องมีอะไรดีขึ้นบ้างทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังแต่อย่างใด รูปปั้นเฮ้งเจียตกลงมาแตกตั้งแต่คืนแรกที่นำมาวางไว้ในห้องเพราะความซุ่นซ่ามของพี่กิตเองที่วางไว้ไม่ดีจนมันลื่นตกลงมา
คืนนั้นพี่กิตก็ฝัน มันเป็นความฝันที่เหมือนจริงมาก หลังจากที่ตัวเองหลับลงไปแล้วได้สักระยะหนึ่งพี่กิตก็รู้สึกเหมือนมีใครมาจับหรือสัมผัสตรงแถวๆเป้ากางเกง เขาไม่สามารถขยับตัวได้มีเพียงส่วนนั้นที่ตื่นตัวขึ้นมา
แม้จะไม่ได้ลืมตาเพราะลืมไม่ขึ้นแต่สัมผัสอันชัดเจนนั้นก็บอกกับพี่กิตเองว่ามันคือสัมผัสของผู้หญิง ความรู้สึกในคืนนั้นดีมาก ดีจนเจ้าตัวเองก็ไม่รู้สึกขัดขืน และมีความสุขไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในตอนเช้าพี่กิตตื่นมาก็นึกถึงฝันนั้นแล้วก็ได้คำตอบจริงๆว่ามันเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกที่ยังค้างอยู่ คราบน้ำเลอะเประเปื้อนอยู่บนกางเกงเริ่มแห้ง
‘พี่ไม่ได้ฝัน’
ประโยคนั้นหนักแน่นแต่แฝงไปด้วยความกังวลของเจ้าตัว อีกหลายคืนที่พี่กิตมีสัมพันธ์กับใครบางคนโดยไม่ได้เห็นหน้าแต่นั่นก็ทำให้เขามีความสุข และไม่รู้สึกว่าอยากจะไปหาใครหรือโทรเรียกใครให้มาหาที่ห้องอีกเลย
มันแปลกนะครับ พี่รู้สึกชอบเสียด้วยซ้ำจนพี่เริ่มกลัวตัวเองเหมือนกัน พี่ไม่รู้สึกขาดเลยเหมือนพี่มีแฟน พี่ไม่เหงา ไม่อยาก แต่มันกลัวครับเพราะเราไม่รู้เลยว่าเรากำลังเจอกับอะไร
ครั้งสุดท้ายที่พี่พยายามหาคำตอบคืองานใหญ่ในวัดชื่อดังแห่งหนึ่งครับ เป็นงานเปิดกรรมอะไรสักอย่างที่เขาว่าเราจะได้เห็นกรรมเก่าหรือสิ่งไม่ดีที่กำลังติดตามตัวเราอยู่
พี่ไปเข้าในพิธีนั้นโดยเนื้อหางานคือไปนั่งรวมกันอยู่ในสถานที่ที่จัดให้มีบ่วงสายสิญจน์ลงมาครอบที่ศีรษะ ฟังเขาสวดไปเรื่อยๆไม่ต้องทำอะไรไปมากกว่านั้น
ผลลัพธ์คือมีคนของขึ้นกันเต็มไปหมดทั้งลิงทั้งเสือ วุ่นวาย บางคนร้องไห้ บางคนหัวเราะ ส่วนพี่ไม่เป็นอะไรเลยไม่เห็นอะไรสักอย่าง อย่างเดียวที่เป็นคือ ปวดหัวครับ
พี่กลับมาที่คอนโดเพราะปวดหัวมากคิดว่าตัวเองคงจะแพ้ฝุ่นหรือเจอเสียงดังๆมากเกินไปจากในงานเลยรีบกลับมาพักผ่อน แต่นั่นกลายเป็นว่าพี่นอนไม่ได้เลย มันเป็นความปวดหัวที่ทรมานมาก และที่มากไปกว่านั้นมันทำให้พี่ เห็นผีครับ
พี่เริ่มเห็นพวกตามข้างทางตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาแล้วที่สำคัญคือพี่เริ่มเห็น ผู้หญิง ที่คอยตามพี่อยู่ใกล้ๆแม้จะไม่ชัดมากแต่ทุกๆวันพี่จะเห็นเป็นเงาดำๆเดินไปมาอยู่ในห้อง ไปตามจุดต่างๆ บางครั้งนั่ง บางครั้งนอน และมันก็เริ่มทำให้พี่เสียสติ
พี่ให้เพื่อนพี่ที่เป็นผู้ชายมาอยู่เป็นเพื่อนแต่มันก็ได้แค่ไม่กี่คืน สุดท้ายพี่ก็ต้องอยู่ด้วยตัวของพี่เองจะบอกพ่อกับแม่ก็รู้สึกว่าจะเป็นภาระให้ท่านกังวลเปล่าๆ ระหว่างนั้นพี่ก็พยายามหาทางแก้ครับ
เวลาผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์มันก็เริ่มแย่ลง เพราะยามหน้าคอนโดที่คอยต้อนรับเวลาทุกคนเอารถเข้ามาจอดเขาจะจำผู้อยู่อาศัยได้เกือบทุกคนและพี่กิตเองบางครั้งเวลาเหงๆก็เคยไปนั่งจิบเบียร์คุยกับยามอยู่บ่อยๆเพราะยามเป็นคนคุยสนุก
วันนั้นนั้นพี่กิตไม่ได้ไปทำงานเพราะรู้สึกไม่สบาย ช่วงบ่ายๆจึงเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้มานานเดินเล่นไปตามห้างตามร้านหนังสืออย่างที่ชอบ หาอะไรกินเสร็จก็กลับมาในช่วงเย็นๆ ก็ได้เจอกับยามคนเดิมที่เจอเป็นประจำ
‘สวัสดีครับคุณกิตะวันนี้เปลี่ยนบรรยากาศหรือครับไม่ใช้รถ’
‘นานๆทีครับ สุขภาพแย่ๆออกกำลังกายบ้าง’
‘แหม สุขภาพแย่หรือหักโหมไปครับ’
‘หักโหมไรพี่ 555’
‘ก็เห็นช่วงนี้มีแฟนนี่ครับ เข้าออกทีไรก็สาวคนเดิมตลอดเลยไม่เปลี่ยนหน้าเหมือนทุกที’
‘สาวไหนพี่…’
‘ไม่ต้องเขินครับๆ เห็นเข้าคอนโดมาด้วยกันทุกเย็นเลย ดีใจด้วยนะครับมีเป็นตัวเป็นตนสักที’
พี่กิตเคยไปบ่นกับพี่ยามว่าอยากมีแฟนจริงจังอยากแต่งงานแต่หาไม่ได้เลยต้องพาเด็กๆมาอยู่บ่อยๆ คราวนี้เขากลับได้รับคำอวยพรที่ไม่คาดคิด มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่พี่ยามจะมาแซวเขาในเวลาอย่างนี้
พอโดนแซวไปอย่างนั้นก็ทำเอาไม่กล้ากลับขึ้นห้องไปครู่หนึ่ง เขาจึงเลือกเดินไปที่ฟิตเนสแทนเพื่อฆ่าเวลา เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงหลังจากออกกำลังทำให้ใจเย็นลงไปได้บ้างความเครียดเบาบางลง
ที่หน้าห้องนั้นตอนนี้มีแม่บ้านมายืนด้อมๆมองๆอยู่จึงเดินเข้าไปถาม ‘ป้ามีอะไรหรือเปล่าครับ’
‘เจ้าของห้องใช่ไหมคะพอดีเมื่อช่วงเย็นป้ามาทำความสะอาดเห็นหน้าประตูห้องมีกล่องกระดาษวางอยู่แล้วข้างในเป็นไข่’
‘ไข่?’
‘ใช่ค่ะ ไข่เน่าหมดเลยแล้วมันก็แตกเหม็นไปทั่วทั้งชั้น เลยจะมาแจ้งว่าใช่ของคุณหรือเปล่าแต่ป้าทิ้งไปแล้วค่ะ มันเหม็นมากจริงๆ ผู้พักห้องอื่นเขาไม่ทนกัน มันแพงไหมคะ…’
‘ไม่น่าใช่ของผมนะครับ แต่มันอยู่หน้าห้องของผมหรือครับ’
ของปริศนาที่ไม่รู้ที่มาทำให้เขาไม่สบายใจ ทำไมมันต้องมาเกิดขึ้นกับเขาอีกช่วงนี้ชีวิตเขาเป็นอะไรไปกันแน่ คืนนั้นเขานอนไม่หลับจึงไปหยิบเอาเหล้าที่เหลือเก็บไว้มาดื่มคนเดียวจนเริ่มเมาพอสมควรพี่กิตอาศัยฤทธิ์แอลกอฮอล์เพื่อทำให้ตัวเองหลับไปในคืนนั้น เวลาเท่าไหร่ไม่รู้พี่กิตได้เห็นเงาของหญิงสาวนั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะเครื่องแป้งที่เอาไว้เก็บครีมเก็บโลชั่น เธอค่อยๆเดินเข้ามาใกล้
หน้าตาของเธอน่าเกลียดจนไม่น่ามอง ผมเผ้ารุงรังสกปรก แต่ภาพนั้นเลือนรางเหมือนกลุ่มควันคละคลุ้งไปมาไร้ตัวตน สัมผัสของเธอค่อยๆชัดเจนอีกครั้ง
มือที่ไล้ไปตามหน้าอ่อนโยนและแผ่วเบา ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้ทำให้ได้กลิ่นคาวชวนอ้วก พี่กิตพยายามเบือนหน้าหนีแต่ไม่มีประโยชน์ เขาไม่สามารถขัดขืนอะไรได้อีก
ไฟในห้องวูบไหวเหมือนเวลาฝนฟ้าคะนอง คามรู้สึกพึงพอใจที่ของสำคัญทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสอันคุ้นเคยของเสือผู้หญิง นานสองนานที่เขาได้ดื่มด่ำกับความสุขที่ตัวเองหลงใหล
ในตอนเช้าพี่กิตตื่นมาพร้อมคราบแห้งกรังบนกางเกงอีกครั้ง เขาเริ่มชินกับมันเสียแล้วแต่สิ่งที่เขาไม่อยากชินก็คือภาพของเธอคนนั้น ภาพอันน่าเกลียดน่ากลัวทำให้เขาเสียสุขภาพจิต และมากไปกว่านั้นระบบเผาผลาญในร่างกายของเขาก็ดูเหมือนจะเริ่มมีปัญหา เวลาถ่ายท้องในตอนเช้ากลิ่นมันจะเหม็นผิดปกติ เหม็นเหมือนของเน่าที่ค้างคืน แม้ว่าเขจะลองเปลี่ยนมากินสลัดผักผลไม้แทนก็ไม่ได้ช่วยอะไร
น้องๆที่ทำงานเริ่มทักว่าเขาดูซูบผอมลงคนที่สนิทมากหน่อยถึงกับออกปากเตือนว่าเขาเริ่มมีกลิ่นปากที่รุนแรงจนเหม็นออกมาทางลมหายใจ
ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากวันที่มีคนพบกล่องไข่เน่าที่หน้าห้องของเขาก็เริ่มมีข่าวลืมแปลกๆดังไปทั่วทั้งคอนโด คนที่เป็นห่วงเขาที่สุดคงจะเป็นพี่ยามที่ได้เจอกันในทุกๆเย็น
‘คุณกิตๆ เป็นอะไรไหมครับช่วงนี้ ได้ยินข่าวลือหรือยัง’
‘ข่าวอะไรพี่ ผมไม่รู้เรื่องเลย’
‘ก็เขาว่ามีคนเห็นผีผู้หญิงมาเดินไปเดินมาที่ทางเดินชั้นคุณกิตนั่นไง เขาว่ามันมาหลังจากเจอไข่เน่าหน้าห้องคุณ’
นั่นคือ2คืนก่อนที่ผมกับพี่กิตจะได้เจอกัน คืนนั้นคงจะเป็นคืนที่ยากลำบากสำหรับพี่กิตมากจริงๆ ช่วงกลางดึกเขาเพิ่งจะได้ลุกไปอาบน้ำหลังจากวางแผนงานในอาทิตย์หน้าเสร็จ เขาก็รู้สึกเวียนหัววูบเหมือนจะล้มลงไปกับพื้นดีที่ยังยันเก้าอี้เอาไว้ได้
เขาต้องใช้เวลานิดหนึ่งเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น หน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ปิดไปแล้วดำสนิทจนสะท้อนเห็นเงาด้านหลัง ในช่องสี่เหล่ยมผืนผ้าสีดำนั้นปรากฏภาพของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง แวบแรกที่เห็นนั้นเธอดูสวย และคุ้นเคย
แต่เพียงวูบเดียวเธอก็หายไป พี่กิตจึงรีบเข้าไปอาบน้ำเปิดเพลงให้ดังไปทั่วห้องเป็นเพื่อนยามค่ำคืน ในตอนที่กำลังล้างหน้าสระผมอยู่เขาก็เกิดความระแวงจึงลืมตามามองเพียงข้างหนึ่งแล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งเพราะที่ตรงขอบอ่างอาบน้ำนั้นมีหญิงสาวคนเดิมในท่าทางน่ากลัวนั่งกอดเข่ามองเขาอยู่
เขารีบวิ่งออกจากห้องน้ำทั้งๆที่ตัวยังเปียกอยู่ โทรหาเด็กๆที่ตัวเองเคยติดต่อให้มาหาแต่กลับไม่มีใครว่างเลย ทำให้เขาต้องทนอยู่ในห้องนั้นคนเดียวต่อไป
เวลาดึกอย่างนี้ส่วนบาร์ของคอนโดก็ปิดไปแล้วจะลงไปนั่งกับยามก็คงจะไม่ดีนัก เขาคว้าเอายานอนหลับยัดใส่ปากหวังว่าตัวเองจะหลับได้ลงโดยไม่ต้องรับรู้อะไรต่อไปอีก
มันได้ผลเขาหลับไปในเวลาไม่นานแต่เขาก็ฝันแปลกๆอีกครั้งหนึ่งที่เตียงนอนข้างๆเขามีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่เธออยู่ในท่านั่งห้อยขาสองข้างลงไปที่ข้างเตียงเอนตัวมาเฝ้ามองเขาที่กำลังนอนหลับอยู่ เธอยังดูน่ากลัวไม่ต่างจากทุกครั้ง กลิ่นคาวที่รุนแรงทำให้มึนหึว
หญิงสาวร่างผอมบางจนเกือบจะเรียกได้ว่าแห้งแกรนมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนทั้งที่ดวงตานั้นไร้แววของความมีชีวิต ใบหน้ามีแผลช้ำเลือดไปทั่ว ปากเธอแตกมีเลือดไหลหยดลงมาบ้างแต่ไม่มาก ริมฝีปากบางๆที่แห้งกรังนั้นยิ้มมองเขาอย่างมีความสุข มือข้างหนึ่งลูบผมเขาเล่นอย่างชอบใจ
ก๊อก… ก๊อก…
เพียงเสียงเคาะประตูดังขึ้นเธอก็หายไปจากที่ตรงนั้นแล้วไปปรากฏอยู่ที่หน้าประตูด้านในห้อง ส่งเสียงกรีดร้องอย่างสุดเสียงเหมือนคนที่โกรธจนถึงที่สุด สติของพี่กิตค่อยๆเลื่อนลอยจนหลับไปอีกครั้ง
ในตอนเช้ามืดพี่กิตลืมตามาอย่างยากลำบากรู้สึกร่างกายหนักและร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้ ช่วงที่สะลึมสะลืออยู่ความทรงจำในช่วงข้ามคืนวนเข้ามาจนทำให้ต้องรีบหันไปมองที่ประตูห้องในทันที เพียงแวบเดียวที่ตรงนั้นมีร่างของหญิงสาวนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้น เธอจ้องมองออกไปยังประตูข้างนอกเหมือนเฝ้ารออะไรบางอย่าง
พี่กิตรวบรวมร่างกายที่เหมือนจะแยกออกจากกันให้พร้อมใช้งานแล้วอาศัยความกล้ากับแรงที่พอมีเหลืออยู่ก้าวเดินออกจากห้องตรงไปยังป้อมยามด้านล่างคอนโด
พี่ยามคนสนิทยังอยู่เขาเห็นท่าทางโซเซของพี่กิดจึงรีบเข้ามาประคองพาไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ พี่กิตบอกความต้องการของตัวเองให้พี่ยามฟังคือ 1 ช่วยไปซื้อข้าวกับยามาให้หน่อยเขาไปเองไม่ไหว แล้วสองคือเขามีเรื่องจะพูดด้วย
ไม่เกินสิบนาทีพี่ยามก็กลับมาด้วยข้าวกล่องอย่างง่ายๆกับยาถุงหนึ่ง พี่กิตต้องการจะดูกล้องวงจรปิดที่หน้าทางเดินของห้องนอนเมื่อคืนเพราะรู้สึกเหมือนกับมีใครมาเคาะห้องแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะมันเป็นเวลาดึกมากและเขาก็ไม่ใช่คนที่จะมีคนมาหาโดยพละกาลในเวลานี้
ทั้งสองคนตรงไปยังห้องควบคุมของคอนโดที่เป็นห้องเล็กๆมีพนักงานเฝ้าอยู่แค่คนเดียว
‘น้องครับ พี่คนนี้เขาอยากจะดูกล้องหน่อยได้ไหม’
‘อะไรนะพี่ อีกคนแล้วเหรอ’
กลายเป็นว่าพี่ยามกับพี่กิตไม่ใช่คนแรกที่ต้องการจะมาดูกล้องในวันนี้ ก่อนหน้านี้มีผู้พักอาศัยประมาณสองสามคนมาขอดูกล้องเพราะเกิดความรำคาญเสียงเดินลากเท้าไปมาตามทางเดินตลอดทั้งคืนแถมยังมีเสียงกรี๊ดของใครก็ไม่รู้ดังอยู่เป็นระยะ
‘แล้วเป็นไงบ้าง เห็นอะไรไหม’
‘พี่ดูเองเหอะ’
ด้วยความรำคาญพนังงานเซอร์วิสคนนั้นเลื่อนหน้าจอเปิดวีดีโอตามชั้นที่ถูกขอร้องให้พี่กิตดู ในวีดีโอนั้นถูกกรอให้วิ่งเร็วกว่าปกติหลายเท่าตัวเลขเวลาวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงช่วงที่พี่กิตสนใจคือหลังตี 1
บนหน้าจอไม่ปรากฏภาพใดๆของสิ่งมีชีวิตมีแต่เพียงห้องพักบางห้องเปิดประตูออกมาหันซ้ายหันขวามองเมหือนจะมองหาอะไรบางอย่างแล้วก็กลับเข้าห้องไป
มีช่วงหนึ่งของวีดีโอที่ภาพวูบไหวและดับไปเหมือนระบบขัดข้องซึ่งนั่นทำให้ใจพี่กิตหล่นวูบเพราะตำแหน่งที่ไฟตกวูบตรงทางเดินนั้นคือหน้าห้องของเขาเอง
‘น้องเมื่อกี้มันเป็นอะไร ทำไมภาพมันวูบไป’
‘กล้องมันคงเสียแหละพี่ มันก็นานแล้ว’
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจากการไปขอดูกล้องวงจรปิดนอกจากการยืนยันว่าเมื่อคืนไม่ได้มีใครมาเคาะห้องของเขาในช่วงกลางดึก
พี่กิตกลับขึ้นมานอนพักที่ห้องอยู่ทั้งวันโดยนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ หนังถูกเปิดไปแล้วหลายเรื่องเพื่อฆ่าเวลาช่วงที่ยาออกฤทธิ์พี่กิตปล่อยให้ตัวเองหลับไป
ระหว่างที่กำลังจะเคลิ้มไปพี่กิตรู้สึกถึงน้ำหนักของอะไรบางอย่างที่หน้าขาของตัวเอง เมื่อหันมาดูก็เห็นหญิงสาวคนเดิมกำลังนอนหนุนตักเขาในท่าเงยหน้ามองมายังเขาด้วยรอยยิ้มชวนขนลุก
ที่ขมับปวดแปลบเหมือนคนเป็นไมเกรนจนทนไม่ได้ พี่กิตหมดสติหลับไปทั้งอย่างนั้นในช่วงบ่ายแก่ๆ
คืนนั้นพี่กิตไม่ได้ออกไปซื้อหาอะไรกินเพิ่มเพราะอาการป่วยที่ยังไม่ดีขึ้น พี่กิตได้แต่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงหลับแล้วก็ตื่นสลับไปมา ยาที่กินไปดูไม่ค่อยจะได้ผลมากนัก
ตลอดคืนที่พี่กิตหลับๆตื่นๆเขาจะเห็นเงาร่างของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยบาดแผลนั่งเฝ้าเขาอยู่ใกล้ๆ มือนั้นลูบไล้ไปมาตามใบหน้าด้วยความเป็นห่วง สายตานั้นดูห่วงใยแต่สภาพของเธอเลวร้ายเกินกว่าจะฝืนใจมองได้ต่อไปเวลาประมาณตี3พี่กิตตื่นเพราะได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่โทรมาทวงงานค้าง เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้วจึงลุกมารีบทำงานให้เพื่อนในทันที
ก่อนที่จะหลับไปอีกรอบพี่กิตรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาบนร่างหายตัวเองครั้งนี้เขาได้เห็นภาพของเธอ ภาพที่นั่งคร่อมเขาอยู่บนเตียงความรู้สึกพึงพอใจจากส่วนล่างทำให้เขายากจะขัดขืนหรือแม่แต่ถ้าคิดจะขัดขืน เขาก็ไม่มีแรงที่จะทำอย่างนั้น
หลังจากที่มันจบลงแล้วเขารู้สึกหนักไปทั่วทั้งตัวความง่วงถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง ร่างของหญิงสาวนั้นขยับมาปรากฏอยู่ที่ข้างตัวของเขา แขนข้างหนึ่งที่กางออกกลายเป็นหมอนให้เธออย่างพอดิบพอดี และเหมือนกับเขาถูกบังคับให้หลับลงจนไม่รับรู้อะไรอีก
วันต่อมือคือวันนี้วันที่เราได้เจอกัน พี่กิตตัดสินใจส่งข้อความมาหาผมพร้อมกับออกมานั่งเล่นข้างนอกในวันหยุดเปลี่ยนบรรยากาศ
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ก็กลายเป็นหน้าที่ของผมแทนที่จะต้องตอบคำถามและความสงสัยของพี่กิต บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใครเพียงแต่ได้เห็นเธอเท่านั้น ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรจริงก็ไม่น่าจะออกมาทำร้ายใครได้เหมือนอย่างนี้
และที่แน่ๆถ้าเป็นคู่เก่าในอดีตชาติอะไรทำนองนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ที่เขาจะออกมาทำให้คนรอบข้างต้องลำบากไปด้วย
โจทย์นั้นคือโจทย์ใหญ่ผมขอเอาไว้ทีหลัง ขอจัดการกับโจทย์แรกลงเสียก่อน เรื่องแรกที่ผมสนใจคือเรื่องของไข่เน่าที่ได้เจอหน้าห้อง แค่คำว่าไข่เน่าก็ทำให้รู้แล้วว่ามันคือพวกคุณไสยชนิดหนึ่ง
พวกคุณหลายๆคนอาจเคยเห็นหรือเคยได้ยินเรื่องของการใช้ไข่รักษาคุณไสยมาบ้างใช่ไหมครับ ทั้งไข่ดิบและไข่ต้ม มันทำได้จริงๆครับแต่ก็น้อยคนที่จำทำเป็นส่วนมากก็ลวงโลกทั้งนั้น ไข่เน่าเป็นการนำพาสิ่งไม่ดีอย่างหนึ่งสามารถฝากของฝากไข้มายังผู้รับได้
แล้วใครที่จะทำแบบนั้นกับพี่กิตได้ ผมคิดว่าก็คงจะมีเพียงแค่คนเดียวจากการที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดมาและอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมแน่ใจคือ เธอคนนี้ที่นั่งอยู่ข้างๆพี่กิต เธอยิ้มให้ผมเมื่อผมถามเธอว่าใช่คนที่ผมคิดใช่ไหม
‘โทรไปหาคนชื่อนัทครับ บอกเขาให้หยุดแล้วเลิกส่งของมา ไม่อย่างนั้นมันจะเข้าตัว เพราะตอนนี้เขาคุมไม่ได้’
ถึงผมจะพูดไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เหตุผลที่มันอันตรายเพราะผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ต่างหาก เธอรักและหวงพี่กิตอย่างมากจนน่ากลัว มันอาจจะอันตรายถ้านัทยังคงพยายามเพื่อให้ได้พี่กิตมา
พี่กิตลังเลว่าจะโทรดีไหมแต่สุดท้ายก็โทรไปแล้วเริ่มประโยคด้วยคำสั้นๆว่า ‘นัทยังไม่หยุดอีกเหรอ ใช้ของอย่างนี้อีกแล้วเหรอ’ เกือบสิบนาทีที่ทั้งสองคนเถียงกันผ่านโทรศัพท์จนได้ข้อสรุปว่าทางนั้นจะเลิกทำและขอโทษทุกอย่างที่ทำลงไป สัญญาว่าจะเลิกติดต่อมาอีกถ้าพี่กิตไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อกับไปเอง
เรื่องแรกผ่านไปโดยไม่ต้องทำอะไร มาที่เธอคนนี้เธอเป็นใครแล้วทำไมจึงสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ พอดีกับที่เพื่อนของผมโทรมาหาให้กลับกันได้แล้ว ผมบอกกับพี่กิตว่าคงจะต้องเป็นวันรุ่งขึ้นแล้ว คืนนี้ผมจะไปหาคำตอบมาให้ โดยก่อนกลับผมได้ให้แหวนของผมไว้กับพี่กิตแล้วบอกว่าพรุ่งนี้นำมาคืนผมในตอนที่ได้เจอกันอีกครั้ง
คืนนั้นผมเฝ้ารอ รอให้เธอคนนั้นมาหาผมเพื่อพูดคุยและถามถ้อยความทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเข้าไปยุ่งแต่การสร้างกรรมมันควรจะถูกหยุด คนเป็นไม่สงบคนตายไม่มีความสุข มันไม่ควรเกิดขึ้น
ผมจุดธูปจุดกำยานนั่งไหว้พระเหมือนในทุกๆวัน นึกคิดเอาในใจว่าอยากจะคุยกับเธอคนนั้น ขอให้เธอมาหาและไม่ต้องรอนานเธอมาหาผมตามคำเรียกในอากาศ
เธอนั่งห่างผมออกไปพอสมควรอยู่ตรงมุมห้องสายตาอาฆาตรุนแรงคงเป็นเพราะแหวนที่ผมให้พี่กิตไว้ สภาพเธอน่าเกลียดเหมือนอย่างที่พี่กิตเล่า มันเลวร้ายมาก ผมไม่เคยเจอสภาพวิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัวได้ขนาดนี้มาก่อน
ดวงตาของเธอลึกมีแต่ตาขาวไม่มีสีดำใดๆชุดของเธอเป็นผ้าเมืองเก่าๆคล้ายๆกับพวกม่อฮ่อมแต่ไม่ใช่ สภาพมันสกปรกขาดรุ่งริ่งใบหน้ามีแต่แผลและรอยฟกช้ำทั่วใบหน้า ตรงปากมีฟันไม่เต็มปากรอยแตกตรงปากทำเอาผมขนลุกไปวูบหนึ่ง ที่น่ากลัวคือที่ลำคอของเธอมีแดงใหญ่แผลถลอกเปิดจนเห็นเนื้อข้างใน สองมือเล็บยาวสกปรกตรงข้อมือข้างหนึ่งเป็นแผลเปิดจนเห็นกระดูก
ผมต้องรวบรวมสติสักครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มพูดคุยกับเธอกลิ่นคาวทำให้ผมอยากอ้วกเต็มที คำถามสั้นๆของผมไม่มีอะไรมาก ‘เธอเป็นใคร’
มันไม่มีคำตอบใดๆกลับมานอกจากสายตาอันน่าเกลียดของเธอ อยู่ดีๆหมารอบๆที่พักก็หอนรับกันอย่างน่าขนลุก เธอแสยะยิ้มน่ากลัว เสียง ตูม! ดังรุนแรงมาจากถนนใกล้ที่พัก ผมตกใจสะดุ้งสุดตัวเผลอสติทำให้เธอเขามาใกล้ได้ในระยะห่างไม่ถึงสองเมตร
จำไว้เลยว่าเมื่อต้องเจอผีหรืออะไรที่น่ากลัวๆสิ่งเดียวที่จะทำให้เราชนะและสู้กับมันได้คือ สติ ต้องไม่กลัวถ้ากลัวก็จบ สติเท่านั้นคือกุญแจสำคัญ การสวดมนต์เป็นการเรียกสติอย่างหนึ่งเช่นกัน
เพียงวูบเดียวที่ผมเผลอสติเธอเข้ามาใกล้ทำท่าน่ากลัวหลอกผม ผมกลั้นใจตวาดเสียงออกไป ‘เป็นใคร!’
เธอถอยกลับไปที่เดิม เมื่อมั่นใจแล้วว่าเธอทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ สติที่มากขึ้นทำให้สามารถบังคับเธอได้ เรื่องของจิตวัดกันตรงความเข้มและความแน่วแน่เท่านั้น จิตใครเข้มกว่า ก็ชนะ
‘ชื่ออะไร!’
‘ฟ้า…’
เสียงเธอแหบพร่าดังเบาแต่ชัดเจนในโสตประสาท เธอหายไปจากห้องของผมแล้ว ผมรีบกดโทรศัพท์หาพี่กิตเพื่อบอกสิ่งที่ผมได้รู้มา แค่ชื่อก็เกินพอ
‘ฮัลโหลครับพี่กิต รู้จักคนชื่อ ฟ้า บ้างไหมครับ’
‘….’
‘ฮัลโหลครับพี่กิต’
‘เจอกันพรุ่งนี้นะครับ’
พี่กิตตอบผมมาแค่นั้นแล้วก็วางสายไป เมื่อโทรกลับไปอีกครั้งก็มีเพียงเสียงฝากข้อความเท่านั้น นั่นคงหมายความว่าพี่กิตรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน
วันต่อมาเรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พี่กิตขอบตาคล้ำและตาแดงพอสมควรเขาคงไม่ได้นอนเลยสักนิดตั้งแต่เมื่อวาน พี่กิตเอาล๊อคเกตอันเล็กๆวางไว้บนโต๊ะบอกผมว่า น่าจะเป็น ฟ้า ที่ผมหมายถึง
พี่กิตสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วเล่าเรื่องที่ตัวเองฝังเอาไว้ในใจมานานแสนนานให้ผมฟัง
ก่อนหน้านี้นานมากแล้วพี่กิตเคยรักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ ฟ้า เธอมีชีวิตอยู่จริง เรื่องมันนานมากมันเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงที่พี่กิตเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน ฟ้าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยในตอนนั้น
ที่แรกที่สองคนได้พบกันคือร้านสะดวกซื้อ 7-11 เธอมาทำงานพิเศษหารายได้ เธอไม่ใช่คนสวยจนสะดุดตาแต่มีความน่ารักและเสน่ห์อย่างคนเหนือที่ทำให้คนมองต้องหันกลับมามองเป็นครั้งที่สอง ชีวิตของพี่กิตที่ได้เจอแต่สาวสวยๆทำอะไรไม่เป็น ได้เจอกับเด็กน้อยน่ารักขยันขันแข็งทำงานจึงเหมือนเป็นเรื่องแปลกใหม่ของเขาพอสมควร
หลายวันที่พี่กิตเวียนไปดูหน้าสาวน้อยคนนั้นแม้จะไม่เคยทักกัน เธอทำงานด้วยรอยยิ้มเสมอ จนวันหนึ่งเธอหายไปจากที่นั่น พี่กิตไม่กล้าถามพนักงานคนอื่นๆเลยได้แต่คิดจะทำใจลืมมันไปซะ
พรหมลิขิตพี่กิตเชื่ออย่างนั้น คำๆนี้ดูมีค่าและมีน้ำหนักมากสำหรับตัวเขาเพราะเสียงนั้นสั่นครือพร้อมกับน้ำตาที่ไหลหยดลงบนโต๊ะไม้ของร้านกาแฟ ทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้ง
‘อ้าว พี่ที่มาซื้อของบ่อยๆ’
เสียงร้องทักจากด้านหลังบนทางเท้าข้างถนนทำให้พี่กิตยิ้มกว้างอย่างออกนอกหน้า เธอไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้วเพราะใกล้สอบเธอย้ายมาทำงานที่ร้านอาหารใกล้ๆแทนยังพอมีเวลาให้ได้พักได้อ่านหนังสือ วันนั้นเธอไปส่งอาหารตามออเดอร์พอดีจึงผ่านมาเจอกันโดยบังเอิญพี่กิตเลือกใช้วิธีแวะเวียนไปกินอาหารที่ร้านนั้นแทบทุกวันที่ทำได้ เขาหลงรักเด็กคนนี้แล้วจริงๆทั้งสองคนคุยกันเหมือนคนทั่วๆไป เธอไม่รู้เลยว่าคนที่เธอคุยด้วยนั้นทั้งรวยและหน้าที่การงานดีแค่ไหน
ครั้งแรกที่มีผู้หญิงสนใจในตัวเขาอย่างจริงจังนอกจากเรื่องฐานะและหน้าตา เวลาผ่านไปทั้งสองคนรักและตกลงคบกันในวันที่ต้องบอกความจริงของตัวเอง ฟ้าเกือบจะไม่กล้าคบเพราะตัวเองนั้นต่างจากพี่กิตมากเหลือเกิน
ฟ้าเป็นเด็กบ้านนอกไม่ใช่แค่ต่างจังหวัด เป็นเด็กหลังเขาคนหนึ่งที่เกือบจะไม่ได้เรียนหนังสือด้วยซ้ำเอดื้อด้านทะเละกับพ่อแม่เข้ามาเรียนจนได้ตั้งแต่ม.ปลาย อาศํยอยู่กับญาติห่างๆ ทำงานพิเศษหาเงินส่งตัวเองมาโดยตลอด
พี่กิตคือคนที่เธอคิดจะฝากชีวิตไว้เธอบอก และเธอก็คือคนที่พี่กิตจะไม่มีวันทิ้งไปไหนอีก นิสัยเสือผู้หญิงหายสนิทเหมือนไม่เคยเป็นมาก่อน เธอคือ รัก ที่เป็นรักแท้
แต่แล้วความสุขมันก็อยู่ได้ไม่นาน ฟ้าเริ่มได้รับโทรศัท์จากใครบางคนทุกครั้งที่สายนี้โทรมาเธอจะต้องแอบออกไปคุยนอกห้องเงียบๆไม่ยอมให้พี่กิตได้ยิน
เขาเคยแอบค้นโทรศัพท์ดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ตู้สาธารณะที่โทรกลับไปก็จะโทรไม่ติด เวลาผ่านไปอยู่ดีๆวันหนึ่งฟ้าก็หายไปจากชีวิตของพี่กิต เธอไม่มาเจออีกเลยโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้ ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มาเรียน ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปไหน
ประมาณเดือนหนึ่งพี่กิตได้รับสายโทรศัพท์จากเบอร์สาธารณะ ปลายสายนั่นคือฟ้า เสียงนั้นร้องไห้และสั่นครือ เธอพูดโดยไม่เหลือช่องว่างให้พี่กิตมีโอกาสพูด
‘ฟ้าต้องกลับบ้าน ฟ้าต้องกลับมาแต่งงาน ฟ้าไม่มีทางเลือก พี่กิตอย่าโกรธฟ้านะ ฟ้ารักพี่กิต’
ประโยคนั้นเขายังจำได้ดีและมันก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองคนได้พูดคุยกัน
พี่กิตนั่งสงบสติอารมณ์อยู่นานพอที่จะพูดคุยได้ เธอคนนั้นนั่งมองคนรักด้วยความทรมานเธอเริ่มร้องไห้ เริ่มอาละวาดคล้ายคนเสียสติ เธอกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน ภาพนั้นคงมีแต่ผมที่ได้เห็น
ผมพยายามพูดคุยกับเธอแต่มันไร้ประโยชน์เสียงของผมส่งไปไม่ถึง หากว่าพี่กิตยังอยู่ตรงนี้ในชีวิตเธอคงมีพี่กิตเป็นแสงสว่างเดียวในตอนนั้น สิ่งใดก็คงไร้ค่า ผมเข้าใจ
พี่กิตขอที่จะไม่ จัดการ อะไรต่อไปอีกเขาต้องการจะใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ต่อไปหากเขาได้รู้แล้วว่าเธอคนนี้คือใคร จะมีเหตุผลอะไรให้ต้องกลัวเธออีก
คำตอบนั้นทำเอาผมใจหายวาบ เพราะการที่คนเป็นและคนตายอยู่ด้วยกันนั้นมันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายคนเป็นจะต้องทรุดโทรมจนตายตามไปในที่สุด
แต่ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรพี่กิตก็ไม่ฟัง และขอให้ผมกลับไปก่อนจะติดต่อกลับมาในภายหลัง
เมื่อผู้ฟังไม่ยอมฟังผมก็ควรจะหยุดพูด เราแยกกันที่ตรงนั้นในวันนั้น จนผมกลับมาจากฝึกงานในที่สุด เวลาผ่านไปเป็นเดือนผมถึงได้รับโทรศํพท์ของพี่กิต
พี่กิตบอกผมว่าอยากเจอผมอีกครั้งและอยากจะพาผมไปที่แห่งหนึ่ง บ้านของฟ้า พี่กิตอยากรู้ว่าเธอตายแล้วจริงๆหรือ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับคนรักของเขา
ผมตอบรับและให้พี่กิตมารับในวันรุ่งขึ้นที่ว่างตรงกันพอดี แวบแรกที่เจอกันผมจำเขาแทบไม่ได้ ร่างที่เคยหล่อเหลากำยำตอนนี้ซูบผอมขี้โรคจนน่าตกใจ ที่รอบคอของเขามีแจนคู่หนึ่งโอบไว้ตลอดเวลาใบหน้าบิดเบี้ยวของฟ้ายังวางอยู่บนบ่าใกล้ๆไม่ห่าง
เราใช้เวลาหลายชั่วโมงเดินทางไปยังบ้านของฟ้าที่พี่กิตไปสืบมาจากไหนไม่ทราบเหมือนกัน หมู่บ้านนั้นอยู่ตีนเขาเหมือนกับพวกชาวเขาแบบหนึ่งซึ่งผมไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไร
บ้านยังสร้างง่ายๆด้วยไม้และฟางมีปูนบ้านแต่ก็เป็นส่วนน้อย อากาศที่นั่นบริสุทธิ์และดีมากผิดกับสายตาที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก พี่กิตหยิบเอากระดาษเขียนที่อยู่และชื่อของใครบางคนออกมาดู
เราเดินถามทางคนไปเรื่อยๆจนเจอบ้านที่ตามหา พี่กิตเดินตรงเข้าไปในบ้านที่เป็นใต้ถุนสูง คนสูงอายุสองสามคนนั่งถักสานของใช้อยู่ด้านล่าง
พี่กิตดูรูปในมือแล้วหันไปมองคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ทันได้ตั้งตัวพี่กิตก้มลงไปหมอบกราบกับพื้นดินที่ตรงนั้นอย่างไม่กลัวจะสกปรก คนที่นั่งอยู่มองนิ่งๆไม่ประหลาดใจเหมือนรู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นสักวัน
ชายสูงอายุคนหนึ่งเดินมากระชากพี่กิตต่อยอย่างแรงจนร่วงไปนอนอยู่กับพื้นผมรีบเข้าไปช่วยประคองคนในบ้านก็ห้ามคนของตัวเอง เราได้รู้ในภายหลังว่านั่นคือพ่อของ ฟ้า
พี่กิตกันผมอยู่ข้างนอกแล้วเข้าไปกราบอีกครั้งก่อนจะขอร้องให้พูดคุยกันแต่โดยดี ผมได้แต่เฝ้ารอและดูอย่างทำตัวไม่ถูกกลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรที่มันร้ายแรงขึ้นอีก
ใช้เวลาอยู่นานจนแม่ของฟ้าออกตัวมาพูดคุยถึงเรื่องราวทั้งหมด
ทุกคนในบ้านรู้จักพี่กิตดีเพราะได้ยินจากฟ้ามาหลายต่อหลายครั้ง ที่นั่นไม่ได้มีโทรศัพท์หรือว่ามือถือให้ใช้จึงต้องเข้าไปโทรศัพท์ตู้ที่ตัวเมืองไปหาฟ้าเพื่อเรียกให้กลับบ้าน
ที่นั่นยังมีประเพณีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนคือ พ่อแม่เลือกให้และนัดแนะมั่นหมายไว้ตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ นั่นหมายถึงหนุ่มสาวจะไม่มีทางเลือกเด็ดขาดว่าจะใช้ชีวิตร่วมกับใครไปจนตาย
ฟ้าก็เช่นกันเมื่อถึงวัยทางบ้านตามให้เธอกลับมาแต่งงานตามประเพณี ฟ้าที่ได้รับการศึกษามาและพบกับชีวิตในตัวเมืองก็อยากจะหนีจากความไม่สมเหตุสมผลนั้น
หนทางสุดท้ายที่พ่อกับแม่ใช้บังคับคือการตัดพ่อตัดลูก และขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากต้องเสียสัจจะกับคนในหมู่บ้าน หญิงสาวไร้ทางเลือกจึงต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้ทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน
ชีวิตหลังแต่งานไม่ราบรื่นเธอไม่ยอมมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นสามี และที่แห่งนั้นผู้ชายถือว่ามีสิทธ์มีแสงมากวกว่าผู้หญิงมาก เธอถูกทุบตีหลายครั้งด้วยความไม่พอใจ จนถึงขั้นขืนใจ
ฟ้าไม่ยอมไปนอนที่บ้านของสามีขอนอนที่บ้านของตัวเองบาดแผลตามตัวทำให้พ่อแม่ยอมใจอ่อนให้เธอได้นอนพักที่บ้านเพื่อไม่ให้เธอต้องเจ็บตัวอีก
เธอมักจะเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องนอนค้นเอาหนังสือเก่าๆมาอ่าน บางครั้งจะหลายไปอยู่ที่วัดบ้างตำแหน่งของหมอทรงแถวนั้นบ้างไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ จนวันหนึ่งสามีขอเธอมาที่บ้านแล้วบุกเข้าไปในห้องส่วนตัวตอนที่พ่อกับแม่ของฟ้าไม่อยู่
ในนั้นมีรูปคู่ของเธอกับพี่กิตอยู่ มันถูกฉีกและเธอก็ถูกทำร้ายอีกครั้งด้วยการอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในตัวฟ้า เธอถูกพาไปขังไว้ในบ้านของสามีหลายวัน
พ่อแม่ที่เป็นห่วงจึงไปขอพาเธอกลับโดยอ้างว่าญาติผู้ใหญ่ป่วยหนักให้มาดูใจ สภาพของฟ้ามีแต่แผลฟกช้ำเต็มใบหน้าและตามตัว เธอถูกซ้อมอย่างหนักคนเป็นแม่แทบใจสลายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับเพราะลูกสาวได้ออกเรือนไปแล้ว
ฟ้าขังตัวเองไว้ในห้องอีกครั้งคราวนี้เธอไม่ออกมาจนวันหนึ่งคนในบ้านได้กลิ่นเน่าและกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบ้าน เมื่อเปิดห้องเข้าไปก็เจอฟ้าที่เสียชีวิตเงียบอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพัง
พ่อกับแม่ของฟ้าบอกให้พี่กิตกับผมเดินตามขึ้นไปดูห้องที่ว่าเพราะคนแก่ในบ้านนั้นผมจำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร คุณยายคนนั้นเคยเป็นหมอทรงมาก่อนเขาเห็นผมแล้วบอกว่าผมจะช่วยฟ้าได้ พ่อแม่จึงยอมให้คนนอกอย่างผมเข้าไปร่วมวงด้วย
บ้านนั้นเป็นไม้เก่าๆห้องนอนถูกปิดตายมีโซ่คล้อง ความรู้สึกที่ส่งออกมาจากประตูบานนั้นน่าสะอิดสะเอียนจนขนลุกไปทั้งตัว พ่อทำใจอยู่นานกว่าจะเปิดประตูบานนั้นออก
คนเป็นพ่อหลับตาไม่มองให้ผมกับพี่กิตเข้าไปมอง ทันทีที่พี่กิตเห็นห้องนั้นพี่ก็ขาอ่อนลงไปกองกับพื้นหมดสติไปเพราะสภาพในห้องนั้นน่าขนลุกมาก
ทั่วทั้งห้องมีคราบเลือดแห้งๆเขียนเป็นตัวอักษรไว้ตามผนังไม้ อักระพวกนั้นเป็นภาษาดั้งเดิมของคนที่นี่ ตรงกลางห้องมีเขียนไว้เช่นกัน ที่ตรงกลางห้องนั้นมีห่อผ้าอยู่ห่อหนึ่งวางอยู่มันถูกพันไว้อีกชั้นด้วยเชือกเก่าๆ ที่เปื้อนไปด้วยเลือด
ที่ขื่อบ้านยังมีเชือกห้อยลงบอกถึงวิธีการจบชีวิตของหญิงสาว ในห่อผ้านั้นมีรูปของเธอและพี่กิตถ่ายคู่กันด้วยรอยยิ้ม ห่อผ้านั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดแห้งๆ และเศษข้าวของหลายอย่าง แม่บอกว่ามันคือพระดูกสัตว์กับเถ้ากระดูกคนตายที่ฟ้าคงจะไปหามาทำพิธีสาปแช่งตามความเชื่อของคนในหมู่บ้าน
ในห่อผ้านั้นมีกระดาษอีกแผ่นวางอยู่มันเขียนด้วยลายมือหวัดๆพออ่านได้เป็นภาษาไทย
‘ความตายจะไม่แยกเราจากกัน ฟ้าจะไปหาพี่กิต’
ผมไม่เคยคิดหรอกว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นจริงในชีวิตผมนอกจากละครที่เคยดู ทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือพิธีสาปแช่งที่รุนแรงที่สุด คือการสาปด้วยชีวิต บางคนใช้หมูไก่ในการสาปทำร้ายคนอื่น บางครั้งก็ใช้ชีวิตตัวเองในการสาปเพื่อจองเวร ในทางกลับกันฟ้าใช้วิธีในการสาปแช่งตัวเองให้ผูกติดกับชายหนุ่มให้ตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกันไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
พ่อกับแม่เก็บสภาพห้องไว้อย่างนั้นตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ในบ้านบอกว่ามันเป็นการตายโหงที่รุนแรงมากถ้าไม่เก็บไว้อย่างนี้ฟ้าจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ที่อยู่ ต้องมีที่ให้เขาอยู่
ผมสลดหดหู่กับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก หลังจากพี่กิตตื่นขึ้นมาก็เอาแต่ร้องไห้ด้วยความเสียใจ คุณยายถามผมว่าจะทำอย่างไรกับฟ้าได้บ้าง สงสารหลาน เห็นแล้วว่าผู้ชายคนนี้รักฟ้าจริง
ผมเสนอให้นำทุกอย่างไปเผา และผมจะช่วยถอนพวกวิชานี้ออกไปเองเท่าที่ทำได้ แต่คงต้องขอให้คนที่บ้านร่วมมือกับผมด้วย
ข้าวของทุกอย่างถูกนำมากองไว้กลางแจ้งจุดไฟเผาให้ทุกคนได้เห็น สิ่งที่ผมอยากได้คือคำอโหสิกรรมของพ่อและแม่สำหรับลูกสาวที่อกตัญญูทิ้งท่านทั้งสองไว้เบื้องหลัง
ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย ข้าวของทั้งหมดถูกจัดการพี่กิตกับผมกลับมาด้วยความเงียบไม่มีประโยคใดๆให้กันอีก พี่กิตได้คำตอบถึงการจากไปของคนที่รัก
ผมได้ถอนวิชานั้นออกวิญญาณจะไม่ถูกจองจำเว้นก็เสียแต่เป็นเธอเองที่อยากจะอยู่กับคนที่เธอรักต่อไป พี่กิตบอกกับผมในวินาทีที่ผมกำลังจะก้าวลงจากรถ
‘ปล่อยพี่สองคนไว้อย่างนี้นะครับ อย่าแยกเราสองคนอีกเลย’
ผมได้แต่ยิ้มให้กับผู้ชายคนนี้ เธอคนนั้นตอนนี้ยังคงกอดชายที่เธอรักเอาไว้แน่น เธอไม่มีสติเหลืออีกแล้วมีเพียงอารมณ์และวังวนของจิตที่ไม่อาจพบแสงสว่างได้อีก สิ่งเดียวที่เธอเห็นและได้ยินคือ คนที่เธอรัก เท่านั้น
…………………………………………………………………………………………
ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะช่วยใครได้…
และไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาต้องการความช่วยเหลือ…
เรื่องนี้จบลงโดยที่ผมได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างนั้นจนวันที่ผมได้รับสายจากพี่กิตว่า ‘ช่วยเล่าเรื่องของพี่ที’
.
.
ของพวกเธอจงหลับตาพักอย่างสงบ ขอให้ครั้งต่อไปเธอไม่ต้องพบกับโศกนาฏกรรมอย่างนี้อีก
บุญใดที่เราทำเราขออุทิศให้
บุญใดที่เกิดจากวิทยาทานครั้งนี้ขอจงสำเร็จแก่เธอทุกประการ สักวันเราคงได้พบกันในเวลาที่เหมาะที่ควร
………………………………………………………………………………………….
รักเถิด รักได้ เท่าที่ควร
รักเถิด รักล้วน สุขสไว
รักเถิด รักไป ทั้งกายใจ
รักเกิด รักไป ในสักวัน
รักได้แต่จงมีสติเป็นที่ตั้ง อย่าให้ความรักอยู่เหนือเหตุผล เพราะสิ่งที่ก่อจะเกินแก้ในที่สุด
ลอยชาย.
ปล.ผมบอกแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ปล.2 คุณจะเชื่อหรือไม่จะคิดว่ามันเรื่องแต่งหรือนิยายไม่เป็นไร สุดท้ายแล้วคงมีเพียงผมและเหล่าผู้คนในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะยืนยันมันได้